ระบบสัตว์เลี้ยงที่แข็งแกร่ง - ตอนที่ 110
SB:ตอนที่ 110 แผนการสร้างความหลงใหล
ลู่หยางมีความชัดเจนมากว่านี่คือความมั่งคั่งแบบไหน พวกเขาทั้งหมดเป็นผู้จารึกของตำหนักหมื่นสมบัติ และพวกเขาทั้งหมดทำงานที่นี่มานานกว่าลู่หยาง ตามค่าจ้างที่มอบให้โดยตำหนักหมื่นสมบัตินั้น พวกเขาแต่ละคนควรสะสมความมั่งคั่งจำนวนมากไว้ในมือแล้ว
ผู้จารึกไม่ได้ขาดแคลนเงิน นี่เป็นความรู้ทั่วไปที่ทุกคนในทวีปรู้ การขอให้พวกเขานำผลึกออกมาหลายร้อยหรือหลายพันก้อนนั่นก็ไม่ใช่ปัญหาเลย
มีทั้งหมดสามสิบถึงสี่สิบคนและแต่ละคนมีหลายร้อยถึงหลายพันผลึก นี่หมายความว่า พวกเขามีผลึกอย่างน้อยหลายหมื่นอัน เพียงแค่ลู่หยางไม่ได้เคลื่อนไหวไม่ใช่เพราะเขาไม่สนใจ แต่เป็นเพราะเขาต้องการสร้างความสนใจที่ยาวนานและเตรียมที่จะดึงดูดความมั่งคั่งมากขึ้นในอนาคต
แผนการพัฒนาไอดอลของเขาเริ่มก่อตัวขึ้นในใจของลู่หยางแล้ว ทันทีที่มันถูกตระหนักถึงแล้ว ลู่หยางจะมีวิธีหาเงินโดยไม่สิ้นสุด จากสถานการณ์ปัจจุบัน ถนนสายนี้ไม่ต้องลงทุนและไม่มีความเสี่ยงใด ๆ อย่างไรก็ตาม การเก็บเกี่ยวจากถนนสายนี้เทียบได้กับการเก็บเกี่ยวจากทักษะจารึกแน่นอน
ลู่หยางแอบดีใจ เขาอำลาแฟน ๆ ที่ไร้สมองเหล่านั้น และออกจากตำหนักหมื่นสมบัติไปโดยไม่แม้แต่จะหยิบเอาวิชาคุมอสูรระดับสูงไป
อย่างไรก็ตาม เกี่ยวกับเรื่องของการเลื่อนระดับไปยังผู้คุมสัตว์อสูรระดับสูง ลู่หยางไม่ได้กังวลเหมือนเมื่อก่อน ในอดีต เขาได้ผ่านความเจ็บปวดอย่างมากเพื่อก้าวไปสู่อันดับต่อไป นั่นคือเหตุผลที่ทำไมเขาถึงคว้าทุกโอกาสที่เป็นไปได้เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งของเขา อย่างไรก็ตาม ตอนนี้โอกาสนั้นอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว ลู่หยางรู้สึกว่าเวลายังไม่สุกงอมดี
ลู่หยางแอบเรียกผู้รับใช้ชั้นสูงหลี่ออกมาจากตำหนักหมื่นสมบัติของเขา ลู่หยางพบร้านอาหารแห่งหนึ่ง เขาสั่งไวน์ชั้นดีและเริ่มพูดคุยเกี่ยวกับแผนการพัฒนาไอดอลในวันพรุ่งนี้กับหลี่
เหนือสิ่งอื่นใด แผนการพัฒนาไอดอลไม่ใช่เรื่องง่ายๆ แม้แต่เด็กผู้ชายที่น่ารักในชีวิตก่อนของเขาก็ยังต้องการผู้จัดการเพื่อที่จะมาเป็นไอดอล ลู่หยางยังคงมีงานของตัวเองที่จะต้องทำ เขาไม่มีเวลามาหาคนที่จะมาจัดกาลดูแลทางด้านเศรษฐกิจของเขา และเขาก็ไม่มีความสนใจที่จะสอนสิ่งต่างๆจากชีวิตก่อนหน้านี้ของเขาให้กับใคร
