ระบบสัตว์เลี้ยงที่แข็งแกร่ง - ตอนที่ 58
SB:ตอนที่ 58 การโจมตีของกระแสอสูร
“นายน้อยอู๋ สถานการณ์เป็นยังไงบ้างตอนนี้?” “ท่านยังคิดว่าจะล้มข้าได้ด้วยลูกน้องของท่านยังงั้นหรือ?” ลู่หยางถามน้ำเสียงเยาะเย้ย
“ระยำเอ้ย!” “ไอ้สารเลว เจ้าลงมือได้เหี้ยมโหดจริงๆ!”
ทันทีที่ลู่หยางลงมือ ลูกน้องอู๋จั่นสามคนได้รับบาดเจ็บสาหัส แม้แต่อู๋จั่นก็แทบจะทนดูไม่ได้ ด้วยท่าทีเดือดดาล เขาม้วนแขนเสื้อขึ้นและพุ่งตรงเข้าหาลู่หยาง
“ไอ้หนู เจ้าถามข้าใช่มั้ยว่าแล้วจะยังไงถ้าเจ้าชนะคนของข้า? มา ข้าจะบอกเจ้าเดี๋ยวนี้ ถ้าเจ้าเอาชนะพวกเขาได้หมด ยังมีข้าอยู่อีกทั้งคน!”
แม้อู๋จั่นจะพยายามทำเสียงเอ็ดตะโรใส่ ลู่หยางไม่แม้แต่จะชำเลืองมอง เขาพลิกมือขวาเรียกเพลิงสีชาดออกมาอีกครั้งหนึ่งและทำให้ลูกน้องที่เหลือร่วงลงไปกองกับพื้นกันหมด ลู่หยางเดินตรงไปหาอู๋จั่น
“บอกข้ามา ที่ว่าข้าไปทำร้ายลูกพี่ลูกน้องของท่าน ใครคือลูกพี่ลูกน้องของท่าน?”
ลู่หยางหัวเราะขณะพูด “ถ้าท่านบอกได้ วันนี้ข้าจะยกโทษให้ ถ้าบอกไม่ได้ วันนี้ท่านก็อย่าคิดว่าจะหนีรอดไปได้”
“ไอ้หนู เจ้ารู้มั้ยเจ้ากำลังพูดอยู่กับใคร?”
แม้ว่าเขาจะถูกกำราบโดยรัศมีของลู่หยาง และได้พิสูจน์ด้วยตาตัวเองแล้วถึงเชิงยุทธ์ของลู่หยาง อู๋จั่นรู้ว่าเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะเป็นคู่ต่อสู้กับลู่หยางด้วยมือเปล่า ดังนั้นเขาต้องการที่จะกำราบลู่หยางในแง่ของสถานะ
ครอบครัวอู๋ของเขามีตำแหน่งใหญ๋โตในเมืองเซียงหยางรองจากสามตระกูลใหญ่ อีกทั้งเขาเป็นทายาทสายตรงของตระกูลอู๋ และด้วยเอกลักษณ์ของเขา เขาสามารถระรานใครก็ได้ในเมืองเซียงหยาง คนเดียวที่เขาจะก้มหัวให้ก็คือหลออู๋ซวง คนที่มาจากนอกเมืองเช่นลู่หยางน่ะหรือจะมาทำให้เขายอมจำนนได้ยังไง
เมื่อเห็นว่าลู่หยางยืนนิ่งอยู่หลังจากที่ได้ยินคำข่มขู่ของเขา อู๋จั่นก็กลับมาผยองอีกครั้ง เขาทำฮึดฮัดใส่ลู่หยาง “ไอ้สารเลว คุกเข่าลงก้มคำนับข้าแล้วยอมรับความผิดของเจ้าซะทุกอย่างยังพอแก้ไขได้ ข้าอาจไว้ชีวิตเจ้าครั้งนึง”
“แต่ถ้าเจ้าไม่ยอมคุกเข่าให้ข้า เจ้าคิดถึงผลลัพธ์ที่ทำให้ข้าขุ่นเคืองใจมั้ย?”
