ระบบสัตว์เลี้ยงที่แข็งแกร่ง - ตอนที่ 61
SB:ตอนที่ 61 ศิลาร้องไห้
ขณะที่ลู่หยางกำลังมองซากศพของอสูรร้ายข้างๆเขา เขาคิดในใจว่า “ทันทีที่กระแสอสูรจบลง มันคงจะดีที่จะมาขุดเอาซากศพอสูรเหล่านี้!”
ถ้าเป็นเมื่อก่อน ลู่หยางคงจะทนรอไม่ได้ที่จะชำแหละซากอสูรเหล่านี้เพื่อที่จะเอาผลึกของมัน แต่เขาไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้นแล้ว พวกอสูรบ้าระห่ำเริ่มตระหนักว่าพวกมันไม่อาจต้านทานต่อความดุร้ายของต้าเฮ่ยได้ พวกมันรู้ว่าลู่หยางซึ่งเป็นมนุษย์เป็นเจ้านายของต้าเฮ่ย พวกมันจะหันมาเล่นงานลู่หยางแทน
ลู่หยางสังเกตเห็นว่ามีบางอย่างผิดปกติกับพวกอสูร และเข้าใจว่าพวกมันหมายถึงอะไร เขาอดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้
“สัตว์ที่ไม่มีปัญญาพวกนี้อยากเล่นงานข้า ดูเหมือนข้าจะเหมือนลูกพลับนิ่มๆลูกนึงซิ”
ร่างกายมนุษย์ดูเหมือนจะอ่อนแอกว่าอสูรดุร้าย แต่ทันทีที่มันปะทุออกมา มันก็แฝงไว้ด้วยพละกำลังที่น่ากลัวเช่นกัน
เมื่ออสูรร้ายตัวแรกพุ่งเข้าใส่ลู่หยาง เขาใช้แค่พละกำลังของตัวเขาเองด้วยการใช้กำปั้นเหวี่ยงมันกลิ้งไปราวกับลูกบอล มันล้มกระแทกใส่กลุ่มอสูรด้วยกัน พวกมันไม่คิดถอยหนี วิญญาณกระหายเลือดของพวกมันถูกปลุกขึ้นมาแล้ว อสูรร้ายตัวแล้วตัวเล่าพุงเข้าใส่ลู่หยางเป็นระลอกๆ
ลู่หยางก็ไม่ถอยหนีเช่นกัน มีอสูรอีกเป็นร้อยๆที่นี่ เขากระโจนใส่ฝูงอสูรไปพร้อมๆกับพยัคฆ์เพลิงสีชาดและต้าเฮ่ย
หลอชิงหัวและกลุ่มผู้ติดตามตระกูลหลอเฝ้ามองดูสถานการณ์ด้านล่างอยู่แล้วพวกเขาก็ต้องตกตะลึงอ้าปากค้างพูดอะไรไม่ออกไปเลย
ทีแรกพวกเขาคิดว่าลู่หยางเป็นเพียงเด็กดื้อหัวชนฝา เมื่อเห็นต้าเฮ่ย พวกเขาก็ยังไม่อยากยอมรับพละกำลังของลู่หยาง แต่ตอนนี้ความจริงปรากฏต่อหน้าเขาครั้งแล้วครั้งเล่าพวกเขาไม่มีทางเลือกอื่นใดเว้นแต่จะเชื่ออย่างสนิทใจว่า ถึงแม้ลู่หยางจะอวดดี ก็เขามีดีให้อวด
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลอชิงหัวผู้ซึ่งแต่แรกยังมีความละโมบอยู่ในใจ แต่เมื่อเขาเห็นลู่หยางปฏิบัติการอย่างดุเดือดเสียยิ่งกว่าพวกอสูรบ้าระห่ำท่ามกลางพวกอสูรเป็นร้อยๆตัว ความคิดแต่แรกของเขาก็ถูกทำลายไปอย่างสิ้นเชิง