เพียงแค่อธิบายงานที่ท่านต้องทำกับหลี่ จากนั้น ท่านก็เตรียมที่จะให้หลี่เริ่มทำงานในวันพรุ่งนี้
“ นายท่านลู่หยาง ชื่อเสียงของท่านกำลังฟื่องฟูแล้วตอนนี้ ทำไมจู่ๆถึงเรียกข้ามาที่นี่เพื่อดื่มล่ะ?” หลี่ถาม
ลู่หยาง ยิ้มเล็กน้อยและกล่าวว่า: “ปกติแล้วเหตุผลที่ข้าเรียกท่านออกมาก็เพราะว่าข้ามีบางอย่างที่ข้าต้องการความช่วยเหลือจากท่าน”
“ข้าจะไม่กลับไปที่ตำหนักหมื่นสมบัติในตอนนี้ ดังนั้นมีบางอย่างที่ข้าต้องบอกท่าน เมื่อท่านกลับไปถึง ให้ช่วยข้ากระจายข่าว “
ข่าวที่ลู่หยางต้องการให้เขาแพร่กระจายนั้นง่ายมาก มันคล้ายๆกับข่าวที่หนุ่ม ๆ น่ารักในชีวิตก่อนหน้านี้ของเขามีชื่อเสียงขึ้นมา ดังนั้นแน่นอนว่าเขาไม่สามารถละทิ้งพลังของการโฆษณาได้ แต่เหนืออื่นใด ไม่มีการโฆษณาใด ๆ ในโลกปัจจุบันนี้ของเขา อย่างไรก็ตามการไหลเวียนของข้อมูลยังห่างไกลจากสิ่งที่โลกในชีวิตก่อนหน้านี้ของเขาสามารถเปรียบเทียบได้ ตราบใดที่หลี่กระจายข่าวเพียงครั้งเดียว ผลกระทบก็จะไม่น้อยไปกว่าโฆษณาเหล่านั้น
เนื้อหาของข่าวไม่ซับซ้อน โดยส่วนใหญ่จะบอกให้ทุกคนรู้ว่าพรุ่งนี้ลู่หยางจะเผยแพร่วิชาจารึกต่อสาธารณะ
มันคล้ายกับการแสดงจากชาติก่อนของเขา แต่ การแสดงต้องใช้ตั๋ว ลู่หยางวางแผนมานานแล้ว เขาบอกว่าเขาจำเป็นต้องใช้วิชาจารึกต่อสาธารณะ แต่เขาไม่ต้องการให้พวกเขาเห็นด้วยตนเอง
นอกจากนี้ ยังมีการจำกัดจำนวนคนดู ลู่หยางได้ตัดสินใจแล้ว มีเพียงแฟน ๆ ที่ไร้สมองสามสิบคนเท่านั้นที่มีคุณสมบัติในการรับชม สำหรับวิธีการแบ่งจุดหรือตำแหน่งต่างๆ ลู่หยางจะมอบทั้งหมดให้หลี่จัดการ
นอกเหนือจากการให้หน้าเขาแล้ว หากใครต้องการที่จะชิงตำแหน่งดีๆ เขาจะต้องจ่ายผลึกมากขึ้น ผู้ที่เสนอราคาสูงสุดก็จะได้ไป ใครก็ตามที่ยินดีจ่ายผลึกมากกว่าจะมีสิทธิ์ดูจากข้างสนาม
“ มันจะดีที่สุดสำหรับท่านที่จะหาผู้สนับสนุนคนสองคนข้างใน หากเป็นเช่นนั้น ราคาของคุณสมบัติของผู้ที่จะได้เฝ้าชมจะไม่ต่ำอย่างแน่นอน…” ลู่หยางกระซิบขณะที่เขาขยับศีรษะไปใกล้หูของหลี่
หลังจากได้ยินคำแนะนำของลู่หยาง ดวงตาของหลี่ก็สว่างขึ้น เขาถูกดึงดูดโดยแผนนำโชคของลู่หยางทันที
