Legend of the mythological genes - ตอนที่ 92 การสะกดจิต
พลังงานจิตเป็นพลังงานไม่มีรูปแบบหรือสสารใดๆเลย เมื่อถูกส่งออกไปก็ยากที่คนอื่นจะป้องกันได้
นักวิทยาศาสตร์ค้นพบหลังจากทดลองหลายครั้งว่าพลังงานจิตคือคลื่นสมองที่แปลกประหลาด
เมื่อปลุกยีนจิต จะสามารถส่งคลื่นสมองเหล่านี้ออกมาเหมือนคลื่นเสียง มีเสียงสะท้อนกลับมาอีกครั้งเมื่อคลื่นสมองกระทบกับวัตถุ ต่อมใต้สมองจะรับรู้คลื่นสมองที่ส่งกลับมา และรับรู้สภาพแวดล้อมจากมัน สิ่งนี้คล้ายกับความสามารถในการสะท้อนตำแหน่งของปลาโลมา
นอกจากนี้เมื่อคลื่นสมองชนิดนี้มีความแข็งแรงในระดับหนึ่ง มันจะสามารถแทรกแซงความคิดของผู้อื่น สะกดจิตพวกเขาหรือทำให้พวกเขาติดอยู่ในภาพลวงตาได้
นี่คือทฤษฎีของการสะกดจิตพันธุกรรม
นักสะกดจิตพันธุกรรมผ่านการปลุกยีนในตำนาน สามารถใช้พลังงานจิตเพื่อสะกดจิตคนได้
แต่ในทำนองเดียวกันก็มีบางคนเลือกใช้การสะกดจิตพันธุกรรมเพื่อควบคุมหัวใจมนุษย์ เพื่อตอบสนองความโลภในหัวใจ
ไม่ว่าในกรณีใดนักสะกดจิตพันธุกรรมเป็นนักพันธุศาสตร์ประเภทที่ไม่มีให้เห็นมากนัก ความสามารถของพวกเขาไม่สามารถถูกมองว่าทรงพลังหรือรอบด้านมากนัก แต่มันแปลกและมากความสามาราถ
อย่างไรก็ตามมันก็ทำให้หัวใจเฟิงหลินตื่นเต้น
หัวใจมนุษย์นั้นยากที่จะหยั่งถึง
หากเขาสามารถสะกดจิตได้ เขาจะสามารถเข้าไปในหัวของคนอื่นได้อย่างง่ายดาย นั่นจะมีประโยชน์ขนาดไหน?
เขาจะสามารถรู้ได้ว่าคนอื่นกำลังคิดอะไรอยู่ก่อนที่มันจะเกิดขึ้น นี่คือข้อได้เปรียบอย่างมาก เมื่อกำลังต่อสู้ในสงครามจิตวิทยา
สถานการณ์ภายในของบริษัทยาไจแอนท์แปลกมาก มีข่าวลือมากมายและมีหลายคนที่เจตนาไม่ดี
บางทีเขาอาจใช้ความสามารถทางจิตเพื่อค้นหาความลับและรู้ความจริง เพื่อที่เขาจะได้ป้องกันล่วงหน้า ทำให้ตัวเองอยู่ในตำแหน่งที่มั่นคงกว่านี้
เมื่อเขาคิดเช่นนี้ เฟิงหลินก็เริ่มค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการสะกดจิตพันธุกรรม
ถึงแม้ว่าบริษัทยาไจแอนท์จะเป็นเพียงผู้ผลิตยาพันธุกรรม แต่โมดูลการฝึกอบรมการศึกษาเกี่ยวกับนักพันธุศาสตร์นั้นมีรายละเอียดสูงมาก ดังนั้นจึงมีข้อมูลเกี่ยวกับการสะกดจิตพันธุกรรม
“การสะกดจิตคือการควบคุมจิตใจชนิดหนึ่ง ผู้ใช้จะต้องมีความแข็งแกร่งทางจิตใจ หลังจากนั้นผ่านการใช้ภาษาการกระทำและการเคลื่อนไหวร่างกาย พวกเขามีความสามารถในการปลดปล่อยเสน่ห์ของตัวเองเพื่อสร้างความสัมพันธ์และสร้างข้อเสนอที่แข็งแกร่ง พยายามโน้มน้าวจิตใจเป้าหมายจนสามารถควบคุมจิตใจของเป้าหมายได้ … คุญสมบัติของนักสะกดจิตพันธุกรรมสามารถจำแนกได้ว่าเป็นนักสะกดจิตฝึกหัด, นักสะกดจิตระดับเริ่มต้น, สะกดจิตระดับกลาง, สะกดจิตระดับสูง และระดับปรมาจารย์ เงินเดือนสำหรับนักสะกดจิตฝึกหัดไม่สูง ไม่ว่าใครปลุกยีนจิตขึ้นมาก็สามารถเรียนรู้เทคนิคการสะกดจิตเบื้องต้นได้ แตกต่างกับนักสะกดจิตอย่างเป็นทางการที่จะต้องผ่านการทดสอบที่ยากมากมาก่อนถึงจะควบคุมจิตใจของผู้คนผ่านการสะกดจิตได้ นั่นจึงจะถือเป็นนักสะกดจิตตัวจริง นักสะกดจิตระดับเริ่มต้นสามารถทำให้เป้าหมายนอนหลับลึกและรักษาบาดแผลทางจิตใจของพวกเขาให้ดีขึ้นได้! นักสะกดจิตระดับต้นมีเงินเดือนตั้งแต่ 100,000 เหรียญถึงล้านเหรียญดารา … “
ในโมดูลข้อมูลเรื่องการสะกดจิตพันธุกรรมมีรายละเอียดเยอะมาก
เฟิงหลินอ่านข้อมูลและตกใจ “อะไรกัน?นักสะกดจิตระดับต้นมีเงินเดือนสูงขนาดนี้เลยหรอ?”