“ดูเหมือนว่าการที่เรามีเจ้าเด็กพิเรนคนนี้อยู่ด้วยจะทำให้ภารกิจของเราไม่น่ามีปัญหา บางทีเมื่อกองกำลังเสริมมาถึง มันจะไม่มีอสูรร้ายเหลืออยู่แล้วล่ะสิ”
ลู่หยางเองก็ยังมีสัตว์เลี้ยงสงครามเป็นโหลๆคอยช่วยเหลือเขาอยู่ข้างๆขณะที่อสูรร้ายก็ยังคงบุกมาอย่างต่อเนื่อง แต่ด้วยความช่วยเหลือของลู่หยาง ก้อนหินก้อนใหญ่นี้กลับมั่นคงแข็งแรงมากขึ้น ไม่ต้องเกรงกลัวคลื่นใดๆอีกต่อไป ไม่ว่ามันจะโดนกระทบสักกี่ครั้ง ไม่ว่าคลื่นอสูรจะรุนแรงเพียงใดผลลัพธ์ก็คือก้อนหินก้อนนี้ยังคงตั้งอยู่หน้าประตูเมือง ไม่ได้ถูกทำลายลงแต่อย่างใด
เวลาผ่านไป ในที่สุดคลื่นอสูรที่ถาโถมมาไม่สิ้นสุดเริ่มพอจะเหลือให้ได้เห็น ให้ได้นับได้แล้ว
หลอชิงหัวและคนอื่นๆได้แต่เฝ้าดูลู่หยางสังหารหมู่อสูรที่ด้านล่างนั่น ไม่มีใครรู้ว่าเขาเหนื่อยล้าแค่ไหน พวกเขาหลายสิบคนมีสีหน้าตกตะลึงเมื่อเห็นจำนวนของอสูรร้ายค่อยๆลดลงๆจนสามารถนับจำนวนได้
ลู่หยางเหน็ดเหนื่อยและเหงื่อเปียกชุ่มไปทั้งตัว แต่โชคดีที่กำแพงเมืองปลอดภัย และลู่หยางก็จะได้พักบ้าง
คนที่อยู่บนหอคอยประตูเมืองหัวเราะ และตะโกนว่า “พวกเจ้าทั้งหมดเป็นแบบนี้เสมอเลยเรอะ? ตอนนี้ไม่มีอันตรายแล้ว เร็วเข้า รีบลงมาช่วยที่ข้างล่างนี่กัน!”
หลอชิงหัวเมื่อหายจากตะลึงก็ได้เรียกบรรดาพี่น้องที่อยู่ข้างๆเขามารวมกัน แล้วบอกว่า “ทิ้งคนไว้จำนวนหนึ่งไว้เฝ้ารักษาประตูเมือง ที่เหลือตามข้าลงมา แล้วเก็บกวาดพวกนี้ให้หมด!”
ประตูเมืองเปิดกว้างออก คนนับสิบๆรีบเร่งออกมา แล้วต่อสู้กับอสูรที่เหลืออยู่ประมาณร้อยตัวสุดท้าย ด้วยความร่วมมือร่วมใจของทุกๆคน อสูรชุดนี้จะถูกกำจัดหมดไป
ลู่หยางบอกว่า “ช่วยส่งคนไปที่คฤหาสน์ผู้ครองเมืองให้บอกท่านผู้ครองเมืองให้ส่งคนมาช่วยเก็บกวาดอสูรพวกนี้ที และช่วยจัดหาอาหารให้กับพวกผู้อพยพในเมืองด้วย”
หลอชิงหัวตกลงทันที เขาเรียกผู้ติดตามคนหนึ่งให้ไปแจ้งข่าวที่คฤหาสน์ผู้ครองเมืองพร้อมกับขอความช่วยเหลือ สำหรับคนที่เหลือเหล่านี้ พวกเขายังหนุ่มแน่น และแข็งแรง ให้พวกเขายุ่งอยู่กับการลากซากศพของเหล่าอสูรพวกนี้เข้าเมืองไป
