ระบบสัตว์เลี้ยงที่แข็งแกร่ง - ตอนที่ 39
SB:ตอนที่ 39 อดีตของสวนหลังบ้าน
เมื่อคิดถึงสิ่งที่เขาจะได้รับทุกเดือนและที่เขาได้รับผลึกหมื่นก้อนมาอย่างง่ายดาย ลู่หยางคิดว่ามันไม่เลว ยิ่งถ้าหากเขาจารึกวิชาควบคุมอสูรได้เขาจะได้ผลตอบแทนมากกว่านี้
“พอแล้วผู้ดูแลร้าน จากนี้ไปข้าควรเรียกท่านว่าผู้ดูแลอาวุโส ข้ายังมีสิ่งที่ต้องทำอยู่ เช่นนั้นข้าขอตัว ข้าหวังว่าเจ้าตำหนักจะพอใจกับผลงาน” หากเจ้าตำหนักพอใจผลงานเขา เขาจะได้รับวิชาควบคุมอสูรชั้นกลาง เมื่อถึงเวลานั้นเขาต้องการไม่ถึงหนึ่งเดือนเพื่อทำมันให้สำเร็จ
“จริงๆแล้ว การเข้าตำหนักเมฆาม่วงนั้นไม่จำเป็นเลย เพราะผู้จารึกทุกคนมีหน้าที่แค่ทำงานให้สำเร็จเวลาที่เหลือพวกเขาไม่จำเป็นต้องมาที่ตำหนัก”
“เป็นอย่างนี้นี่เอง” ลู่หยางกล่าว
เขาคิดว่าการร่วมตำหนักทำให้เขาเป็นเหมือนแรงงานในออฟฟิศในชีวิตที่แล้วที่ต้องไปทำงานทุกวัน หากมันไม่มีข้อจำกัดเช่นนั้น นั่นดีสำหรับลู่หยาง ผลตอบแทนปัจจุบันนั้นถือเป็นผลตอบแทนเสริม ในชีวิตก่อนหน้าเขาไม่กล้าคิดเลยว่าจะได้รับผลตอบแทนดีเช่นนี้
“นี่คือรางวัลสำหรับผู้กลับชาติมาเกิด เยี่ยม!”
เพียงแต่ลู่หยางยังเป็นทาสหนี้บ้านอยู่ ในเมื่อเขามีผลึกในมือ สิ่งแรกที่เขาต้องทำคือจ่ายค่าบ้าน โรงจำนำทอง
แม้คนที่นี่จะไม่มากเท่าตำหนักเมฆาม่วง ทว่ามันยังมีผู้คนไปๆมาๆเยอะอยู่มาก
นอกจากคนที่มาซื้อบ้านแล้ว ยังมีหลายคนที่มาเพื่อจ่ายหนี้ดังเช่นลู่หยาง มันไม่ง่ายที่เขาจะตามหาพนักงานคนเก่าคนนั้น พนักงานคนเก่าคนนั้นเป็นคนดูแลและข้อมูลต่างๆเขาเป็นคนดูแล ลู่หยางต้องหาเขาเพื่อจ่ายชำระหนี้
“โอ้ น้องชาย เจ้ากลับมาเร็วจัง เจ้าพอใจกับบ้านหรือไม่?”
ลู่หยางขมวดคิ้ว เขารู้ว่าบางสิ่งผิดปกติกับบ้าน มิเช่นนั้นจากตำแหน่งและขนาดบ้านและสวนเขามันถือว่าดีเลยแหละ ถ้ามันไม่มีสิ่งผิดปกติ เขาจะไม่พอใจได้อย่างไร?
อีกอย่างคือ ลู่หยางมั่นใจว่าเจ้าคนนี้นั้นรู้เรื่องความลับภายใน
ข้ารับใช้คนนี้กำลังคิดว่าลู่หยางมาเพื่อต่อว่าเขาเรื่องบ้าน เขาจึงถามลู่หยางว่าเขาพอใจกับบ้านไหม ทว่าเขาจะรู้ได้อย่างไรว่าคนจนคนนั้นบัดนี้กลายเป็นคนร่ำรวยแล้ว
“ช่างเถอะ ข้าให้ส่วนลดเขาไปแล้ว ยังไงข้าก็ไม่ยอมรับหรอก?” ข้ารับใช้พยายามปลอบใจตนเอง
ลู่หยางหัวเราะและยื่นหน้าเข้าไปถาม “ท่านพูดอะไรน่ะ ที่จริงแล้วข้ามาที่นี่เพื่อชำระหนี้บ้านที่เหลืออยู่ต่างหาก”
ข้ารับใช้คนนั้นถึงกับหน้าเปลี่ยนสี เขายิ้มเจื่อน”ข้าคิดมากไป อ๊า ท่านบอกว่าท่านมาชำระหนี้รึ?”