โลกนี้มันเต็มไปด้วยปัญหามาโดยตลอดและไม่เคยมีวิธีการทางธุรกิจที่ชาญฉลาด เมื่อเทียบกับชีวิตก่อนหน้านี้ของลู่หยาง วิธีการทำธุรกิจที่นี่สามารถอธิบายได้ว่าล้าหลังเท่านั้น อย่างไรก็ตาม แม้แต่วิธีการทำธุรกิจที่ธรรมดาๆที่สุดในชีวิตก่อนหน้านี้ของเขาในสายตาของหลี่ก็เป็นอะไรบางอย่างที่ค่อนข้างนึกไม่ถึง
“ นายท่านลู่หยางทรงพลังจริงๆ! ข้าน้อยจะกลับไปเตรียมตัวเดี๋ยวนี้เลย! “
ลู่หยางกดหลี่ลงบนที่นั่งด้วยมือข้างเดียวและพูดว่า: “ท่านไม่ต้องกังวลกับเรื่องแบบนี้มากเกินไป หากท่านทำเหมือนร้อนรนเกินไปก็จะทำให้คนอื่นสงสัยได้ อย่างไรก็ตาม ส่วนแบ่งอยู่ที่นั่นและพวกเขาไม่ต้องการซื้อ ดังนั้นข้าไม่เคยบังคับพวกเขาให้มาดูการแสดงทักษะจารึกของข้า “
“ เรามาดื่มกันได้แล้ว เอาไว้คุยเรื่องนี้กันทีหลัง หากท่านไม่รังเกียจแล้วละก็ ท่านสามารถติดตามข้าได้ในภายหน้า หลังจากเรื่องนี้เสร็จสิ้นแล้ว ข้าจะตอบแทนท่านแน่นอน! “ในขณะที่พวกเขาพูดคุยกัน ลู่หยางก็ดื่มไวน์แรงทั้งชาม
เมื่อได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากลู่หยาง หลี่รู้สึกพอใจท่วมท้นและรีบดื่มแอลกอฮอล์ที่เข้มข้นในถ้วยของเขาพร้อมกับลู่หยาง แล้วใบหน้าของหลี่ก็เริ่มแดงขึ้น ลู่หยางหัวเราะอย่างซุกซนเมื่อเขารู้สึกว่าหลี่นั้นคออ่อนมาก หลังจากดื่มแอลกอฮอล์ที่เข้มข้นในถ้วยรวดเดียวหมด ลู่หยางเองก็รู้สึกเวียนหัว
เอ้อโกวจื่อ และ เว่ยเจียงนอนอยู่บนผืนหญ้าในป่าเล็ก ๆ ในเขตชานเมือง
“ วันนี้ ข้าได้เดินผ่านประตูนรกมาแล้วจริงๆ!” เอ้อโกวจื่อพูดเสียงแหบแห้ง แม้กระทั่งการหายใจของเขาก็ยังมีกลิ่นคาวเลือดแสดงให้เห็นว่าอาการบาดเจ็บของเขารุนแรงเพียงใด
“ มันก็ดีแล้วที่วันนี้เราหนีรอดมาได้ พี่ใหญ่ อย่าบ่นอีกเลยน่า ได้มั้ย?” เว่ยเจียงสูดหายใจขณะเมื่อพูด กลิ่นคาวเลือดก็แรงและอาการบาดเจ็บของเขาก็ไม่ได้เลวร้ายไปกว่าเอ้อโกวจื่อ
“ ถ้าเจ้าไม่ประมาท ข้าจะตกอยู่ในสภาพนี้มั้ย?” ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าข้าถูกห้ามไม่ให้บ่น! ใช่มั้ย? “
พวกเขาสองคนไปฐานที่มั่นของพวกขี้ข้าและแทบจะหนีความตายไม่พ้น แม้ว่าใครบางคนจะดุด่ากันโดยไม่พูดอะไร แต่บุคลิกเดิมๆของเอ้อโกวจื่อนั้นเรียบๆง่ายๆ เมื่อได้ประสบกับสถานการณ์ความเป็นและความตายมาแล้ว ทั้งสองคนถือได้ว่าเป็นพี่เป็นน้องกันอย่างแท้จริง นอกจากบ่นแล้ว เอ้อโกวจื่อยังปฏิบัติต่อเว่ยเจียงหมือนน้องชายคนเล็กของเขาจริงๆ