บนภูเขาในระยะห่างไกล ชายวัยกลางคนรูปร่างอ้วนล่ำพร้อมกับปีศาจมืดสองตนเฝ้าดูอยู่ พวกมันเห็นด้วยตาตัวเองว่าลู่หยางจัดการเหล่าอสูรคลื่นแรกได้สำเร็จ แต่ทว่า พวกมันไม่ได้รู้สึกไม่พอใจแต่อย่างใด ในทางกลับกัน ชายร่างอ้วนยิ้มราวกับว่าทุกอย่างเข้าแผนที่มันวางไว้ และยังไม่มีอะไรที่เหลือบ่ากว่าแรง
“เรื่องมันชักจะน่าสนใจขึ้นแล้วล่ะสิ ข้าไม่นึกไม่ฝันว่าจะเจอสุนัขล่าเนื้อที่นี่ตัวนึง…”ราชสีห์ขนทองหกเนตรหัวเราะขณะที่พูด และเมื่อตระหนักว่ามีบางอย่างผิดพลาด มันรีบพูดเสริมว่า “โอ้! ไม่ใช่สิ มันต้องเรียกว่า ลูกหลานของสุนัขล่าเนื้อศักดิ์สิทธิ์แห่งอเวจี ถ้าไม่ใช่ แม้แต่ท่านและข้ายังต้องวิ่งหนีมันเรอะ”
ชายร่างอ้วนก็หัวเราะด้วย “สุนัขศักดิ์สิทธิ์แห่งอเวจีเฝ้าประตูอเวจี และเป็นผลแห่งกรรมในตระกูลปีศาจอเวจี ราชสีห์ขนทองหกเนตร ท่านก็มีสายเลือดอสูรศักดิ์สิทธิ์ด้วย แต่อย่างไรก็ดี ท่านดูแตกต่างจากบรรพบุรุษของท่านเล็กน้อย”
เสียงหัวเราะแปลกๆนั้นแฝงแววเย้ยหยันอยู่
หลังจากที่สายเลือดอสูรขึ้นถึงชั้นจักรพรรดิแล้ว พวกมันได้ปลุกปัญญาแห่งจิตวิญญาณขึ้นมา เมื่อพละกำลังของมันขึ้นสู่ระดับที่สูงขึ้น พวกมันจะสามารถเข้าใจและใช้ภาษามนุษย์ในการสื่อสารได้ ราชสีห์ขนทองหกเนตรมีสายเลือดของอสูรศักดิ์สิทธิ์บวกกับสติปัญญาชั้นสูง ดังนั้นมันจึงเข้าใจความหมายที่ชายร่างอ้วนพูดทุกคำ
มันยิ้มแล้วพูดว่า “อย่าได้คิดว่าท่านจะทำอะไรก็ได้พียงเพราะว่าท่านมีบางอย่างที่ข้าอยากได้ ถ้าท่านทำให้ข้าอารมณ์ไม่ดี ระวังไว้ ข้าอาจหันหลังให้ท่านแล้วไปร่วมมือกับหลอหยุนชานแทน มาดูกันว่าเมื่อถึงตอนนั้นใครจะอ้อนวอนใคร”
“ข้าก็แค่ล้อเล่น ทำไมต้องโกรธเช่นนั้นด้วย เมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้นแล้ว ท่านจะสามารถเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ตั้งมากมาย”
ทั้งสองต่างมองหน้ากันแล้วยิ้ม ไม่มีคำพูดใดๆออกมา ต่อมาชายร่างอ้วนพูดขึ้นว่า “ในเมื่อไอ้เฒ่านั่นมันไม่ลงมือซะที ทำไมเราไม่ทำให้มันจบๆไปในทีเดียว แล้วถล่มหอคอยนี้ที่เรียกว่าเมืองเซียงหยาง?”
ราชสีห์ขนทองหกเนตรหัวเราะขึ้น “ข้าหมายถึงอย่างนั้นแน่นอน!”
