ระบบสัตว์เลี้ยงที่แข็งแกร่ง - ตอนที่ 38
SB:ตอนที่ 38 เข้าร่วมตำหนักเมฆาสีม่วง
ฮานปินโกรธน้องชาย แต่เขาลืมไปว่าเจ้านายของเขายังคุกเข่าอยู่ที่พื้น ภายใต้ความกลัวสุดขีด อู๋เย่เข่าอ่อน เขาไม่มีพลังเหลือในตัวแล้ว แม้จะไม่มีลูกบอลเพลิงมุ่งเป้าไปที่เขา แต่เขาก็ลุกไม่ขึ้น สองสามคนข้างหลังเขากำลังจะคุยกัน เขาตะคอกขึ้นทันทีว่า “ไอ้พวกเศษขยะ! เร็วๆเข้า มาช่วยข้าลุกขึ้น มัวไปยืนอยู่ตรงนั้นทำอะไร!”
ฮานปินรีบวิ่งมาตรงหน้าอู๋เย่ จับแขนเขาแล้วดึงเขาลุกขึ้น พร้อมๆกับบ่นว่านายน้อยอู๋ “ท่านลุกขึ้นเองไม่ได้เหรอ? ต้องให้ข้าช่วยดึงท่านขึ้นมา…” เสียงที่บ่นเบาลงๆเมื่อรับรู้ได้ว่าอู๋เย่กำลังจ้องเขา
อู๋เย่ตบฮานปิน พูดอย่างโกรธๆ “ไอ้ระยำ! ดูเหมือนเจ้าจะไม่ชอบสินะ! ถ้าข้าลุกเองได้ ข้าก็ไม่จำเป็นต้องให้เจ้าช่วย ความรู้สึกของข้าเกือบจ…….”
แน่นอนว่าลู่หยางไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากที่เขากลับไปที่บ้านของเขา เขาแค่ได้ระบายความโกรธที่สะสมมาหลายวันนี้ลงไปกับนายน้อยหนุ่มสองคนนั้น
ขณะที่ผ่านเข้าประตูไป ความรู้สึกเย็นยะเยือกไต่อยู่บนหลังลู่หยางอีกครั้ง เขาสั่นไปทั้งตัว “นี่มันอะไรกัน?” ลู่หยางคิด รู้สึกหดหู่ยิ่งขึ้น
ถึงแม้จะเคยรู้สึกเช่นนี้มาก่อน แต่ก็ไม่ได้รุนแรงเช่นนี้ เขาเป็นผู้คุมอสูรชั้นกลางแล้ว ลักษณะทางกายภาพของเขาก็แข็งแกร่ง เขาควรจะมีภูมิต้านทานต่อเชื้อโรคทุกชนิด อะไรทำให้เขาหนาวเย็นได้เช่นนี้ มันแปลกมาก
ยิ่งไปกว่านั้น ถ้ามีอะไรผิดพลาด ระบบควรจะบอกเขาล่วงหน้า ลู่หยางรู้สึกพิศวงมาก
“ไม่ว่าจะอะไร วันนี้ข้าต้องรู้คำตอบให้ได้!”
เมื่อตอนที่เขาซื้อบ้านหลังนี้ เขาได้ยินจากคนขายเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ บ้านดีอย่างนี้ ราคาก็ไม่แพง ทำไมไม่มีใครซื้อ ปล่อยทิ้งไว้ในเรือนรับจำนองทองคำมาตั้งหลายปี
ตอนนั้น เขาไม่ได้ใส่ใจมาก แต่ตั้งแต่ที่ได้เข้ามาอยู่ ลู่หยางรู้สึกหนาวเย็นอยู่บ่อยๆและความสงสัยในใจก็ทวีคูณขึ้น
ลู่หยางเริ่มย้อนระลึกถึงเหตุการณ์ตอนที่เกิดความรู้สึกเช่นนี้ขึ้น เกือบจะทุกครั้งที่เขารู้สึกหนาวเย็น มันเป็นวินาทีที่เขาก้าวผ่านประตูบ้านเข้ามา
“ถ้าจะมีอะไรแปลกๆในลานบ้านนี้ มันต้องเกี่ยวกับประตูแน่!” ลู่หยางพูดอย่างมั่นใจ
ตาของเขาตรวจดูที่ประตูบานใหญ่อย่างระมัดระวัง แต่หลังจากที่ดูทั่วๆแล้ว เขาก็ยืนยันกับตัวเองว่า มันเป็นประตูบานใหญ่ธรรมดาๆ แต่อายุอาจจะมากหน่อย และจากบนสุดของประตู มันให้ความรู้สึกที่เรียบง่าย เขาไม่รู้ว่าประตูนั่นทำจากอะไร แต่เขาได้กลิ่นจางๆออกมาจากประตู