เอ้อโกวจื่อพูดกับเว่ยเจียงว่า: “เอาล่ะ ก่อนหน้านี้เรายุ่งมากกับการจัดการกับไอ้ชายหน้าบากจนเราไม่มีเวลากินยา เรามาพักผ่อนกันสักครู่ เมื่อบาดแผลของเราหายดีแล้ว เราค่อยกลับไปที่ตระกูลซุนกัน! “
พูดแล้วโกวจื่อก็เอาเม็ดยารักษาที่ลู่หยางให้เขาไว้ออกมา เดิมที ลู่หยางให้เขามาไม่น้อย แต่ตอนนี้เหลือเพียงไม่กี่เม็ด
“ เฮ้อ น่าเสียดายที่พี่ใหญ่ลู่หยางไม่ได้อยู่ที่นี่ ไม่เช่นนั้นวันนี้เราได้ฆ่าไอ้ชายหน้าบากไปแล้ว! แต่ เจ้ายังไม่ได้บอกข้าเลยว่าไอ้ชายหน้าบากคนนั้นคือใครและทำไมเขาถึงเป็นผู้นำของพวกขี้ข้านั่น ทำไมพละกำลังของเจ้าถึงอ่อนแอนักและไอ้หน้าบากนั้นมีพลังมากเหลือเกิน? “
เมื่อถูกเอ้อโกวจื่อถาม เว่ยเจียงก็รู้สึกอายเล็กน้อย และได้แต่พูดอย่างตรงไปตรงมาว่า: “เดิมทีข้าเป็นแค่คนเสเพล ถ้าไม่ใช่เพราะพี่ใหญ่ของข้าตายในสนามรบ ข้าก็คงไม่ได้เป็นพี่ใหญ่คนนี้ นามสกุลของชายที่มีรอยแผลเป็นคือ หยัน และเขาเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของสำนัก คราวนี้ เขาถูกย้ายไปยังฐานที่มั่นของเราเพื่อไปเป็นพี่ใหญ่ของเรา ดูเหมือนว่าสำนักกระบี่ฟั่นเฟือนไม่ได้วางแผนที่จะให้พวกเราขี้ข้าดูแลสถานที่แห่งนี้
มีฐานที่มั่นแบบนั้นมากกว่าหนึ่งแห่งทางตอนเหนือของเมือง เอาง่ายๆ มีมากเกินกว่าจะนับได้ และกลุ่มอันธพาลของเว่ยเจียงเป็นเพียงหนึ่งในนั้น สำนักกระบี่ฟั่นเฟือนรับผิดชอบทางตอนเหนือทั้งหมดของเมือง และผู้ใต้บังคับบัญชาของพวกเขาเป็นผู้ดูแลกลุ่มอันธพาลและฐานที่มั่นทั้งหมด ถ้าสำนักกระบี่ฟั่นเฟือนต้องดูแลแต่ละอย่างเองแล้ว ก็จะเป็นงานที่เยอะมากเกินไปแน่นอน
ในอดีต สำนักกระบี่ฟั่นเฟือนมีหน้าที่เพียงรวบรวมของกำนัลจากอันธพาลเหล่านี้เท่านั้น เฉพาะเมื่อมีปัญหาในฐานที่มั่นของอันธพาล สำนักกระบี่ฟั่นเฟือนจะส่งยอดฝีมือมาจัดการกับพวกเขา โดยปกติแล้ว อันธพาลเหล่านี้ที่ฐานที่มั่นจะไม่ได้ให้ความสนใจกับสำนักกระบี่ฟั่นเฟือนของพวกเขาว่า มันคืออะไร พวกเขายังมีอิสระอย่างแท้จริง ด้วยเหตุนี้เว่ยเจียงจึงชอบความรู้สึกของการได้เป็นหัวหน้า
