ระบบสัตว์เลี้ยงที่แข็งแกร่ง - ตอนที่ 55
SB:ตอนที่ 55 ภารกิจสำเร็จ
“ระยำเอ้ย! มันหนีไปได้!” ลู่หยางโกรธจัด
หลังจากที่ใช้พละกำลังไปมากและดูเหมือนเขาจะจัดการไอ้เฒ่าหลี่ซิ่วได้แล้ว แต่ในที่สุดเขาประมาท และปล่อยให้หลี่ซิ่วมีโอกาสหนีรอดไปได้ เขาได้แต่เสียดายที่ยังไม่ได้สะสางความแค้นที่ยิ่งใหญ่นี้
เตี่ยซู่ปลอบใจลู่หยาง “พี่ชายหยาง! อย่าได้เสียใจไปเลย ครั้งนี้ไอ้เฒ่านั่นก็สูญเสียไปมากเหมือนกัน ถึงแม้เราได้ฆ่าสัตว์เลี้ยงสงคราม แต่เราไม่ทำอะไรชั่วร้ายในภายหน้าแน่นอน”
แต่ในความเป็นจริงแล้ว ความคิดของเตี่ยซู๋จะจริงแท้เช่นนี้หรือไม่?
ตราบเท่าที่หลี่ซิ่วยังมีชีวิตอยู่ เขาใช้เวลาไม่นานหรอกก่อนที่จะลุกขึ้นมาได้อีกครั้ง
สำหรับลู่หยาง การที่เขาก่อเรื่องขึ้นครั้งนี้ และแก้แค้น ถ้าเขาหนีไปจากเมืองเซียงหยาง แล้วถ้าครั้งหน้า หลี่ซิ่วเตรียมตัวมา มันแทบจะเป็นไปไม่ได้ที่จะราบรื่นเช่นครั้งนี้
ลู่หยางถอนหายใจเบาๆ เขารู้สึกผิดหวังเล็กน้อย อย่างไรก็ดี เขาก็ได้รับผลประโยชน์บางอย่าง เพราะหลังจากครั้งนี้ เขาเข้าใจไพ่ตายของหลี่ซิ่ว หากครั้งหน้าเขาสู้กับหลี่ซิ่วอีก เขาจะไม่อยู่ในสถานการณ์เช่นวันนี้แน่
“ครั้งหน้า บางทีเจ้าอาจเป็นแค่มดตัวนึงต่อหน้าข้า!” ลู่หยางพูดในใจด้วยรอยยิ้มอำมหิต
ด้วยระบบฝึกอสูรในมือ พละกำลังของลู่หยางเพิ่มขึ้นอย่างง่ายดาย ง่ายพอๆกับการกินและการดื่ม แต่พละกำลังของหลี่ซิ่วไม่ได้เพิ่มขึ้นง่ายดายเข่นนั้น ครั้งหน้าถ้าพวกเขาปะทะกัน ช่องว่างระหว่างพวกเขาจะยิ่งกว้างขึ้น ไม่เพียงแต่ในแง่ของพละกำลัง แม้ตัวหลี่ซิ่วเองก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของลู่หยาง
คืนนั้น ทั้งลู่หยางและเตี่ยซู่ขออาศัยพักอยู่ที่บ้านนายพรานผู้หนึ่งในชิงเหอ ลู่หยางสังเกตเห็นว่าตามร่างกายของนายพรานผู้นี้มีบาดแผลเต็มไปหมด เขารู้สึกแปลกใจจึงเข้าไปคุยกับนายพรานที่ห้องของเขา
“ท่านลุงไปเจออสูรร้ายมาบ้างหรือไม่?” “ในอดีต พี่ชายหยางกับข้ามักออกไปล่าสัตว์ในหุบเขาลึกๆเสมอๆ แต่พวกเรามีฝีมือค่อนข้างดีก็เลยไม่ค่อยได้รับบาดเจ็บกัน” เตี่ยซู่พูดไม่ยั้งคิด
