ระบบสัตว์เลี้ยงที่แข็งแกร่ง - ตอนที่ 48
SB:ตอนที่ 48 นายพรานเฒ่า
ช่วงเวลาเก็บเกี่ยวมาถึงอีกครั้งหนึ่ง ชาวบ้านในชิงหยางได้รับผลตอบแทนกันค่อนข้างดี พวกเขาจะนำเหยื่อที่พวกเขาล่าได้ด้วยความอุตสาหะไปขายในเมืองเซียงหยางที่ซึ่งพวกเขาจะขายได้ราคาดี
ที่ทางเข้าเมืองเซียงหยาง
“ถ้าอยากจะเข้าเมือง จ่ายคนละห้าตำลึงเงิน!” ฮานปินตะโกนใส่พวกราษฎรสามัญชนเพื่อที่จะเก็บค่าคุ้มครอง
เงื่อนไขเหมือนเดิมเช่นแต่ก่อน คือ ถ้าใครมากับผู้คุมอสูร ฮานปินจะอนุญาตให้ผ่านเข้าเมืองโดยไม่ต้องเสียอะไรเลย แต่ถ้าเดินทางมากันเองโดยไม่มีผู้คุมอสูรมาด้วย ทุกคนต้องจ่ายค่าผ่านทาง
บุคคลที่ฮานปินจ้องจับตาดูอยู่คือสามัญชนผู้หนึ่ง เขาไม่มีภูมิหลังใดใด หรือเพื่อนที่เป็นผู้คุมอสูร เขาไม่อยากจ่ายค่าผ่านทางแต่เขากลัวที่จะมีเรื่องขุ่นเคืองกับฮานปินและคนอื่นๆ ดังนั้น เขาหยิบเงินห้าตำลึงเงินออกมาด้วยมือที่สั่นเทา แล้ววางมันลงในมือของฮานปิน ฮานปินมีสีหน้าอิ่มเอมพอใจแล้วอนุญาตให้สามัญชนผู้นั้นผ่านเข้าเมือง
“นายท่าน เรามาจากชิงหยาง นายท่านเคยตกลงจะให้เราผ่านเข้าไป!”
ในที่สุดก็มาถึงคราวของสามัญชนจากชิงหยาง พวกเขาสอง สามคนต้องการเข้าเมืองถ้าเขาต้องจ่ายคนละห้าตำลึงเงินเช่นคนก่อนหน้านี้ พวกเขาต้องเลือดตกยางออกเป็นแน่
เงินจำนวนนี้ไม่ใช่จำนวนเล็กน้อยสำหรับสามัญชนเหล่านี้ ถ้าต้องควักออกมาจ่ายเหมือนเป็นการกรีดเลือดเฉือนเนื้อของพวกเขา ดังนั้นนักล่าวัยชราผู้เป็นที่นับถือกันผู้หนึ่งรวบรวมความกล้าเอ่ยเจรจากับฮานปิน เขาหวังว่าอีกฝ่ายจะมีเมตตาให้พวกเขาผ่านเข้าไป เพราะเงินจำนวนนี้ไม่ได้ถูกเลย
ฮานปินกวาดตามองพวกเขาแค่แวบเดียวเพื่อจะดูว่ามีผู้คุมอสูรอยู่กับพวกเขา เขาอารมณ์ร้อนขึ้นมาทันทีแล้วพูดวางท่า “ในบรรดาพวกเจ้า ไม่มีผู้คุมอสูร ใช่มั้ย? ถ้าไม่มี ก็ต้องจ่าย พวกเจ้าไม่มีตากันรึ ไม่เห็นกันรึไงว่าคนเมื่อกี้เข้าไปได้ยังไง?”