แต่ตอนนี้ สำนักกระบี่ฟั่นเฟือนได้ส่งยอดฝีมือจากสำนักเพื่อเข้าควบคุมกลุ่มพี่น้องของเขา จะเห็นได้ว่า สำนักกระบี่ฟั่นเฟือนกำลังวางแผนที่จะเอาคนเหล่านั้นไปเป็นของตัวเอง ไม่เพียงแต่ความเป็นไปได้ที่ เว่ยเจียงจะเรียกพี่ๆน้องๆของเขามาทำงานให้กับตระกูลซุนหายไปแล้ว แม้แต่ตัวเว่ยเจียงเองก็ถูกพวกเขาขึ้นบัญชีดำ
“ เฮ้อ ทีแรก ข้าสัญญากับหัวหน้าเอาไว้แล้วว่าจะรวบรวมพี่น้องและสร้างพลังอำนาจของตระกูลซุนของเราในเวลาอันสั้น ดูเหมือนว่าจะเหลือเพียงหนทางเดียวแล้ว “
“ทางไหนเหรอ”
เว่ยเจียงถอนหายใจหนัก ใบหน้าของเขาแดงและพูดอย่างเขินอาย: “เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ข้ารู้สึกเสียใจกับพี่น้องที่ต่ำต้อยพวกนั้น ข้าก็มาจากชนชั้นต่ำต้อยด้วย ก่อนที่จะมาที่เมืองตงไหล ข้าสาบานกับพี่น้องของข้าว่าข้าจะกลายเป็นคนที่โดดเด่น แต่สุดท้าย ข้าก็จบลงด้วยการเป็นขี้ข้าคนนึงและข้าก็ไม่มีหน้าจะกลับไปพบกับพี่น้องต่ำต้อยพวกนั้นได้อีกแล้ว”
“ โชคดีที่ข้ามารู้ตัวแล้วตอนนี้ มันยังไม่สายเกินไปที่จะกลับไป ตอนนี้ข้าได้พบกับหัวหน้าลู่หยาง และหัวหน้าซุนวู ทันทีที่ที่ข้าพบพี่น้องที่ต่ำต้อยเหล่านั้นแล้ว แน่นอนว่าข้าจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อชักชวนพวกเขาให้เข้าร่วมกับตระกูลซุน! ยังมีผู้คนอีกมากมายที่กำลังอยู่ในห้วงแห่งความทุกข์! “เว่ยเจียงถอนหายใจ เขาไม่ได้เย่อหยิ่งและเผด็จการเหมือนแต่ก่อนอีกต่อไป
“ ดูเหมือนว่าเจ้าเองก็เป็นคนขมขื่นเหมือนกัน ไม่น่าแปลกใจเลยที่เจ้าเคยอยู่บนเส้นทางของอันธพาลมาก่อน “ ในเมื่อเจ้ามาอยู่กับหัวหน้าของเราแล้วตอนนี้ เจ้าควรจะทำผลงานให้ดี เจ้านายของเราจะไม่ปฏิบัติต่อเจ้าอย่างไม่เป็นธรรมแน่นอน!”
“ เจ้าเป็นแค่อันธพาลคนนึง แม้ว่าเจ้าจะก่อตั้งตัวเองได้ที่นี่ แต่เจ้าก็ยังไม่มีหน้าไปพบเพื่อนชาวบ้านของเจ้าได้อยู่ดี แค่ติดตามเจ้านายของเราก็ถือว่าเจ้าเป็นคนที่ได้สร้างชื่อให้กับตัวเองอย่างแท้จริงแล้ว!”
“ แน่นอน ข้าเข้าใจแล้ว!” เว่ยเจียงทิ้งความหดหู่ของเขาก่อนหน้านี้ และหัวเราะออกมาดัง ๆ : พี่ชาย เตี่ยซู่ ไปช่วยพี่น้องที่น่าสงสารของข้ากันเถอะ!
อาการบาดเจ็บของเอ้อโกวจื่อดีขึ้นมากแล้ว เขาตบต้นขาและพูดอย่างเข้มงวด: “ดี! นี่เป็นครั้งแรกที่เราทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่กับพี่หยาง เราต้องไม่ทำให้พี่หยางผิดหวังในตัวเราได้แน่นอน! “