กลิ่นนั่นก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่หลังจากที่เขาทดลองซ้ำแล้วซ้ำเล่า ในที่สุดเขายืนยันว่าความรู้สึกแปลกที่เขามีไม่ได้เกี่ยวอะไรกับกลิ่นที่ประตู
ลู่หยางค้นหาต่อจนดึกดื่นก็ยังหาสาเหตุไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้นความรู้สึกแปลกๆไม่เกิดขึ้นอีกเลย ดังนั้นเขาล้มเลิกความตั้งใจที่จะหาต่อแล้วไปนอน พอตื่นอีกทีก็รุ่งเช้าแล้ว
หนึ่งคืนผ่านไปโดยไม่ได้คำตอบใดใด เขาเดาว่า “ดูเหมือนว่าถ้าข้าอยากไขความลี้ลับนี้ ข้าต้องไปที่เรือนรับจำนองทองคำ”
จากคำพูดและการกระทำของคนขาย ลู่หยางบอกได้เลยว่าคนขายต้องรู้อะไรแปลกๆในบ้านนี้ เขาอาจได้รู้ความลับบางอย่างจากปากของคนขาย ยิ่งไปกว่านั้น ลู่หยางยังมีสํญญาจำนองก้อนใหญ่อยู่กับเขา และถึงเวลาที่จะต้องชำระเงินให้เขา
บ้านเล็กหลังนี้มีราคาห้าหมื่นตำลึงเงิน และมีค่าเท่ากับศิลาผลึกชั้นต้นห้าพันอัน นอกจากเงินดาวน์ ลู่หยางยังเป็นหนี้4,250 ศิลาผลึกชั้นต้น ถ้าเป็นเมื่อก่อน เขาสามารถเอาทั้งหมดออกมาได้ในชั่วพริบตา แต่หลังจากที่ซื้อตำราวิชาฝึกอสูรขั้นกลาง และยกระดับสัตว์เลี้ยงสอง สามตัวแล้ว เขาตัดสินใจที่จะชะลอไว้ก่อน
“เฮ้อ ไม่มีเงินแล้วจริงๆ”
ทางเดียวที่เขาจะหาเงินได้ก็โดยการเป็นผู้จารึก ไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว ลู่หยางไปที่ตำหนักเมฆาสีม่วงอีกครั้ง ครั้งที่แล้วเขาไปเพราะลานหมื่นอสูร ครั้งนี้เพราะสัญญาจำนอง
เจ้าของร้านหนุ่มเห็นลู่หยางมาที่ตำหนักเมฆาสีม่วงสองสามวันครั้ง สองสามวันครั้งแต่ปฏิเสธที่จะเข้าร่วมเป็นสมาชิกกับตำหนักเมฆาสีม่วงดังนั้นเมื่อเขาเห็นลู่หยางมา เขาไม่ได้แสดงความกระตือรือร้นเช่นดังเมื่อก่อน
“น้องชาย ทำไมกลับมาหาคนแก่นี้แร็วนักล่ะ?”
ลู่หยางหัวเราะ บอกว่า “การมาที่ ข้ามาหาท่าน ณ ตำหนักเมฆาม่วง ข้าต้องมีบางอย่างอยากให้ท่านช่วย ถ้าไม่อย่างนั้น ข้าไม่มีเวลามาที่นี่เพื่อดื่มน้ำชาหรอกนะ”
เจ้าของร้านกลอกตาขึ้นมองลู่หยางแล้วบอกว่า “น้องชาย ยังไม่มีข่าวเกี่ยวกับเรื่องที่ท่านฝากข้าครั้งที่แล้วเลย ถ้ามีข่าวอะไร ข้าจะให้คนไปแจ้งแก่ท่านแน่นอน”
“ทำไมท่านไม่ถามว่าข้ามาทำไมครั้งนี้?”
เจ้าของร้านขยับใกล้เข้าไปหาลู่หยาง แล้วพูดว่า “ถ้าท่านต้องการให้ข้าช่วย ท่านจะบอกข้า ใยข้าต้องถาม?”
“ฮ่าฮ่า” ลู่หยางหัวเราะแล้วพูดต่อ “จริงๆแล้ว ที่ข้ามาหาท่านคราวนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ก็แค่ ข้ากำลังร้อนเงิน ข้าต้องการผลึกแลกบุปผา”
ทั้งสองคนนี้ถือว่าคุ้นเคยกันดี ไม่จำเป็นต้องสุภาพมาก “อั้ยหยา เจ้าจะเอาของป่ามาแลกเปลี่ยนกับข้างั้นรึ?”