หัวใจของเขาเต้นแรงด้วยความปราถนา หากเขาสามารถเป็นนักสะกดจิตพันธุกรรมได้ พลังงานจิตของเขาจะมีพลังสังหาร ไม่เพียงแค่นี้ มันหมายความว่าเขาจะมีอีกหนึ่งวิธีป้องกันตัวเอง เขายังสามารถพึ่งพาพลังงานจิตของเขาแลกกับจำนวนเหรียญดารา นี่อาจถือได้ว่าเป็นทักษะที่เหมาะสมมากๆ
เมื่อเขาตัดสินใจ เฟิงหลินก็หมกมุ่นอยู่กับมัน
แม้ว่าโมดูลศึกษาของบริษัทยาไจแอนท์จะมีเพียงความรู้ทั่วไปของการสะกดจิตพันธุกรรม แต่ก็เพียงพอสำหรับเฟิงหลินในตอนนี้แล้ว
เฟิงหลินเคาะโมดูล มีภาพของชายวัยกลางคนหนวดเคราเฟิ้มในชุดคลุมยาวปรากฏขึ้น เขานั่งสมาธิและนิ่งเหมือนบ่อน้ำโบราณที่ไม่มีคลื่น และเริ่มชี้แนะ
“ถ้าคุณต้องการเรียนรู้วิธีที่จะเป็นนักสะกดจิต คุณต้องเข้าใจสนามแม่เหล็กชีวภาพก่อน”
“สนามแม่เหล็กชีวภาพ?” เฟิงหลินไตร่ตรอง รู้สึกว่าคำนี้ดูลึกซึ้งมาก
ชายวัยกลางคนในภาพฉายเริ่มอธิบาย“สนามแม่เหล็กชีวภาพคือความลึกลับปริศนา มันยากมากที่จะวัดโดยใช้เครื่องจักรและคนเพียงคนเดียว มันสัมผัสได้จากการใช้พลังงานจิตที่ละเอียดอ่อน สนามแม่เหล็กชีวภาพเป็นสนามแม่เหล็กพิเศษที่ประกอบด้วยการหายใจ การเต้นของหัวใจ ชีพจร และแม้กระทั่งคลื่นสมองของสิ่งมีชีวิตและมีคลื่นความถี่ที่ไม่ซ้ำกัน สนามแม่เหล็กชีวภาพของมนุษย์ทุกคนมีเอกลักษณ์เหมือนลายนิ้วมือ หากมีคนนับพันคนจะมีสนามแม่เหล็กชีวภาพแตกต่างกันหลายพัน แม้ว่ากาแล็กซีจะกว้างใหญ่ขนาดไหนก็ไม่มีทางที่คนสองคนจะมีสนามแม่เหล็กชีวภาพเดียวกันได้ แม้จะเป็นฝาแฝดก็ยังคงมีความแตกต่าง ดังนั้นสิ่งที่นักสะกดจิตพันธุกรรมต้องทำคือการใช้พลังจิตของพวกเขาเพื่อที่จะเข้าใจสนามแม่เหล็กชีวภาพของมนุษย์หรือสิ่งมีชีวิตนั้นๆ หลังจากนั้นด้วยการใช้ภาษา การกระทำและภาษากาย พวกเขาสามารถก่อให้เกิดเสียงสะท้อนทางจิตกับเป้าหมายก่อนที่จะทำให้จิตใจของเป้าหมายค่อยๆมึนงงและในที่สุดก็จะถูกควบคุม แม้ว่าสิ่งนี้จะฟังดูไม่น่าเชื่อถือเป็นอย่างยิ่ง แต่เมื่อพูดถึงเหตุผลนั้นกลับง่ายมาก ยกตัวอย่างเช่นทหารก่อนทำสงคราม การพูดปลุกระดม การร้องเพลงของกองทัพ – สิ่งเหล่านี้สามารถกระตุ้นให้ทหารมีแรงฮึกเหิม พวกเขาจะต่อสู้อย่างกล้าหาญโดยไม่คิดถึงความปลอดภัยของตัวเอง นี่แหละคือการสะกดจิตอย่างหนึ่ง…”
ดวงตาของเฟิงหลินส่องแสงจ้าเก็บความรู้อันมีค่านี้ไว้ในหัว
“การสะกดจิตเด่นด้านการไม่ทิ้งร่องรอย มันเป็นเทคนิคที่เหนือชั้น หากอยากเจตนาสะกดจิตคนอื่น มันก็จะทำให้หัวใจของเป้าหมายเต็มไปด้วยความวุ่นวาย ดังนั้นจึงมีสามเทคนิคที่นักสะกดจิตใช้บ่อย นั่นก็คือรอยประทับฝ่ามือ การพูดและเครื่องมือ