เขาแสดงสีหน้าไม่อยากเชื่อ “เกิดอะไรขึ้น ท่านมีเงินมากมายขนาดนี้ได้รวดเร็วเหลือเกิน?”
“ดูเจ้าพูดเข้า ข้าจะมีเงินไม่ได้รึไง?” ลู่หยางกรอกตามอง เขาล้วงอกเสื้อและนำถุงผลึกออกมา เมื่อดูจากขนาดของถุงนั่นสายตาของข้ารับใช้ถึงกับแสดงแววอิจฉา
“ท่านหาเงินได้มากมายขนาดนี้ในเวลาเพียงไม่นานได้อย่างไร!” ข้ารับใช้ตะโกนอย่างแปลกใจ
เมื่อทำขั้นตอนทุกอย่างเสร็จสิ้น ลู่หยางเป็นอิสระจากทาสบ้านเสียที
“เจ้าเด็กน้อย ตอนที่ข้าเห็นเจ้าครั้งแรก เจ้าไม่มีกระทั่งเงินมัดจำ ข้าไม่อาจดูคนได้จากภายนอกจริงๆ” การสามารถซื้อบ้านในเซียงหยางได้ในเวลาอันสั้นไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาทั่วไปสามารถทำได้
ลู่หยางขำ “ไม่นานนี้ข้าเองก็จนเหมือนพวกคนเหล่านี้แหละ เพียงแต่บัดนี้สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว”
เมื่อรู้สถานะของลู่หยางที่เป็นคนรวย ข้ารับใช้คนนี้ไม่กล้ามองไปที่ลู่หยางอีกต่อไป ทัศนคติต่อเขาเปลี่ยนไปร้อยแปดสิบองศาทันที ก่อนที่ลู่หยางจะถามเขา เขาชิงพูดขึ้นมา
“หลังจากที่ท่านอาศัยอยู่ในบ้านสวนนั่น ท่านไม่รู้สึกถึงความผิดปกติเลยรึ?”
ลู่หยางยิ้มอย่างมีเลศนัย “ข้าอยู่ที่นั่นมาสักพักหนึ่ง ท่านคิดว่าข้าไม่รู้หรอว่ามันมีบางสิ่งผิดปกติ ท่านคิดว่าข้ามาที่นี่เพื่อจ่ายหนี้อย่างเดียวรึ
“งั้นท่านก็รู้เรื่องที่อยู่ในบ้านน่ะสิ!” ข้ารับใช้กล่าวอย่างตะลึง
ลู่หยางกรอกตามองเขา “หากข้ารู้ทุกอย่าง ข้าจะมาถามเจ้าทำไม ข้ารู้สึกว่าเจ้านั้นรู้เรื่องดีกว่าข้า ข้าอยากรู้ถึงเจ้าของคนเก่าของบ้านนี้”
“เอ๋ เป็นอย่างนี้นี้เอง เช่นนั้นเราต้องเริ่มเมื่อสามปีก่อน”
สามปีที่แล้ว เจ้าของคนเก่าหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย กรรมสิทธิ์บ้านหลังนี้กลับสู่โรงจำนำทอง
และกลับมาขายต่อสู่คนภายนอก เมื่อคนเหล่านี้รู้ข่าวมีคนมากมายมาเสนอราคามหาศาลเพื่อซื้อบ้านหลังนี้ หลังจากนั้นครึ่งปีต่อมาคนที่ซื้อไปกลับมา เขาขอขายบ้านหลังนี้โดยไม่กล่าวถึงเหตุผล
ครั้งที่สอง บ้านหลังนี้ถูกซื้อโดยพ่อค้า ทว่าเพียงไม่นาน สามเดือนต่อมา เขากลับมาหาโรงจำนำทองและบอกว่าบ้านหลังนี้มีปัญหา เขาร้องขอเงินคืน ปรากฏว่าหลังจากที่เขาเข้าไปอาศัยในบ้าน สิ่งแปลกประหลาดเกิดขึ้นตลอด ทุกคนในครอบครัวเขารู้สึกเย็นวาบอย่างประหลาด ในท้ายที่สุด ลูกชายเจ็ดขวบของเขาเสียชีวิต มีชั้นน้ำแข็งเกาะอยู่บนร่างกายลูกชายเขา