ลู่หยางถลึงตาใส่เขา ภรรยานายพรานถอนหายใจแล้วกล่าวว่า “จริงๆแล้ว ตาเฒ่าของข้านี่เป็นนายพรานที่เก่งคนหนึ่งในเมืองนี้ แต่ช่วงเวลานี้ ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นที่แนวหุบเขาเทวะร่วงหล่น อสูรดุร้ายบางตัวออกมาปรากฏตัวที่แถบนอกสุดของหุบเขา”
“อสูรร้ายปรากฏตัวรึ?” “ท่านช่วยเล่ารายละเอียดให้ฟังหน่อยจะได้มั้ย?” ลู่หยางรีบถาม
“ข้าไม่รู้ถึงสถานการณ์ตรงนั้นหรอก แต่ในเมื่อพวกเจ้าอยากรู้ ให้ตาเฒ่าเป็นคนเล่าละกัน สรุปคือ เมื่อไม่นานมานี้ แนวหุบเขาเทวะร่วงหล่นเกิดการผันผวนมาก ผู้คนในเมืองล้มตายลง”
แต่ทว่าแม้ว่าเขาโชคดี เขายังคงได้รับบาดเจ็บ ขณะที่นางพูด น้ำตาของนางเอ่อล้นขึ้นมา
นายพรานเฒ่านอนอยู่บนเตียงและพยายามจะลุกขึ้น ในท่ากึ่งนั่งกึ่งนอน เขาเล่าให้ลู่หยางฟังถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
วันนั้น นายพรานเฒ่าและเพื่อนอีกสองสามคนกำลังล่าสัตว์อยู่บริเวณขอบของแนวหุบเขาเทวะร่วงหล่น เขาวางกับดักไว้ล่าสัตว์ตัวใหญ่ ตกกลางคืน พวกเขาได้ยินเสียงเคลื่อนไหวอยู่ในกับดัก และเสียงนั้นดูเหมือนจะไม่เล็กเลย
ดังนั้น พวกนายพรานจึงรีบวิ่งไปดู เมื่อพวกเขาเห็นแล้ว ต่างก็ตกตะลึงกัน เพราะทีแรกพวกเขาตั้งใจล่าสัตว์ป่าเช่นเสือ สิงโต แต่ไม่คิดเลยว่าในกับดักจะเป็นอสูรดุร้าย
อสูรร้ายเริ่มบ้าคลั่งทันที มันดิ้นหลุดเป็นอิสระจากกับดัก เป็นเพราะโชคช่วย นายพรานเฒ่าหลบหลีกกรงเล็บของอสูรร้ายได้ แต่นายพรานคนอื่นๆนั้นตายหมด
“แทบจะไม่ค่อยพบอสูรดุร้ายที่บริเวณขอบของแนวหุบเขา” ลู่หยางพูดพร้อมกับคิดไปด้วย
นายพรานเฒ่าไม่ได้พูดอะไรนอกจากหัวเราะขมขื่น แล้วเขาก็เล่าต่อ “จริงๆแล้วก็แทบจะไม่พบ ยกเว้นครั้งนี้ ที่พวกเราโชคไม่ดี”
“เป็นไปได้มั้ยว่ามันมีมากกว่าหนึ่งครั้ง?” เตี่ยซู่ถามแปลกใจ
นายพรานเฒ่าส่ายหัว แล้วถอนหายใจ “นอกจากครั้งที่พวกเราเจออสูรร้าย พวกพรานในเมืองก็เผชิญเหตุการณ์เช่นนี้เหมือนกัน และทั้งหมดนี้เกิดขึ้นภายในห้าวันที่ผ่านมานี้”
“และนี่ทำให้ทุกๆคนในเมืองชิงเหอวิตกกังวล พรานผู้มีประสบการณ์บางคนถึงกับไม่กล้าขึ้นไปล่าสัตว์ในหุบเขา หลังจากที่ประสบกับอสูรร้ายตลอดหลายครั้งนี้ จำนวนพรานที่เสียชีวิตเพิ่มมากขึ้นๆ สองวันนี้ไม่มีใครกล้าออกไปที่นั่นเลย!”