เจ้าของร้านก็เป็นจิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์เหมือนกัน เขาขัดจังหวะความคิดของลู่หยางขึ้นทันที เขากล่าวว่า “น้องชาย ข้าไม่ได้เคยบอกท่านแล้วเหรอว่าของป่าน่ะไม่ได้มีค่าเช่นเมื่อก่อน ถ้าท่านร้อนเงินจริงๆ ท่านก็แค่เข้าร่วมตำหนักเมฆาสีม่วงของเรา ถึงตอนนั้น ท่านจะกลายเป็นคนรวย และไม่ต้องกังวลเรื่องผลึกเล็กน้อยเช่นนี้”
ลู่หยางมองเขาแล้วพูดฉุนเฉียวว่า “ข้าได้ยินแต่ว่าพวกท่านอยากให้ข้าเข้าร่วม แต่ข้าไม่เคยเห็นพวกท่านแสดงความจริงใจเลย อย่าบอกข้าว่าท่านวางแผนใช้ผลึกเล็กน้อยจากครั้งที่แล้วเพื่อซื้อข้า!”
เจ้าของร้านรู้ว่าลู่หยางกำลังสร้างเงื่อนไข เขาตบหน้าอกลู่หยางเบาๆ พร้อมกล่าวว่า “เป็นเพราะอย่างนี้นี่เอง น้องชาย ถ้าท่านอยากได้ผลประโยชน์บางอย่าง ก็แค่บอกมาเถอะ ทั่วทั้งเมืองเซียงหยางมีตำหนักเมฆาสีม่วงเราที่ปฎิบัติกับผู้จารึกอย่างดีที่สุด มีใครไม่รู้บ้าง!?”
“สำหรับผลประโยชน์อะไรที่ข้าต้องการ ข้าเคยบอกไปแล้ว แต่ทว่า ในเมื่อท่านตัดสินใจไม่ได้ ข้าก็จะไม่สร้างความลำบากให้กับท่าน ข้าได้แต่ล้มเลิกความตั้งใจของข้า”
เจ้าของร้านตาโตขึ้น และฉุกคิดถึงของสองสิ่งที่ลู่หยางได้ถามเขาเมื่อครั้งที่แล้ว หนึ่งคือเม็ดยาชักนำจิตวิญญาณระดับกลางและอีกหนึ่งคือตำราวิชาจารึกชั้นกลาง แม้ว่าเจ้าของร้านจะสนใจแต่สองสิ่งนี้ไม่ใช่เล็กๆ เขาไม่มีทางเอามันมาได้
ในที่สุด เจ้าของร้านได้ตระหนักว่าผลประโยชน์อะไรที่ลู่หยางอ้างถึง เขาถามว่า น้องชาย ผลประโยชน์ที่ท่านต้องการคือตำราวิชาจารึกชั้นกลางใช่หรือไม่
ลู่หยางพยักหน้า และพูดว่า “ข้าได้คิดทบทวนดูแล้ว การเข้าร่วมกับตำหนักเมฆาสีม่วงก็ไม่มีอะไรน่าเสียหาย แต่ข้าต้องการผลประโยชน์บางอย่าง”
“ข้าไม่เคยทำสิ่งใดที่ไม่เป็นประโยชน์” ลู่หยางคิดในใจ
เจ้าของร้านหน้าเข้มขึ้นพูดเสียงอู้อี้ว่า “ท่านนี่ยังไม่แก่เลย แต่ชั้นเชิงท่านไม่เบาเลย ท่านรู้คุณค่าของตำราวิชาจารึกชั้นกลางมั้ย? ถ้าท่านขายเป็นผลึก ท่านจะได้ผลึกกองเท่าภูเขาลูกเล็กๆ ท่านยังต้องการซื้อตำราวิชาจารึกชั้นกลางทันทีที่ท่านอ้าปากงั้นหรอ”
ลู่หยางแบมือทั้งสองข้างออก พูดอย่างช่วยไม่ได้ว่า “ท่านไม่สามารถให้ตามเงื่อนไขของข้า แต่ท่านไม่มีทางเลือกอื่น ท่านควรให้ตำราวิชาฝึกอสูรห้าดาวแก่ข้าเพื่อที่ข้าจะได้ทำขึ้นใหม่อีกบางชุด”
“รอที่นี่สักครู่ เดี๋ยวข้ากลับมา” เจ้าของร้านพูดโดยไม่หันมามอง เขาตรงไปด้านหลัง