ชายร่างอ้วนโบกมือออกคำสั่ง ก้อนหินข้างหลังเขาเริ่มกลิ้งลงมากัน หินภูเขาเหล่านี้ไม่ใช่ก้อนหินแปลกๆธรรมดาๆจากภูเขาสูง มันมีกรงเล็บที่แหลมและฟันที่คมที่สามารถงอกออกมาได้
พื้นดินภายใต้ฝ่าเท้าของเขาเป็นระลอกๆเพราะก้อนหินและภูเขาได้ฝังพวกมันไว้ในดิน พวกมันขุดดินสร้างเป็นอุโมงค์เชื่อมไปถึงหอคอยประตูเมือง ลู่หยางและคนที่เหลือยังคงเก็บกวาดสนามรบอยู่ และประตูเมืองยังไม่ปิด ทันใดนั้นคิ้วของลู่หยางขมวดเข้าหากันแน่นและจู่จู่ประสาททุกส่วนก็ตึงเครียดขึ้นมา ไม่มีวี่แววของอสูรร้ายหลงเหลืออยู่บริเวณนี้แล้ว แต่ลู่หยางรู้สึกไม่ดีเลย
“ฝูงอสูรศิลากลืนกิน อสูรชั้นต้นสายเลือดชั้นยอด ไม่ทราบจำนวน ที่ระยะร้อยเมตร ใกล้เข้ามาอย่างรวดเร็ว!”
“ฝูงอสูรศิลากลืนกิน อสูรชั้นต้นสายเลือดชั้นยอด ไม่ทราบจำนวน ที่ระยะร้อยเมตร ใกล้เข้ามาอย่างรวดเร็ว!”
“ฝูงอสูรศิลากลืนกิน อสูรชั้นต้นสายเลือดชั้นยอด ไม่ทราบจำนวน ที่ระยะร้อยเมตร ใกล้เข้ามาอย่างรวดเร็ว!”
เสียงระบบแจ้งเตือนสามครั้งต่อเนื่องกันดังอยู่ในหูของลู่หยาง เขาถลึงตามองไปรอบๆแต่ไม่มีวี่แววของอสูรร้าย แต่เมื่อสายตาของเขาจับจ้องลงไปบนพื้นดินที่ระยะไกลออกไป เขาสังเกตเห็นว่าดินตรงนั้นหมุนวนอยู่ราวกับว่ามีบางสิ่งเคลื่อนไหวอยู่ข้างใต้นั่น ลู่หยางหัวใจแทบหยุดเต้น เขารู้ทันทีว่าเกิดเรื่องแล้ว
“อสูรร้ายมาแล้ว! ทุกๆคน เร็วเข้า เข้ามาใกล้ๆประตูเมือง!”
หลอชิงหัวตื่นตระหนกไปด้วย แต่เขาก็คิดว่ามันแปลกเพราะเขาไม่เห็นร่องรอยของอสูรร้ายซักตัว ขณะที่หลอชิงหัวกำลังสงสัยอยู่นั้น เมื่อเขาเห็นสีหน้าที่ไม่ต้องสงสัยของลู่หยาง ใจของเขาก็ยอมทำตามที่ลู่หยางบอก
หลังจากที่ผ่านอะไรๆมามากมาย หลอชิงหัวได้สูญเสียความเป็นตัวตนของตัวเองไปแล้ว ราวกับว่าลู่หยางเป็นกำลังสำคัญในภารกิจนี้ หลอชิงหัวและเหล่าผู้ติดตามปฏิบัติต่อลู่หยางราวกับเขาเป็นเสาหลักของพวกเขา ลู่หยางพูดคำไหน จิตใต้สำนึกของพวกเขาเลือกที่จะเชื่อตาม
“เร็วเข้า! ปิดประตูเมือง!”