“ฝ่ามือประทับเป็นศิลปะการต่อสู้พิเศษที่สามารถกระตุ้นพลังงานทางจิตของคนๆหนึ่งและใช้มันเพื่อทำให้จิตสำนึกของผู้อื่นเลือนรางเหมือนกับถูกสะกดจิต การพูดเป็นวิธีการหนึ่งที่ขึ้นอยู่กับการออกเสียง คำพิเศษ หรือจังหวะที่จะเขย่าจิตสำนึกของผู้อื่น ยกตัวอย่างเช่นบางส่วนของบทสวดพุทธจากยุคโลกโบราณมีชื่อเสียงในการสะกดจิตทำให้ตรัสรู้ สำหรับเครื่องมือก็หมายความว่านักสะกดจิตจะใช้เครื่องมือพิเศษต่างๆเช่นนาฬิกาพก, เหรียญ, การ์ด … เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของเป้าหมายก่อนที่จะบรรลุผลการสะกดจิตอย่างเงียบ
แม้ว่าเทคนิคจะแตกต่างกัน แต่ตรรกะที่อยู่เบื้องหลังเหมือนกันคือคำนึงถึงธรรมชาติของการสะกดจิต
“มีสามจุดสำคัญคือ หนึ่งนักสะกดจิตจะต้องเข้าใจสนามแม่เหล็กชีวภาพของเป้าหมาย ประเด็นแรกขึ้นอยู่กับความคมชัดของความรู้สึกทางจิตวิญญาณ ประการที่สองคือต้องปลดปล่อยพลังงานจิตและมุ่งเน้นไปที่เป้าหมาย ผ่านการเคลื่อนไหวของร่างกายและเสียงเพื่อสร้างอิทธิพลที่แข็งแกร่ง ประการที่สาม ช่วงเวลาคือสิ่งที่สำคัญมากต้องหาจังหวะเวลาที่ดีที่สุดในการป้องกันการโจมตีของเป้าหมาย ประเด็นสำคัญทั้งสามคือคุณสมบัติที่นักสะกดจิตต้องมี… “
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ เฟิงหลินก็หยุดบทเรียนชั่วคราวและเริ่มคิดทบทวน
ประเด็นสำคัญทั้งสามของการสะกดจิตฟังดูง่าย แต่ก็เป็นเรื่องยากที่จะบรรลุ
ไม่ว่าจะแข็งแกร่งแค่ไหนพวกเขาจะต้องเรียนรู้เทคนิคการต่อสู้ก่อนที่จะปล่อยพลังออกมา ไม่งั้นก็เหมือนวัวโง่
ในทำนองเดียวกันไม่ว่าพลังงานทางจิตจะแข็งแกร่งแค่ไหน พวกเขาก็ต้องเรียนรู้เทคนิคที่เหมาะสมก่อนที่พวกเขาจะใช้มัน
มันง่ายที่จะใช้พลัง แต่การเอาชนะใจตัวเองยากกว่าเป็นพันเท่า
เขาควรทำยังไง?
เฟิงหลินฟังต่อ
“มีวิธีและเทคนิคทุกชนิดที่จะปลดปล่อยความคิดของตัวเอง เราจะแนะนำหนึ่งในกลวิธีที่ง่ายที่สุด – การยิ้ม รอยยิ้มที่มาจากใจที่ปรากฏบนใบหน้าจะมีอิทธิพลไร้รูปร่างอันทรงพลัง ทำให้คนอื่นมีความสุข การยิ้มอาจทำให้คุณได้รับความไว้วางใจจากคนอื่น ถ้าสีหน้าของคุณเย็นชาและหน้าตาดุร้าย คนอื่นจะระวังคุณทันทีที่เห็น ถ้าเป็นอย่างนั้น ความน่าจะเป็นของคุณที่จะสะกดจิตเป้าหมายได้สำเร็จก็ย่อมลดน้อยลงอย่างมาก รอยยิ้มและท่าทางคือสะพานที่สั้นสุดในการเชื่อมต่อกับคนแปลกหน้า..”
โมดูลการศึกษาสิ้นสุดตรงนี้
“เพื่อปลดปล่อยพลังจิต มันต้องเริ่มจากรอยยิ้ม”
เมื่อเขาได้ยินเรื่องนี้ เฟิงหลินก็เห็นแสงสว่าง ในที่สุดเขาก็เข้าใจสิ่งที่เรียกว่าภาษากาย และวิธีการปลดปล่อยพลังจิต นี่คือตรรกะที่ง่ายที่สุด
เขาเข้าใจความจริงทั่วไปแล้ว ต่อไป สิ่งที่เขาต้องเรียนรู้คือเขาจะกลายเป็นนักสะกดจิตพันธุกรรมได้ยังไง