นายพรานเฒ่าถอนหายใจ เขาจำได้ลางๆว่าไม่นานมานี้ตอนเขาเข้าเมืองก็เคยเกิดสถานการณ์คล้ายๆกันนี้ แต่ตอนนั้น ลู่หยางอยู่ที่นั่นด้วย ไม่เพียงแต่พวกเขาไม่ต้องจ่ายค่าเข้าเมือง พวกเขายังได้ให้บทเรียนกับยามเมืองเหล่านี้ด้วย
แต่ตอนนี้ ลู่หยางไม่เหมือนเดิมแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น เขาได้ยั่วโมโหคนใหญ่โตเช่นหลี่ซิ่ว ถ้าลู่หยางมาพวกเขาไม่กล้าทำให้เขาโกรธ ด้วยกลัวว่าถ้าเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วยแล้วพวกเขาจะเดือดร้อน
“เฮ้อ นี่แตกต่างจากเมื่อก่อน ครั้งที่แล้ว เขาอาจเป็นคนรักษาประตูเมือง แต่ลู่หยาง…..เฮ้อ ลืมมันซะ พี่น้องชาวบ้าน เรามาจ่ายเงินให้เขากัน หาไม่แล้วเราจะไม่ได้เข้าเมืองวันนี้” นายพรานเฒ่าถอนหายใจแล้วบอกพวกชาวบ้าน เขายื่นมือออกเพื่อรวบรวมเงินค่าผ่านทาง
“เดี๋ยวก่อน!” ยามเมืองคนหนึ่งได้ยินที่นายพรานเฒ่าพูด เขานึกถีงบางอย่างขึ้นมาได้ เขาดึงแขนฮานปินมาแล้วกระซิบ
ฮานปินโกรธ เขาจ้องไปที่น้องชาย พูดอย่างเกรี้ยวกราดว่า “เจ้าจะมัวมารออะไรอยู่! เตรียมไปเก็บเงินมา!”
คนที่ฮานปินเกลียดมากที่สุดคือคนประเภทนี้ คือ ถึงมีอะไรจะบอก จะรอให้ได้เงินมาก่อนแล้วค่อยพูดจะได้มั้ย?
“ไม่ พี่ใหญ่!” “ท่านไม่ได้ยินเหรอ? คนกลุ่มนั้นมาจากที่ไหน?” ยามเมืองบอกอย่างตกใจ
“เด็กเอ้ย!” “เจ้าพยายามจะทำอะไร ถ้าเจ้าไม่อยากได้เงิน งั้นเจ้าก็โง่ล่ะ?” ฮานปินฉุนเฉียว ปกติแล้วลูกน้องของเขาจะเชื่อฟังเขามาก เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นวันนี้
ถึงจะโดนฮานปินดุด่า เขายังจะห้ามฮานปิน เขาดึงฮานปินมาข้างๆแล้วพูดค่อยๆว่า “หัวหน้า ท่านลืมเรื่องที่นายน้อยอู๋พ่ายแพ้ไปเมื่อครั้งที่แล้วเหรอ?”
ฮานปินถลึงตาใส่ลูกน้องทันที แล้วพูดว่า “เด็กน้อย อย่าพูดถึงเรื่องนั้น ข้าจะลืมได้ยังไง แค่คิดถึงมันข้าก็โมโหแล้ว!”
“ไอ้เด็กเหลือขอลู่หยางนั่นก็มาจากชิงหยาง”
เขาใช้กำลังเกือบทั้งหมดตะโกนออกมา อยากให้ฮานปินได้ยิน แล้วเขาก็รู้สึกโล่งขึ้น
ที่สุดแล้ว ฮานปินตกใจ เกือบกระโดดลุกขึ้น “อะไรนะ ในเมื่อเจ้ารู้ ทำไมไม่บอกแต่แรก”
ยามเมืองบอกว่า “ข้ายากจะบอก แต่ หัวหน้า ท่านไม่ให้โอกาสข้า”
ฮานปินตบหัวลูกน้อง “ถ้าอย่างนั้นทำไมเจ้าไม่ปล่อยให้พวกนั้นเข้าไป เจ้าคงไม่อยากให้ข้าตายใช่มั้ย?”