สุดท้ายไม่มีทางเลือกโรงจำนำทองคืนเงินทั้งหมดให้เขา แต่โรงจำนำทองมิได้ยอมรับเรื่องประหลาดนั่นเกี่ยวกับการตายลูกชายเขา ทุกครั้งที่มีอะไรเกิดขึ้นกับบ้านโรงจำนำทองต้องชดใช้ค่าเสียหายด้วย สุดท้ายโรงจำนำทองทำได้เพียงลดราคาบ้านหลังนี้ลง ทว่ามีกฎข้อนึงอยู่นั่นคือ โรงจำนำจะไม่รับผิดชอบเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดที่สวนหลังบ้าน
เมื่อลู่หยางต้องการซื้อบ้าน โรงจำนำลดราคาอย่างที่สุดและลดข้อจำกัดทุกอย่างนั่นทำให้เขาซื้อได้อย่างง่ายดาย ครานี้เมื่อลู่หยางมาหาเขา เขาจึงคิดว่ามีบางสิ่งเกิดขึ้นที่สวน
“น้องชาย หากมีบางสิ่งไม่ดีเกิดขึ้นที่สวนนั่น อย่าแบกรับมันไว้ ทางโรงจำนำเราไม่อาจรับผิดชอบความเสียหายได้”
เมื่อตอนเขาทำสัญญาซื้อบ้าน โรงจำนำได้บอกชัดเจนว่าเขาจะไม่รับผิดชอบอะไร ซึ่งลู่หยางรู้ดีอยู่แล้ว
เขามาที่นี่ไม่ใช่จะมาร้องเรียน เพียงแต่เขาต้องการรู้เรื่องมากขึ้นเกี่ยวกับบ้านหลังนี้ ทำไมเจ้าของบ้านคนแรกอยู่มาสิบปีโดยไม่มีปัญหาเลยหละ จากนั้นเป็นต้นมาทุกคนมาอยู่มีปัญหากันหมด
“งั้น มันต้องเป็นเพราะเจ้าของคนแรกแน่ๆ”
ลู่หยางคิดอยู่นาน จากนั้นเขาถาม “ข้าต้องการทราบว่าปัจจุบันเจ้าของคนแรกนี่เป็นยังไงบ้าง บอกข้าที”
ลู่หยางล้วงกระเป๋าและหยิบผลึกออกมาสองสามก้อนส่งให้ข้ารับใช้ เขารีบเก็บมันและยิ้มกล่าว “เขาเป็นผู้ฝึกอสูรเหมือนกันและแข็งแกร่งมากด้วย แต่เราไม่รู้ระดับของเขา ข้าแค่รู้ว่าเขามีนิสัยประหลาดที่ชอบเลี้ยงหนอนจิตวิญญาณในบ้านเขาเอง”
“หนอนจิตวิญญาณ” ลู่หยางสงสัย
“ใช่ หนอนจิตวิญญาณ มันไม่ใช่สัตว์เลี้ยงอสูร แต่มันสามารถถูกควบคุมได้โดยวิธีเฉพาะและบางตัวที่แข็งแกร่งมันยังเทียบได้กับอสูรเลี้ยงสงครามเลยนะและมันมีความสามารถพิเศษอีก”
“ความสามารถพิเศษ เช่น ความเย็นเยือกแข็ง!”
ข้ารับใช้ถึงกับตะลึง ทีแรกเขาไม่คิดถึงเรื่องนี้ แต่พอลู่หยางพูดขึ้นมา เขาคิดว่ามันอาจจะเป็นไปได้
ลู่หยางตบหัวตนเอง และกล่าว “เอาหล่ะ ข้ามีสิ่งที่ต้องทำ ข้าขอตัวก่อน”
หลังจากออกจากโรงจำนำทอง ลู่หยางมุ่งหน้าไปที่บ้าน อย่างที่คิดข้ารับใช้นั่นรู้บางสิ่ง หากไม่ใช่เพราะอย่างนี้ เขาคงไม่มีวันรู้เรื่องหนอนจิตวิญญาณ หนอนนี่มันแตกต่างจากสัตว์อสูร หากมันซ่อนตัวอยู่ในมุมบ้าน เขาจะหามันเจอได้ยากมาก
“บางที ระบบจะเตือนข้าเมื่อข้าเจออันตรายหรือเจอกับปีศาจ” ลู่หยางคิด หนอนนี่อาจจะไม่อยู่ในการตรวจพบ
มุมปากเขายิ้มขึ้น ลู่หยางยืนอยู่หน้าประตู “มันเป็นหนอนจิตวิญญาณนี่เอง มันเริ่มน่าสนใจแล้วสิ”