Legend of the mythological genes - ตอนที่ 485 เมฆตีลังกา
ตอนที่ 485 เมฆตีลังกา
การตีลังกาครั้งเดียวสามารถเดินทางได้ 108000ไมล์!
เขตปกครองราชาลิงสามารถควบคุมทุกอย่างในจักรวาลได้
ในทันใด เฟิงหลินเข้าใจวิธีใช้เมฆดีลังกา เขาใช้พลังลิงหัวใจเพื่อควบคุมอนุภาคพื้นฐานสุดของจักรวาล เปลี่ยนพวกมันเป็นสถานะพร้อมปะทุ จากนั้นก็ใช้แรงดีดตัวเพื่อผลิตพลังงนารจํานวนมากเพื่อทะยานขึ้นอากาศมาถึงความเร็วจักรวาลในพริบตา
ชั่วขณะหนึ่ง ร่างของเขาหายไปจากตําแหน่งเดิม เขาเปลี่ยนเป็นเงาสีทอง ทิ้งภาพติดตาไว้เบื้องหลัง
กระแสพลังงานที่เกิดจากการขับของไอออนลากเปลวไฟเป็นหางยาวจากระยะไกล มันส่องสว่างราวกับกลุ่มดาว
“อะไรกัน?”เงาดาบที่เร่งผ่านช่องว่างในมิติส่งเสียงอุทาน ลู่เจิ้นหยางเต็มไปด้วยความไม่อยากเชื่อ
แต่ก่อนเขาจะได้ตอบสนอง กระบองก็ฟาดลงมา กระจายแสงดาบเขา
การโจมตีของเฟิงหลินมาถึงก่อนที่เขาจะรู้ตัว!
ความเร็วของเมฆตีลังกาเป็นที่รู้กันว่ามาถึงระดับสูงสุดภายในสามอาณาจักรแล้ว มันไม่ได้ด้อยไปกว่าวิชาดาบหลีกฟ้าเลย
อะไรคือสายฟ้ามาถึงก่อนหูจะได้ยิน?
นี่แหละ
ตอนนี้ ลู่เจิ้นหยางกําลังเผชิญกับสถานการณ์ที่เฟิงหลินเผชิญก่อนหน้า
การขับไอออนของเมฆตีลังกาพลันเร่งความเร็วของเฟิงหลิน
ภายใต้ความเร็วเช่นนี้ แม้กระทั่งการฟาดกระบองธรรมดาก็ยังน่ากลัว
พลังมหาศาลที่บรรจุภายในกระบองเขาดูเหมือนจะห่อหุ้มพื้นที่ทั้งหมด แรงกดดันคล้ายกับภูเขายักษ์ที่ทุบลง ทําให้พื้นที่ทั้งหมดสั่นสะเทือน
แม้แต่ลู่เจิ้นหยางที่สามารถควบคุมดาบและบินบนฟ้าได้ก็ยังไม่สามารถหลบได้ทัน
วิชาดาบหล็กฟ้า – การควบคุมดาบสายฟ้าฟาด!
เปรี้ย
ปราณดาบพุ่งออกมา ส่งเสียงแตกเหมือนสายฟ้า ความเร็วเขาเพิ่มขึ้นสามเท่า พุ่งออกไปด้านข้าง หลบการโจมตีของเฟิงหลิน
แต่ทว่า พลังกระบองก็ยังกวาดออกไปด้านข้าง กวาดใส่ปราณดาบ วินาทีต่อมา รอยแตกก็ปรากฏในแสง ดาบขณะที่ร่างหนึ่งปรากฏ สีหน้าของร่างนี้ขาวซีด กลิ่นอายเขาเย็นเฉียบ
แต่เขาไม่มีเวลาพูดอะไร วินาทีต่อมา กระบองก็ฟาดมาอีกครั้ง เขาท่าได้แค่เปลี่ยนกลับเป็นลําแสงดาบ หลบการโจมตี
ช่องว่างแตก เกิดริ้วรอยสีขาวขึ้น
ทันใดนั้น ร่างที่ปกคลุมด้วยปราณดาบก็ปรากฏด้านหลังเฟิงหลิน แทงใส่ด้านหลังเขา
เฟิงหลินสัมผัสได้ถึงอันตราย เขาตีลังกาถอยหลังโดยบังเอิญ ป้องกันไม่ให้จุดสําคัญโดนแทงได้ เขาหันไปและปล่อยการโจมตีอีกครั้ง
ปัง!