หลังจากที่ได้ฟังเรื่องราวทั้งหมด ลู่หยางรู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่าง แต่เขาบอกไม่ได้ว่าคืออะไร รู้เพียงว่า เขาไม่สบายใจ
เขากล่าวกับนายพรานเฒ่า “ท่านลุง ขอบคุณในความมีน้ำใจของท่าน” “พวกเราเพิ่งนึกขึ้นได้ว่ามีงานสำคัญด้องทำ พวกเราไม่รบกวนท่านแล้ว พวกเราจะกลับไปในเมืองคืนนี้”
เตี่ยซู่ยุ่งมาตลอดทั้งวันและยังไม่ได้กินอาหารดีๆเลย เมื่อได้ยินลู่หยางว่าจะออกเดินทาง เขาตกใจทันที
“อย่าเพิ่งสิ พี่ชายหยาง ดูสิท่านลุงกับท่านป้าดีกับเราแค่ไหน แค่พักอยู่ที่นี่ซักคืนเถอะนะ”
“เอ้อโกวจื่อ!” ลู่หยางเผลอตะโกนชื่อนั้นออกไป
แล้วเขาก็พูดต่อ “เชื่อฟังพี่ชายหยางของเจ้า พวกเราจะกลับเข้าเมืองเซียงหยางเดี๋ยวนี้ !”
เมื่อเห็นว่าลู่หยางกำลังจะโกรธ เตึ่ยซู่ได้แต่เดินตามหลังลู่หยางเงียบๆด้วยใบหน้าละห้อย
ทั้งสองคนรีบเร่งเดินทางตลอดทั้งคืน ถ้าไม่เป็นเพราะได้พบนายพรานเฒ่า และบาดแผลของเขาซึ่งดูแปลกจนนำไปสู่การเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด ลู่หยางก็คงจะลืมเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งไปแล้ว เขายังมีข้อมูลสำคัญที่ยังไม่ได้ส่งออกไป เมื่อนับเวลาดูแล้วนี่ก็ผ่านไปห้าวันแล้ว หลออู๋ซวงอาจจะกลับมาแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าพวกปีศาจอยากได้สารฉบับนี้มากนัก มันอาจเกี่ยวข้องกับข้อมูลลับของพวกปีศาจ สัญชาตญาณของลู่หยางบอกเขาว่าเป็นไปได้ที่เรื่องนี้มันจะเกี่ยวข้องกับอสูรร้ายที่อยู่แนวหุบเขาเทวะร่วงหล่น
“ข้าหวังว่ามันจะไม่สายเกินไป” ลู่หยางปลอบใจตัวเอง
ทั้งสองคนเดินย่ำไปบนพื้นดินที่อาบไปด้วยแสงดาว พวกเขารีบเดินทางกลับไปเมืองเซียงหยางซึ่งนับระยะทางแล้วหลายร้อยกิโลเมตร
ที่คฤหาสน์
ยามรักษาการที่หลอหยุนชานให้ไปส่งสารนั้นกลับมามือเปล่า หลอหยุนชานวิตกกังวลมากจนเหงื่อแตกทั่วใบหน้า
ในคฤหาสน์ หลอหยุนชานตะโกนอย่างอารมณ์เสีย “ไอ้เลวนี่ ข้าไม่ได้บอกมันหรือว่าให้รออยู่ที่บ้านเพื่อรอฟังข่าวจากข้า ทำไมในเวลาสำคัญเช่นนี้ ไม่มีใครอยู่เลย!”
“ท่านพ่อ ท่านก็เป็นเสียอย่างนี้ ข้ายังทำงานของข้าไม่เสร็จเลย ท่านก็เรียกตัวข้ากลับมาแล้ว!”