ตำหนักเมฆาสีม่วงแบ่งออกเป็นหลายระดับ ห้องโถงข้างหลังเป็นสำนักงานใหญ่ ลู่หยางรู้ว่ามีสถานที่อันโอ่โถงอยู่ใต้ดินข้างล่างตำหนักเมฆาสีม่วง การดำเนินการของตำหนัก รวมไปถึงผู้ครองเมืองกับผู้จารึก ทั้งหมดอยู่ภายในโลกใต้ดินนี้ หลังจากที่เสียเวลาไปครู่ใหญ่ๆ ลู่หยางยังไม่เห็นเจ้าของร้านออกมาทำให้เขารู้สึกสงสัยยิ่งขึ้น
ครู่ใหญ่ๆ เจ้าของร้านออกมาจากห้องโถงข้างหลัง ใบหน้าปกคลุมไปด้วยแสงสีแดง ในมือของเขาว่างเปล่า เขาไม่เห็นตำราวิชาฝึกอสูรห้าดาวที่เขาต้องการ เขาเห็นแต่กระเป๋าใบหนึ่งในมือของเจ้าของร้าน
เขายิ้มและพูดกับลู่หยางว่า “เด็กน้อย ข้าได้บอกเรื่องของท่านกับนายท่านของตำหนักแล้ว นายท่านบอกว่าถ้าท่านสนใจจะเข้าร่วมกับตำหนักเมฆาสีม่วง มันเป็นไปไม่ได้ที่จะตกลงตามเงื่อนไขของท่าน เราให้ตำราวิชาจารึกชั้นกลางแก่ท่านไม่ได้แน่นอน”
ลู่หยางตื่นตระหนก ถามว่า “ท่านแค่ให้มันกับข้าไม่ได้รึ ถ้าอย่างนั้น ท่านอยากให้ข้าทำอะไร?”
เจ้าของร้านโยนกระเป๋าลงตรงหน้าลู่หยาง หัวเราะพร้อมกับพูดว่า “เมื่อข้าได้ยินว่าท่านกำลังร้อนเงิน นายท่านให้ผลึกมาหนึ่งหมื่นอัน บอกว่าให้มอบแก่ท่าน แต่อย่าเพิ่งรีบดีใจไป ทั้งหมดนี้เป็นเงินมัดจำสำหรับท่าน เมื่อท่านรับมันไปแสดงว่าท่านได้เข้าร่วมกับตำหนักเมฆาสีม่วงแล้ว
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ลู่หยางรีบชักมือกลับทันที สีหน้าเข้มขึ้น กล่าวว่า “นายท่านของตำหนักตกลงกับเงื่อนไขของข้ายังไง ข้าไม่ได้ต้องการผลึกนี้ ถ้าข้าไม่ได้ตำราวิชาจารึกขั้นกลาง งั้นข้าก็ไม่เอา ข้าไม่เชื่อว่าข้ายังเป็นผู้จารึกอยู่จะไม่สามารถหาที่ไหนที่จะได้ผลึกหมื่นอันเหล่านี้”
ลู่หยางแกล้งทำเป็นโกรธ และกำลังจะออกจากตำหนักเมฆาสีม่วงไป เขาหันหลังมุ่งตรงไปที่ประตู
เจ้าของร้านรู้สึกวิตก เขารีบไปยืนขวางลู่หยางไว้ “ท่านอย่าวู่วาม ช่วยฟังที่ข้าจะพูดหน่อย นายท่านของตำหนักเราบอกว่าตราบเท่าที่ท่านเข้าร่วมกับตำหนักเมฆาสีม่วง ผลึกจะไม่เป็นปัญหาสำหรับท่านในภายหน้า ตราบเท่าที่ท่านไม่ไปต่างเมืองข้าจะให้ผลึกหนึ่งหมื่นอันแก่ท่านทุกเดือนเป็นรางวัล สำหรับตำราวิชาจารึกชั้นกลางนั้น มันไม่ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้ แต่นายท่านบอกว่ามันขึ้นอยู่กับผลงานของท่าน หากผลงานของท่านดี ท่านสามารถเป็นผู้จารึกชั้นกลางได้ในหนึ่งเดือน นายท่านของตำหนักจะให้ตำราวิชาจารึกชั้นกลางแก่ท่านแน่นอน”
“เป็นผู้จารึกชั้นกลางภายในหนึ่งเดือน ตำราวิชาจารึกชั้นกลางจะได้มาง่ายๆอย่างนั้นเลยรึ?” ลู่หยางกล่าวอย่างร่าเริง
อย่างไรก็ตาม เขาแกล้งทำเป็นหดหู่ และพูด “คราวหน้าถ้าท่านมีอะไรจะบอก ช่วยบอกให้หมดในครั้งเดียวจะได้มั้ย?”