“คิดถึงผลเหี้…ๆที่ตามมามั้ย!?”
ไม่ต้องรอให้อู๋จั่นพูดเสร็จ ลู่หยางชกเข้าที่หน้าของอู๋จั่นอย่างจังหนึ่งหมัด ถึงไม่มีเพลิงสีชาด แค่กำลังของเขาซึ่งมากกว่าสี่หมื่นกจินก็ทำให้ใบหน้าหล่อเหลาของอู๋จั่นแทบจะบิดเบี้ยวไป ร่างของเขาลอยกระเด็นไป
เมื่อเขาลุกขึ้น เขากระอักเลือดออกมาพร้อมๆกับฟันที่หักสองสามซี่
ดูใบหน้าที่หล่อเหลาของเขาสิ มันบู้บี้อยู่ภายใต้กำปั้นของลู่หยาง ฟันซี่หน้าของเขาหล่นอยู่ที่พื้น เขาโกรธจัดจ้องมองลู่หยางอย่างกับอยากจะกลืนกินทั้งเป็นๆ
“ลู่หยาง! แกสมควรตาย!”
ลู่หยางตบจมูกเขา แล้วพูดว่า “ท่านต้องการหน้าตาอีกรึ? มันใช้ได้เหรอ?”
“หุบปาก!”
“งั้นก็พูดด้วยกำปั้นของท่านสิ”
การต่อสู้กับลู่หยางทำให้อู๋จั่นโกรธจนอกแทบระเบิด เมื่อเขาใจเย็นลงเล็กน้อยแล้ว เขาพูดอย่างโหดเหี้ยมว่า “ไอ้สารเลว อย่าหวังว่าข้าจะยอมจำนนต่อเจ้า!”
ในแง่ของพละกำลัง เขาจัดการกับลู่หยางไม่ได้ หรือพูดได้ว่าเขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของลู่หยาง
อู๋จั่นนึกถึงการใช้อสูรร้ายขึ้นมาทันที แค่ขึ้นอยู่กับอำนาจของครอบครัวเขา เขาจะกระทำการโหดร้ายใดๆข้างนอกก็ได้
ก่อนหน้านี้ ที่เขาไม่ได้เรียกอสูรร้ายออกมาเพราะเกรงจะมีปัญหากับตำหนักเมฆาม่วง แต่ตอนนี้อู๋จั่นไม่สนใจอะไรอีกแล้ว
ทันทีที่เขาพูดจบ อสูรร้ายตัวใหญ่โตสามตัวก็มาปรากฏอยู่ข้างหลังเขา ทุกๆตัวแสดงท่าทีที่ดุร้ายหมายเอาชีวิต ดูจากลักษณะท่าทางแล้ว พวกมันไม่ได้ด้อยกว่าอสูรร้ายสามตัวของหลี่ซิ่วเลย
“ตอนนี้ท่านเป็นบ้าไปแล้วรึไง? ท่านจัดการเรียกอสูรร้ายที่นี่น่ะหรือ ท่านไม่เกรงกลัวว่าคนของทางการจะมาพบเข้าหรือยังไง?”
ในกลางวันแสกๆต่อหน้าสายตาของทุกๆคน ลู่หยางเป็นนายท่านลู่แห่งตำหนักเมฆาม่วง ถ้ามีใครคิดจะจัดการปัญหาที่หน้าประตูตำหนักเมฆาม่วงแล้วละก็…..