หลอหยุนชานจ้องอย่างโมโห แล้วตำหนิว่า” มันไม่ใช่ความผิดของเจ้าทั้งหมดงั้น ข้าบอกว่าไม่ให้เจ้าไป แต่เจ้าไม่ฟัง เจ้ารู้มั้ยปีศาจอเวจีปรากฏตัวขึ้นหลังจากที่เจ้าไป หลออู๋ซวงรู้เกี่ยวกับตำนานของปีศาจอเวจี แต่เมื่อรู้ข่าวเกี่ยวกับปีศาจ นางก็อดรู้สึกตกใจไม่ได้ นางกล่าวว่า “ปีศาจอเวจีรึ? มันปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งเหรอ!?”
“มันอยากขโมยของบางอย่างมันก็เลยบุกเข้ามาในเมืองเซียงหยาง ลูกสาวข้า เจ้าคิดว่ามันเป็นเรื่องสำคัญมั้ยสำหรับปีศาจอเวจีที่จะต้องเสี่ยงมาเข้าเมืองเพื่อมาขโมยของบางอย่าง?”
“นั่นก็จริง” หลออู๋ซวงพูด แล้วรีบมองหลอหยุนชานอย่างสงสัย นางถามว่า “แต่ท่านพ่อ แล้วเรื่องนี้มันเกี่ยวอะไรกับข้ารึ?”
หลอหยุนชานจ้องพร้อมกับพูดว่า “เจ้าเด็กนั่น ให้ข้าดูสิ่งนั้น มันเป็นสารฉบับหนึ่ง แต่เนื้อหาของมัน เขาต้องพบเจ้าก่อนถึงจะให้ข้าดูได้ เจ้าคิดว่ามันน่าโมโหมั้ยล่ะ!?”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น สายตาดูหมิ่นปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหลออู๋ซวง นางกล่าวว่า “อีกหนึ่งคน ท่านคิดว่าสารฉบับนึงจะทำให้ข้ามองเขาแปลกไปงั้นเหรอ?”
“ลูกสาวข้า สหายน้อยคนนี้แตกต่างจากพวกที่วิ่งตามตื้อเจ้า อย่าเพิ่งรีบด่วนสรุปไปสิ”
“สำหรับบางคนที่ไม่รักษาสัญญา ท่านยังจะให้ข้ากลับไปรอเขาเป็นนานสองนาน”
ก่อนที่พ่อกับลูกจะถกเถียงกันเสร็จนั้น คนรับใช้ก็เข้ามารายงานว่า
“นายท่าน! มีคนมารอพบท่านอยู่ข้างนอก ขอรับ!”
“เป็นใครกัน!” หลอหยุนชานถามขึ้นทันที
“ชายหนุ่มสองคน ขอรับ”
“หรือจะเป็น ลู่หยาง?” หลอหยุนชานตื่นเต้นขึ้นทันที เขารีบเรียกหลออู๋ซวง “ไปกันเถอะ ลูกสาวข้า! มากับข้า มาพบพ่อหนุ่มคนนี้ เจ้าอาจเปลี่ยนใจก็ได้”
หลอหยุนชานให้คนบรรยายรูปพรรณสัณฐานของคนที่จะขอเข้าพบเพื่อให้แน่ใจว่าเป็นลู่หยาง
หลออู๋ซวงเมื่อรู้ว่าบิดาหมายถึงอะไรก็โกรธมาก นางเดินย่ำเท้าปึงปังไปที่ประตู
“เชอะ ข้าอยากรู้นักเจ้าคนนี้เป็นคนมีพื้นเพเป็นมายังไง!”