ดาบและกระบองฟาดกันก่อให้เกิดประกายไฟ คลื่นกระแทกรุนแรงกวาดออกไปรอบๆ สร้างเป็นรอยขีดข่วนบนพื้น
ทั้งสองแยกจากกันและปะทะกันใหม่อย่างรวดเร็ว
หลังจากนั้น มันก็เป็นสถานการณ์หนึ่งไล่หนึ่งหนี้ พวกเขาหลบไปทางซ้าย ขวา และเปิดฉากโจมตีใส่กัน
ทุกคนต่างรู้สึกตาลาย
ทั้งสองมาถึงขีดจํากัดความเร็วในโลกมนุษย์แล้ว พวกเขาเปลี่ยนตัวเองเป็นลําแสง ทะลุผ่านช่องว่างของมิติ พวกเขาหายตัวและปรากฏใหม่ในตําแหน่งต่างๆ ปะทะและแยกกันซ้ําแล้วซ้ําเล่า
แม้แต่อุปกรณ์ที่ล้ําสมัยสุดก็ยังยากจะจับการเคลื่อนไหวพวกเขาได้ชัด เห็นแค่ภาพติดตา
คนคนหนึ่งอยู่ภายในบอลแสงดาบ เข้าและออกช่องว่างไม่หยุด
อีกหนึ่งยังคงตีลังกา ทําให้เกิดพายุอนุภาค เขาเร็วจนไร้เงา
(เร็วมาก แต่ทําไมหลินเฟิงผู้นี้ถึงรู้แค่วิธีตีลังกา?เขาคล้ายกับลิงที่กําลังเล่นละครสัตว์!)
ทุกคนมองตากันด้วยความสงสัย
เทคนิคขั้นเทพแบบนี้ต้องให้คนคอยตีลังกา?
บางที คงมีแค่หลินเฟิงถึงรู้ว่าทําไม
มันอาจดูไม่น่ามองนัก…แต่ความเร็วของมันก็น่ากลัวมาก!
ความเร็วสูงสุดจะทําให้เกิดแรงเฉื่อยรุนแรง ทําให้ผู้ครอบครองมีช่วงเวลายากลําบากในการเปลี่ยนทิศทาง ไม่ต้องพูดถึงภาระมหาศาลในตัว
โดยการตีลังกา เขาสามารถปรับร่างกายเปลี่ยนทิศทาง ลดความเฉื่อยให้เหลือน้อยที่สุด
ปัง ปัง ปัง!
ความเร็วพวกเขาเกินกว่าขอบเขตวิสัยทัศน์มนุษย์ไปแล้ว จากมุมมองของทุกคน ทั้งสองได้ปะทะกันนับครั้งไม่ถ้วนในชั่วพริบตา
หนึ่งคือเซียนดาบ ที่มีดาบบินแหลมคมสามารถฟันผ่านได้ทุกสิ่ง
อีกหนึ่งคือลิงหินที่ขี่เมฆตีลังกา ควงกระบอกเหล็กอย่างแกร่งกล่า
ในชั่วพริบตา พวกเขาก็ปะทะกันไปหลายร้อยครั้ง
แม้จะเป็นแค่คนสองคน ความเร็วพวกเขาก็ทําให้เกิดภาพติดตาของคนนับพันพร้อมกัน
มันเหมือนว่าทั้งเฟิงหลินกับลู่เจิ้งหยางมีร่างแยกนับล้าน
จากมุมมองของผู้ชม มันเหมือนการต่อสู้ระหว่างมังกรกับเสื้อ แต่ทว่า มีเพียงทั้งสองถึงรู้ว่ามันอันตรายแค่ไหน
ด้วยความเร็วที่เพิ่มขึ้นของพวกเขา กระแสเวลาจึงลดลง เวลาในมุมมองผู้ชมจึงยึดยาว แต่กลับช้ามากในสายตาของทั้งสอง
ล่าแสงดาบก่อนหน้าเผยรูปลักษณ์แท้จริงของมันต่อหน้าเฟิงหลิน
ตอนนี้ ทั้งสองสูสีกัน!