เมื่อคิดถึงตรงนี้แล้ว ลู่หยางก็ยิ้มออก
“ในเมื่อท่านขอมา แล้วอย่ามาตำหนิข้าก็แล้วกัน”
เขาไม่ได้กะจะแสดงความสามารถของอสูรชั้นจักรพรรดิในตัวเขาที่นี่ เขาแค่เรียกพยัคฆ์เพลิงสีชาดให้มาเผชิญกับอสูรร้ายทั้งสามตัว แต่ทว่าถ้าจะให้สู้หนึ่งต่อสาม เขายังคงเสียเปรียบอยู่ พยัคฆ์เพลิงสีชาดโก่งตัวพร้อมกับคำรามใส่อสูรสามตัวตรงหน้ามัน
และก็เป็นไปตามที่คาดไว้ อสูรร้ายทั้งสี่ตัวส่งเสียงคำรามกึกก้องอยู่หน้าประตูตำหนักเมฆาม่วงดึงดูดความสนใจของพวกคนชั้นสูงในตำหนักเมฆาม่วง ภายในไม่กี่อึดใจ คนกลุ่มใหญ่ก็เดินออกมาจากตำหนัก และมาหยุดอยู่ตรงหน้าลู่หยางและอู๋จั่น
“พวกท่านกำลังทำอะไร? พวกท่านทำราวกับสถานที่แห่งนี้เป็นตลาดยังงั้นหรือ กล้าถึงขนาดที่เรียกอสูรร้ายออกมา!”
ทั้งหมดเป็นชายสูงวัยผมสีดอกเลาห้าคน ถ้าลู่หยางจำไม่ผิด พวกเขาต้องเป็นผู้อาวุโสของตำหนักเมฆาม่วง
โดยปกติแล้วแทบจะไม่ได้เห็นหน้าพวกเขา และลู่หยางเองก็ไม่ได้เห็นพวกเขามานานแล้ว แต่ตอนนี้ พวกเขาทั้งหมดปรากฏตัวออกมา บอกได้เลยว่า ความชุลมุนวุ่นวายวันนี้เป็นเรื่องใหญ่จริงๆ
ลู่หยางรีบทักทายผู้อาวุโสตำหนักอย่างนอบน้อม “พวกท่านต้องเป็นผู้อาวุโสของตำหนักถูกต้องมั้ย?”
“โอ้? ท่านใช่?” ผู้อาวุโสท่านหนึ่งจับจ้องมองไปที่ตัวลู่หยาง และสุดท้ายสายตาของเขาจับมาที่ปกเสื้อของลู่หยาง ที่มีสัญลักษณ์เมฆาม่วง และก็เข้าใจทันทีว่าลู่หยางเป็นคนของตำหนักเขา ยิ่งไปกว่านั้น ในฐานะที่เป็นผู้อาวุโสของตำหนัก สัญญลักษณ์นั้นของลู่หยางคือสัญญลักษณ์ของผู้จารึก
แล้วเขาก็หันไปจ้องอู๋จั่นทันที
เขากล่าวว่า “นายน้อยคนโตของตระกูลอู๋ ท่านมีเวลามาใส่ใจตำหนักเมฆาม่วงของข้าตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?!”
“อืมม ต่อหน้าตำหนักเมฆาม่วงของข้า คนที่ทำร้ายตำหนักเมฆาม่วงของข้า ท่านกำลังดูถูกพวกเราเกินไปแล้วใช่มั้ย?”
หลังจากตะคอกใส่อีกสองถึงสามครั้ง อู๋จั่นตื่นตระหนกจนตัวเย็นไปหมด และเมื่อเห็นลู่หยางเก็บอสูรแล้ว อู๋จั่นรวบรวมความกล้าพูดกับเหล่าผู้อาวุโสว่า “ท่านผู้อาวุโส นี่เป็นการเข้าใจผิด เขาเป็นแค่เด็กบ้านนอกคนนึง ครึ่งเดือนที่แล้ว เขายังล่าสัตว์อยู่ในหุบเขาโน่น เขาจะเป็นใครในตำหนักเมฆาม่วงได้ยังไง ต้องมีการเข้าใจผิดอะไรบางอย่างแล้ว”
“เข้าใจผิดรึ?” ผู้นำของผู้อาวุโสตำหนักพูดอย่างโมโห “นี่ท่านอู๋กำลังเยาะเย้ยว่าพวกผู้เฒ่าของเรากำลังสร้างความงุนงงอย่างนั้นหรือ เป็นไปได้หรือที่ถ้าเป็นคนของตำหนักเมฆาม่วงแล้วเราจะจำผิด!?”
“รีบไสหัวไปก่อนที่ข้าจะโมโห!”