“พวกท่านเข้าไปก่อน! หาไม่แล้วจะสายเกินไป!” ลู่หยางพูดขึ้นทันที
แต่ตัวเขาเองไม่ขยับไปไหน เหมือนกับว่าตั้งใจจะไม่ไปอยู่แล้ว แต่เขาอยากให้หลอชิงหัวและคนอื่นๆเข้าไปแทน
ดินที่ปั่นป่วนปรากฏขึ้นต่อหน้าทุกคน หลอชิงหัวก็สังเกตเห็นว่ามีบางอย่างผิดปกติ เขาไม่ลังเลที่จะสั่งการทันทีให้ผู้ติดตามของตระกูลหลอวิ่งตรงไปยังประตูเมืองกับตัวเขา
ดูจากผิวดินตรงนั้นแล้วราวกับว่ามีอสูรร้ายมหึมาจำวนนับไม่ถ้วนกำลังเคลื่อนไหวอยู่รอบๆภายใต้ความลึกของผิวโลก รังสีของลู่หยางแผ่ออกมา เขากระทืบเท้าอย่างดุเดือดลงไปบนพื้นดิน ด้วยกำลังมากกว่าสี่หมื่นจิน แม้แต่พื้นดินยังสั่นสะเทือน
“เจ้านี่มันเป็นเด็กประเภทไหนกันนี่ กล้าออกมาเจอกับข้าหน่อยมั้ย!”
เมื่อเสียงสั่นสะเทือนได้ยินไปถึงข้างใต้ดิน พื้นดินบริเวณใต้ฝ่าเท้าลู่หยางแตกออกเผยให้เห็นปากกระหายเลือดอันใหญ่โตซึ่งเริ่มที่จะเขมือบลู่หยาง
เป็นเพราะการกระทืบเท้าของลู่หยางได้ไปขวางทางของอสูรศิลากลืนกินเข้า พวกมันก็เลยขึ้นมาบนพื้นดิน ก้อนหินดุร้ายก้อนใหญ่ๆและเขี้ยวยาวๆเรียงหน้ากันอยู่ตรงหน้าลู่หยางพร้องขู่คำรามเสียงดัง
ลู่หยางไม่ได้หันไปมองรอบๆ เขาชูกำปั้นขึ้นสูงแล้วต่อยไปที่ปากกว้างๆตรงหน้า กำปั้นของเขาซัดเข้าที่ฟันหน้าสองซี่ของอสูรร้ายเข้าเต็มๆ ด้วยกำลังกว่าสี่หมื่นจิน ฟันหน้าของมันแตกเป็นชิ้นๆ
เมื่อสูญเสียฟันแหลมคมแล้ว เจ้าอสูรรัรบรู้ถึงความเจ็บปวด ร่างใหญ่โตของมันกลิ้งลงกับพื้น ร้องโอดครวญด้วยความจ็บปวด
“ไอ้บ้าเอ้ย! ศิลากำลังร้องไห้!”
หลอชิงหัวหันมาเห็นเหตุการณ์ เลยอุทานขึ้นมา
อสูรศิลากลืนกินเหล่านี้มาจากสายเลือดชั้นยอดทั้งสิ้น ตอนนี้มีอสูรศิลากลืนกินมากกว่าสิบตัวที่ปรากฏตัวขึ้นมา และดูจากพื้นดินที่ปั่นป่วนอยู่เป็นลูกคลื่นลูกแล้วลูกเล่าแสดงว่ายังมีอีกมากที่ยังซ่อนตัวอยู่ใต้พื้นดิน ลู่หยางขมวดคิ้ว
“มานี่ เข้ามานี่!” “พวกเจ้าทั้งหมด เข้ามาหาข้านี่!”
เสียงกระทืบเท้าดังโครมใหญ่ ต้าเฮ่ยปรากฏตัวขึ้นข้างหน้าลู่หยาง พร้อมกับอ้าปากกว้าง กว้างพอสำหรับอสูรศิลากลืนกินทั้งกลุ่มนั้น
“ประตูอเวจี จงเปิด!”
ประตูสีดำลักษณะเดียวกันกับของต้าเฮ่ยปรากฏขึ้นบนหน้าผากของลู่หยาง ประตูอเวจึทั้งสองเปิดออกพร้อมๆกันก่อนที่พวกอสูรศิลากลืนกินจะเปลี่ยนทิศทางกันทัน พวกมันถูกกลืนกินค่อยๆหายเข้าไปด้วยแรงดึงดูดของประตูอเวจี