ทําลายสวรรค์!
เฟิงหลินไล่ตามล่าแสง ร่างเขาม้วนตัว และกระบองในมือก็หมุนเป็นวงกลม ล้อมลู่เจิ้นหยางไว้ด้วยเงากระบองนับไม่ถ้วน เฟิงหลินมีพลังไร้เทียมทานที่สามารถทําลายได้ทุกสิ่ง ตอนนี้ เขารู้สึกราวกับเป็นลิงหินในตํานาน
ลู่เจิ้นหยางไม่สงบเหมือนเดิม เขาสามารถสัมผัสได้ถึงจิตสังหารที่รุนแรงพอจะทําลายสวรรค์จากกระบอง
ถ้าเขาโดนฟาด ร่างเขาจะแหลกทันที
กระบวนท่าที่สองของวิชาดาบหลีกฟ้า สายลมไร้รูปแบบ!
ปราณดาบกลายเป็นไร้สิ้นสุด เปลี่ยนเป็นเงานับไม่ถ้วนที่พุ่งออกมาพร้อมปราณดาบ
ปราณดาบควบแน่น รวมเข้าด้วยกันเป็นปราณดาบไร้รูปแบบที่อัดแน่นจนเหมือนพายุฝนโหมกระหน่า
หวด หวด หวด
ปราณดาบและพลังกระบองปะทะกันและสลายหายไป
ทั้งสองคนแยกตัวกันหลังการปะทะ
เฟิงหลิ้นลงมือทันที
มหาเทพกวนสมุทร!
กระบองเขากวาดออกไปกวนช่องว่าง กระแสอากาศไร้ขอบเขตเปลี่ยนเป็นพายุจากการกระทําของเขาอยากกลืนทุกสิ่งรอบตัวเขาเข้ามา
กระบวนท่าที่สามของวิชาดาบหล็กฟ้า ทํานองสายฟ้าหลีกเมฆา!
ปราณดาบกระจาย กลายเป็นเหมือนเมฆและหมอก เสียงหึมของกระแสไฟฟ้าดังขึ้นและความแหลมของปราณดาบก็รู้สึกได้
ทะเลเมฆปั่นป่วน ครู่ต่อมา ช่องว่างก็สันสะท้านจากผลกระทบ
เปิดเตาเผา!
หมัดหนาตรงราวกับเสาสวรรค์ บดขยี้เป้าหมายตรงหน้า
ท้องฟ้าไม่สามารถปิดตาฉัน โลกไม่สามารถครอบงําหัวใจฉัน!
กระบวนท่าที่เจ็ดของวิชาดาบหลีกฟ้า ล้านดาบ!
ซวบ ซวบ
ดาบเซียนทอแสง สร้างปราณดาบขึ้นนับพันล้าน มันแยกจากหนึ่งเป็นสอง สองเป็นสาม สามเป็นนับไม่ถ้วน
นี่คือวิชาที่ครอบงําอย่างยิ่ง
อีกหนึ่งคือการโจมตีตรๆงที่เต็มไปด้วยพลังป่าเถื่อน
วิธีที่ต่างกันทั้งสองปะทะกันอีกครั้ง ท่าให้เกิดประกายไฟนับไม่ถ้วน
เป็นเวลานาน ทั้งคู่ปลดปล่อยเทคนิคและกระบวนท่า ทําให้ผู้ชมตาลาย
โดยไม่รู้ตัว ผู้ชมตกอยู่ในภวังค์ ปากพวกเขาเปิดกว้าง แต่ไม่พูดอะไร มันรู้สึกเหมือนพวกเขากําลังมองดูเหล่าเทพเซียนสู้กัน
เป็นการต่อสู้ที่ยอดเยี่ยมมาก!
ขณะที่พวกเขาต่อสู้กัน ช่วงเวลาตัดสินก็มาถึง
มันคือวินาทีที่จะตัดสินผู้ชนะ!