“ถ้าไม่ใช่เพราะเห็นแก่บิดาของท่าน และตำหนักเมฆาม่วงของข้าแล้วละก็ ข้าจะไม่ปล่อยท่านไปง่ายๆอย่างนี้หรอก!”
ผู้อาวุโสตำหนักท่านอื่นๆหันไปคุยกัน อู๋จั่นกลัวจนแทบฉี่ราด เขารีบถูมือแล้วขอโทษผู้อาวุโสตำหนักทั้งห้าคน
ขณะที่อู๋จั่นกำลังจะไป เขาได้ยินเสียงนกร้อง
ผู้อาวุโสหัวหน้าตำหนักเกิดโกรธขึ้นมากระทันหัน เขาตะโกนขึ้นมา “เจ้าสารเลว ต่อหน้าข้า เจ้ายังกล้าเรียกอสูรร้ายออกมา เจ้าคิดว่าข้าไม่กล้าสู้กับเจ้ารึ!?”
อู๋จั่นไม่กล้าขยับเขยื้อนเลย ตอนนี้ เขาแค่อยากจะไปจากที่นี่เร็วๆ ไหนเลยที่เขาจะกล้าเรียกอสูรร้ายออกมา ทันใดนั้น เขาตะโกนขึ้น
“ท่านผู้อาวุโส ท่านกล่าวหาผิดแล้ว อสูรนั่นข้าไม่ได้เป็นคนเรียกออกมา!”
ผู้อาวุโสตำหนักหันไปยังทิศทางของเสียงแล้วเขาก็ตระหนักว่าเสียงนกร้องไม่ได้มาจากอู๋จั่น แต่เป็นนกตัวใหญ่กำลังบินอยู่เหนือศรีษะของพวกเขา
“เช่นที่ข้าพูดไว้ อสูรร้ายนี้ข้าไม่ได้เป็นคนเรียกออกมา……” ก่อนที่อู๋จั่นจะพูดจบ สีหน้าของผู้อาวุโสตำหนักและลู่หยางเข้มเครียดขึ้นมา อู๋จั่นเพิ่งจะรู้เดี๋ยวนั้นว่ามีบางอย่างผิดปกติแล้วตะโกนอย่างตื่นตระหนกว่า “ที่นี่คือเมืองเซียงหยาง ทำไมถึงมีอสูรร้ายบินอยู่เนือหัวพวกเราได้!”
“ไอ้หนู!” “หุบปากเหม็นๆของเจ้าซะ!” ผู้อาวุโสตำหนักด่าขึ้นอย่างโมโห สีหน้าของพวกเขากล้าหาญขึ้นมา อู๋จั่นไม่คิดว่าเหตุการณ์ไม่คาดคิดจะเกิดขึ้น เมื่อถูกผู้อาวุโสตำหนิ เขาหุบปากเงียบ ยืนนิ่งๆอยู่ข้างหลังผู้อาวุโสตำหนัก มองดูนกที่กำลังบินอยู่
นกที่กำลังบินอยู่ดูเหมือนจะเห็นลู่หยางในฝูงชน มันส่งเสียงร้องแปลกๆออกมาก่อนที่จะบินโฉบลงมา มันยังได้ส่งคลื่นเสียงออกมาโจมตีลู่หยางและคนอื่นๆ
“อย่างนี้ไม่ดีแน่!” “นี่เป็นความสามารถเทวะเฉพาะตัวของอสูรร้าย!” ลู่หยางร้องออกมา เขาอยู่ในท่าเตรียมพร้อมป้องกันแล้ว
เมื่อคลื่นเสียงเข้าจู่โจม เขาจะใช้ระฆังทองคำอมตะมาเป็นเครื่องป้องกัน เขาไม่กลัว
แต่อู๋จั่นไม่ได้มีความมั่นใจเช่นเขา เมื่อเห็นนกประหลาดเข้าจู่โจมแล้ว เขาแตกตื่นวิ่งพล่านราวกับสุนัขถูกน้ำร้อนลวก วิ่งไปสักพักเขาเกือบจะหาช่องที่ซ่อนตัวได้
ผู้นำอาวุโสหลิ่วจ้องมองอู๋จั่นด้วยสายตาดูหมิ่น ขณะที่คลื่นเสียงจางไป ท่านผู้เฒ่ายกมือทั้งสองขึ้น ทันใดนั้นปรากฏพลังงานสีขาวผุดขึ้นจากฝ่ามือของเขา แล้วกลายเป็นจอแสงขนาดมหึมาล้อมผู้คนไว้ข้างใน ตามมาด้วยเสียงระเบิดตูมใหญ่ อู๋จั่นกลัวแทบมุดแผ่นดินหนี แต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้นรอบๆเขา เขายื่นหัวออกมามองไปรอบๆอย่างระมัดระวัง เห็นจอแสงเป็นแนวป้องกัน เขาค่อยโล่งใจ
เขาพูดว่า “ท่านผู้อาวุโส ในเมื่อท่านมีความสามารถ น่าจะบอกข้าก่อน ท่านทำข้าตกใจสะดุ้งโหยง!”