เพียงแค่ได้ยินชื่อลู่หยางก็ทำให้ฮานปินเหงื่อแตกเปียกชุ่มไปทั้งตัว บทเรียนที่ลู่หยางให้ไว้เมื่อครั้งที่แล้วไม่ใช่เล็กๆ และเกือบจะเอาชีวิตของเขาด้วย ถ้าเขาไปทำให้ลู่หยางขุ่นเคืองเพียงเพราะเงินจำนวนเล็กน้อยนี้ ฮานปินนึกอยากตายจริงๆ
“เกิดอะไรขึ้นเหรอนายท่าน? ทำไมจู่จู่ท่านก็ไม่เอาเงินของเรา?” นายพรานเฒ่ารวบรวมเงินได้แล้วแต่ยามเมืองปฎิเสธที่จะรับ
ยามเมืองพูดขึ้นว่า “ไม่รับเงินของพวกท่านดีกว่า อะไร ท่านผู้เฒ่า ท่านตกอกตกใจเพราะมีงินเยอะเกินไปงั้นรึ ท่านอยากให้พวกเราจริงๆ หรืออะไร?”
“อ๋อ ไม่ใช่อย่างนั้น! ขอบคุณ นายท่านที่เมตตา!” ผู้ล่าอาวุโสรีบพูดขึ้น เขาลากเพื่อนๆชาวบ้านที่กำลังจะเข้าเมือง
แต่ฮานปินมาขวางไว้ก่อน เขาบอกว่า “ถูกแล้วท่านผู้เฒ่า ถ้าหากท่านพบท่านลู่หยาง จำไว้นะต้องพูดถึงเราดีดี เพราะตั้งแต่คราวที่แล้ว พวกเรากลายป็นคนใหม่แล้ว!”
“ลู่หยางอีกแล้วเหรอ!?” “เป็นไปได้มั้ยว่าหลังจากที่มีเรื่องบาดหมางใจกันกับหลี่ซิ่ว หลี่ซิ่วไม่ได้ทำอะไรเขาเลย” นายพรานเฒ่าคิดขณะกำลังเดินอยู่
พวกเขาคิดว่าเป็นเพราะยามเมืองเหล่านี้ที่ไม่คิดจะเก็บเงินพวกเขา แต่สุดท้ายแล้วเป็นเพราะลู่หยางต่างหาก
“เป็นไปได้มั้ยว่าเจ้าเด็กนั่นมีชีวิตที่ดีแล้วตอนนี้?” “แม้แต่ยามเมืองยังกลัวเขา อีกทั้งยังเรียกว่าท่านลู่หยาง!”
นายพรานเฒ่าเต็มไปด้วยความอยากรู้ แต่เขาก็ยังกังวลเล็กน้อย เหนืออื่นใด หลี่ซิ่วเป็นผู้กล้าที่มีชื่อเสียงมาช้านาน
เขาส่ายศรีษะ พูดในใจว่า “ลืมมันซะเถอะ ถ้ามีโอกาส ข้าจะไปเยี่ยมลู่หยางสักครั้ง เขามาจากเมืองเล็กๆ ใครจะรู้ล่ะ บางทีเจ้าเด็กนั่นอาจมีศักยภาพบางอย่างแล้วตอนนี้”
ตำหนักเมฆาม่วง
ลู่หยางยังคงยุ่งอยู่ในตำหนักเมฆาม่วง เขาได้รับค่าตอบแทนเล็กน้อยจากฟางตง เขากำลังจะกลับบ้าน
ที่หน้าประตูของตำหนักเมฆาม่วง ลู่หยางเห็นคนกลุ่มใหญ่กลุ่มหนึ่งห้อมล้อมชายชราคนหนึ่งอยู่ เขาสวมเสื้อผ้าธรรมดาๆ และเนื้อตัวสกปรกมอมแมม สถานที่เช่นตำหนักเมฆาม่วงโดยปกติแล้วจะไม่รับสามัญชน ส่วนผู้คุมอสูรเป็นคนที่เดินเข้าและเดินออกเสมอๆ
ชายชรานอนอยู่ที่พื้นหน้าตำหนักเมฆาม่วง ไม่ยอมลุกไป คนรับใช้ก็พยายามที่จะไล่เขาไป ลู่หยางรีบไปที่ประตู อยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
เขาได้ยินบริกรตะโกน “ไอ้แก่ ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่เจ้าควรอยู่ เร็วเข้า ไอ้ห่านี่ อย่ามาขวางทาง!”