“ข้าขอถามหน่อยว่าแม่นางอู๋ซวงกลับมาแล้วยัง?” ลู่หยางคอยยู่นอกประตู เขาถามคนรับใช้ของบ้านสกุลหลอ
หลังจากที่รู้สถานการณ์ที่แนวหุบเขาเทวะร่วงหล่น ลู่หยางรอต่อไปอีกไม่ได้แล้ว เขาหวังว่าเขาจะสามารถส่งสารฉบับนั้นได้ทันเวลาซึ่งจะเป็นการดีสำหรับตัวเขาเองด้วยเพราะเขามีบางอย่างค้างอยู่ในใจ
หลออู๋ซวงมาถึงประตูแล้วและได้ยินที่ลู่หยางถามเกี่ยวกับนาง นางขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วถามว่า “ท่านอยากพบข้ามากขนาดนั้นเลยเหรอ?”
“เป็นท่าน!” ลู่หยางหันหน้ามา และอุทานด้วยความแปลกใจเล็กน้อย
ไม่ต้องสงสัยเลยว่านางดูคุ้นตายิ่งนัก ลู่หยางจำอัศวินสาวที่เขาเคยพบเห็นเมื่อไม่นานนักได้ ตอนนั้น เขาตกตะลึงกับความงามของนาง และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เขาประทับใจม้ายูนิคอร์นที่นางขี่ เวลานี้ที่เขาพบหลออู๋ซวง เขากลับไปคิดถึงตอนที่พวกเขาพบกันครั้งแรกทันที “ท่านคือแม่นางอู๋ซวง?”
“ช่างงามเหลือเกิน!” เตี่ยซู่เพ้อ
“ท่านไม่รู้จักข้ารึ?” หลออู๋ซวงถามสงสัย “ถ้าอย่างนั้น ใครที่ยืนกรานให้เจ้ามอบสารฉบับนั้นให้ข้า ทำไมแม้แต่พ่อข้าท่านก็ให้ดูไม่ได้”
“นั่นเป็นความตั้งใจของเจ้าของสารฉบับนั้น ข้าเป็นเพียงผู้ส่งสาร ดังนั้น ข้าไม่กล้าทำเช่นนั้น”
“อ้อ…” “ ในเมื่อมันเป็นเช่นนั้น ตอนนี้ เจ้าก็พบข้าแล้ว เจ้าจะมอบสารฉบับนั้นให้ข้าได้แล้วยัง?”
ลู่หยางไม่ได้โง่ เขาเข้าใจทุกคำพูดของหลออู๋ซวง แต่เขาไม่คาดคิดว่าอีกฝ่ายหนึ่งจะตรงไปตรงมาเช่นนี้ เขาดั้นด้นมาถึงที่นี่เพื่อส่งมอบสารลับ และเมื่อมาถึงที่หน้าประตูบ้าน ยังไม่มีโอกาสแม้แต่จะกลืนน้ำลายซักอึกเดียว อีกฝ่ายหนึ่งก็กะจะไล่ให้เขาไปเสีย
“เอ่อ…..” ลู่หยางใบ้ไปชั่วขณะหนึ่ง เขาทำได้เพียงเอาสารฉบับนั้นออกมาจากอกเสื้อแล้วยื่นให้หลออู๋ซวง
ภายใต้สายตาที่จับจ้องอยู่เขาเห็นแขนเนียนใสบริสุทธิ์ราวกับดอกบัวขาวยื่นออกมาจากเสื้อคลุมสีเขียวหยิบเอาซองไปจากมือของเขา แล้วหดกลับไปอย่างรวดเร็ว
หลังจากที่จ้องดูใบหน้าเย็นชาของหลออู๋ซวงแล้ว ลู่หยางรีบถอนสายตาออกมา เขาบอกเตี่ยซู่ว่า “ไปกันเถอะเตี่ยซู่ พวกเขาไม่ต้อนรับเรา ไปเถอะ!”
รอเดี๋ยว ขณะที่ลู่หยางและเตี่ยซู่เกือบจะหันหลังเดินจากไป เสียงก้องกังวานดังออกมาจากด้านในคฤหาสน์ตระกูลหลอ