“เป็นเจ้าที่จะต้องยอมจำนน! ดูเขาสิ! นี่ละที่แตกต่าง!”
แน่นอนล่ะ เขาเปรียบเทียบลู่หยางกับอู๋จั่น ลู่หยางสงบเงียบกว่ามาก ที่จริงแล้ว ลู่หยางเห็นว่าผู้อาวุโสเหล่านี้มีความเชื่อมั่นมาก เขารู้ดีว่าพวกเขาต้องลุกขึ้นทำอะไรซักอย่าง แต่ถึงแม้จะไม่เหลือทางรอด ลู่หยางเองก็สามารถจัดการได้ ดังนั้น เขาจึงไม่กลัวตายเท่าอู๋จั่น
จ้องไปที่อู๋จั่น เขายิ้มเหยียดหยาม
“มีท่านผู้อาวุโสอยู่ที่นี่ พวกเราสามารถเฝ้าดูต่อไป”
“นี่เป็นอสูรระดับกลางชั้นยอด! มันมีกำลังมากเหลือเกิน!” ผู้อาวุโสหลิ่วกล่าว ท่าทางเขาดูเคร่งขรึมขึ้น
จากที่ได้ปะมือกับอสูรเมื่อกี้นี้ ผู้อาวุโสหลิ่วก็คาดเดากำลังของนกประหลาดนี้ได้ แต่เขายังแปลกใจ
นี่เป็นอสูรบินได้ มันจะได้เปรียบตอนอยู่ในอากาศ แต่หลังจากที่มันจู่โจมลงมา มันรีบบินกลับขึ้นไปบนท้องฟ้า ไม่ปล่อยโอกาสให้ผู้อาวุโสได้ทำอะไร
“ถ้าอสูรนี้มันไม่ลงมา เราก็ทำอะไรมันไม่ได้! ไม่มีอสูรตัวไหนของเราที่สูงปานนั้น!”
ลู่หยางเดินมาที่หน้าผู้อาวุโสหลิ่ว แล้วพูดว่า “ตราบใดที่ข้าสามารถล่ออสูรตัวนี้ออกไป ข้าจะหาทางเอาชนะมัน!”
ดวงตาขุ่นมัวของผู้เฒ่าหลิ่วฉายประกายขึ้นมาทันที เขาจ้องใบหน้าลู่หยางแล้วกล่าวว่า
“เจ้าพูดความจริงเหรอ? เจ้ามีความสามารถเช่นนั้นจริงเหรอ?”
ลู่หยางพยักหน้าแรงๆ แล้วพูดว่า “ไม่ว่าข้าจะมีความสามารถหรือไม่ ท่านผู้อาวุโสจะรู้เองหลังจากที่ได้ให้ข้าลอง!”
“ดี!” “ถ้าเจ้าสามารถทำสิ่งที่แม้แต่ข้ายังทำไม่ได้ งั้นข้าจะให้สัญญากับเจ้าเงื่อนไขหนึ่ง!”