เสียงร้องขอของชายชราดังออกมาจากฝูงชน ข้าขอร้อง ขอข้าอยู่ที่นี่ซักประเดี๋ยวนะ ข้าแค่มาหาใครบางคน ข้าไม่ขวางทางทำมาหากินแน่นอน”
“ถ้าเจ้าอยู่หน้าประตูอย่างนี้ เจ้ากำลังขวางทางธุกิจของเรา!” บริกรตะคอกใส่ ไม่มีร่องรอยของความสุภาพ
ลู่หยางมาถึงหน้าฝูงชนแล้ว และเห็นหน้าชายชราได้ชัดเจน เห็นแวบเดียวเขาจำได้
“นี่ใช่ท่านลุงสงมั้ย? ทำไมท่านถึงมาที่นี่!” ลู่หยางตะโกนจากข้างหลัง
นายพรานเฒ่ายืนงงอยู่ครู่หนึ่งก่อนตระหนักว่าเด็กหนุ่มในชุดสีดำข้างหน้าเขาเป็นคนที่เขากำลังตามหาอยู่ ทีแรกเขาลองเสี่ยงมาดูไม่นึกเลยว่าจะพบลู่หยางที่นี่จริงๆ
เขารีบแหวกฝูงชนและในที่สุดก็มาอยู่ตรงหน้าลู่หยาง
“ไอ้แก่! ข้าบอกแล้วไงว่าที่นี่ไม่ใช่ที่สำหรับคนเช่นเจ้า ทำไมยังพยายามเบียดเสียดเข้ามา อยากให้ข้าจับโยนออกไปรึยังไง!?”
ก่อนที่คนรับใช้จะปรี่เข้าไปคว้าตัวลุงสง มีฝ่ามือหนึ่งตบลงไปบนหน้าของคนรับใช้อย่างจัง ด้วยแรงมหาศาลทำให้มันลอยกระเด็นไป ฟันหักสองซี่ แล้วใบหน้าก็บวมด้วย
ลู่หยางพูดว่า “นี่คือกฎที่ฟางตงให้กับเจ้ารึ เจ้ากล้าแตะต้องเพื่อนของข้า!”
คนรับใช้เพิ่งจะเห็นตอนนี้เองว่าเป็นลู่หยางที่ลงมือใส่เขา และเมื่อได้เห็นสัญญลักษณ์เมฆาม่วงบนชุดของลู่หยางแล้ว เขารีบคุกเข่าลงและร้องขอ “ได้โปรดไว้ชีวิตข้าด้วย ใต้เท้า ข้าผู้น้อยมีตาแต่จำไม่ได้ ข้าผู้น้อยไม่รู้ว่าคนผู้นี้เป็นเพื่อนของท่าน!”
“ช่างมันเถอะลู่หยาง ดูเหมือนเจ้ามีบุญมีวาสนาจริงๆ คนที่ตำหนักเมมฆาม่วงเรียกเจ้าว่าใต้เท้า”
มาถึงตอนนี้ ลุงสงเชื่อสนิทใจแล้วว่าลู่หยางได้มาถึงจุดสูงสุดในเซียงหยางแล้ว ไม่เพียงแต่ยามเมืองที่กลัวเกรงลู่หยางมาก คนที่ตำหนักเมฆาม่วงก็ต้องใว้หน้าเขาด้วย
“โอ้ ลู่หยาง ข้าไม่คิดมาก่อนเลยว่าเด็กโง่เง่าเมื่อก่อนนี้จะโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาแล้ว ข้าคิดว่า วิญญาณแม่ของเจ้าบนสวรรค์ต้องรู้สึกยินดีแน่นอน”
“ท่านลุงสง แม่ของข้ายังไม่ตาย” ลู่หยางพูดค่อยๆ
นายพรานเฒ่าตกตะลึง แต่ก่อนที่เขาจะรู้ตัวอีกที ลู่หยางได้ดึงมือเขาพาเดินออกจากประตูตำหนักเมฆาม่วง
แล้วลู่หยางพูดขึ้นว่า “ท่านลุงสง ท่านต้องเอาหนังสัตว์เข้ามาขายในเมืองใข่มั้ย คงหนักพอดู ข้าจะพาท่านไปหาอะไรกินกันใกล้ๆนี้”
ลู่หยางดึงมือลุงสงพาเข้าภัตตาคารที่ดีที่สุดในเซียงหยาง เมื่อคิดย้อนหลังไปเมื่อก่อน ลู่หยางคิดถึงเพื่อนๆชาวบ้านของเขา พวกเขาล่าสัตว์ที่ภูเขาเดียวกัน ความสามารถในการล่าสัตว์ของเขาก็ได้มาจากนายพรานเฒ่าผู้นี้
ชีวิตเขาตอนนั้นมีความสุขมาก แต่ตอนนี้ หลังจากที่ถูกหลี่ซิ่วยุยง ไม่มีใครในชิงหยางกล้าเข้าใกล้ลู่หยางแล้ว เขารู้ว่าคนพวกนั้นคิดอะไร เขาไม่เคยติดต่อพวกเขาอีกเลย มาวันนี้ เขาพบลุงสงผู้ที่ตั้งใจมาหาเขา เขาตื่นเต้นมาก
“ลู่หยางเอ้ย ข้าไม่คิดให้เจ้าเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้น เจ้าคนเลวหลี่ซิ่ว มันไม่ควรมาหาเรื่องเจ้า ถูกมั้ย?” ชายชราถามด้วยความเป็นห่วง
ลู่หยางยิ้มหยันพร้อมกับบอกว่า “ท่านลุงสง อย่าห่วงเลย ถึงเขาไม่มาตามหาข้า ข้าก็จะไปตามหามัน ไม่เร็วก็ช้า ข้ายังไม่ได้แก้แค้นให้แม่ของข้าเลย”
นายพรานเฒ่าตะลึงกับน้ำเสียงของลู่หยาง แต่ดูสภาพของลู่หยางตอนนี้สิ กินอาหารหนึ่งจานต้องใช้ผลึกมากแค่ไหนกัน และเขาช่างฉลาดจริงๆไม่ว่าเขาจะอยู่ที่ไหนและดูเหมือนเขาไม่ได้โกหก
นายพรานเฒ่าเฝ้าจับจ้องมองลู่หยางพร้อมกับรำลึกถึงวันเก่าๆที่อยู่กับเขา ชายชราจะเร่งรีบกลับบ้าน เขาร่ำลาลู่หยาง
“ท่านลุงสง ข้ารู้ว่าพวกท่านงานยุ่งมาก ข้าไม่รั้งท่านไว้อีกแล้ว คราวหน้าถ้าท่านมีโอกาสมาเซียงหยาง ท่านต้องตรงมาหาข้านะ มีอีกเรื่องที่ขาอยากให้ท่านลุงสงช่วยเหลือ”
“ข้าอยากให้ท่านลุงกลับไปในเมือง และขอโทษเอ้อโกวจื่อแทนข้าด้วย บอกให้เขาหาเวลามาเซียงหยาง ข้าจะรอเขาที่นั่น”