ระบบสัตว์เลี้ยงที่แข็งแกร่ง - ตอนที่ 68
SB:บทที่ 68 พงศาวดารของการต่อสู้ครั้งสุดท้าย
งานรวมตัวหมื่นอสูรถูกจัดขึ้นอีกครั้งเพื่อจุดประสงค์หนึ่งซึ่งเป็นการเพิ่มความแข็งแกร่งของผู้ที่ต่อสู้ด้วยพลังทั้งหมดของพวกเขาในสนามรบ
สำหรับผู้ควบคุมอสูรที่ครอบครองสัตว์เลี้ยงสงครามสามถึงสี่ตัวหลายคนอาจยังมีชีวิตอยู่เมื่อต่อสู้กับอสูรร้าย อย่างไรก็ตามหลายคนได้สังเวยชีวิตไปแล้ว พวกเขาไม่มีความสามารถเฉพาะตัวที่ยอดเยี่ยมเช่นลู่หยาง แม้ว่าจะมีบางคนที่สามารถฝึกอสูรดุร้ายบางตัวในกระแสอสูรเพื่อเติมเต็มความแข็งแกร่งของพวกเขา แต่นั่นก็เป็นคนกลุ่มเล็กๆ ดังนั้นหลังจากการโจมตีของคลื่นอสูรไม่กี่คลื่น สัตว์เลี่้ยงสงครามจำนวนมากก็ได้ตายลงไปแล้ว
หากปราศจากความช่วยเหลือของสัตว์เลี้ยงสงคราม เพียงแค่อาศัยความแข็งแกร่งของวิชาควบคุมอสูรเองก็ไม่ได้ทำให้อสูรร้ายหวาดกลัวแต่อย่างใด เพราะท้ายที่สุดพลังอำนาจของร่างกายมนุษย์มีจำกัด หลังจากสูญเสียสัตว์เลี้ยงสงครามแล้วซึ่งเปรียบเสมือนเสือที่ไร้กรงเล็บหรือเขี้ยวก็ทำให้สูญเสียพลังแห่งการต่อสู้ไปส่วนใหญ่ด้วย
ในเวลานี้ งานรวมตัวหมื่นอสูรได้ถูกจัดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง ไม่ต้องสงสัยเลยว่าจะมีข่าวดีมาสู่ผู้คุมอสูรทุกคน
ครั้งนี้งานรวมตัวหมื่นอสูรถูกแบ่งออกเป็นสองรอบ กองกำลังที่อยู่แถวหน้าถูกแบ่งออกเป็นกลุ่มๆ ในขณะที่ลู่หยางถูกจัดอยู่ในกลุ่มที่สอง ครึ่งหนึ่งของกองกำลังยังคงอยู่ แต่ผู้กล้าส่วนใหญ่เลือกที่จะอยู่ต่อ
วันนี้คงต้องเป็นวันพิเศษ บางที
บางทีอสูรร้ายจะเลือกโจมตีโดยอาศัยประโยชน์จากช่วงเวลาที่เมืองเซียงหยางอ่อนแอ เมื่อสูญเสียสมาชิกเกือบครึ่งไปแล้ว ผู้คุมอสูรในเมืองเซียงหยางยังคงมีจำนวนไม่เพียงพอ หากเหล่าอสูรร้ายจะเข้าโจมตีในปริมาณมาก มันจะเป็นการสู้รบที่ยากลำบากที่สุด
ลู่หยางเฝ้ามองเพื่อนร่วมทีมของเขาถอยกลับไปแล้วตัวเขาเองก็นั่งลงบนซากปรักหักพังอย่างเงียบ ๆ เพื่อกัดกินข้าวเที่ยงของเขา เขามองไปที่ท้องฟ้าที่กว้างไกล จากการต่อสู้อย่างต่อเนื่องทำให้ท้องฟ้าที่แต่แรกกระจ่างใสและเป็นสีคราม มาบัดนี้ถูกปกคลุมไปด้วยชั้นของความหมองหม่น
ที่เชิงเขาในระยะไกลมีแรงสั่นสะเทือนเกิดขึ้น ทันใดนั้นนัยต์ตาของลู่หยางก็หดกลับตั้งขึ้น
ตามภาพแนวตั้งนั้น ลู่หยางเห็นวานรดุเดือดขนทองนำกองทหารและม้านับพัน ทั้งปฐพีและภูเขาสั่นสะเทือนไปหมด เป็นเวลากว่าร้อยปีมาแล้วที่ความวุ่นวายเช่นนั้นได้เคยขึ้นภายในขอบเขตของเมืองเซียงหยาง แต่ครั้งนี้เป็นช่วงเวลาที่วิกฤตที่สุด
สายตาของลู่หยางค่อยๆขยับไปทางด้านหลังของวานรดุเดือดขนทอง เขาเห็นรางๆว่าที่ด้านหลังของวานรดุเดือดขนทองนี้มีเงาอีกหนึ่งอัน
ดูเหมือนว่ามันจะเล็กไปหน่อย แต่มันก็กล้าที่จะไต่เชือกและกระโดดขึ้นไปด้านหลังของวานรดุเดือดขนทองและแม้กระทั่งปีนขึ้นไปบนหัวของเจ้าวานรดุเดือดขนทองเพื่อที่จะอวดตัว ไม่มีอะไรให้น่าแปลกใจเลย เว่นแต่บนหัวของอสูรร้ายตัวเล็ก ๆ มีดวงตาหกดวงซึ่งทำให้ลู่หยางสนใจขึ้นมาทันที
เขาเห็นเพียงราง ๆ ว่าดวงตาทั้งหกของมันเปล่งประกายแสงสีทอง เขาต้องการเห็นให้ชัดเจนยิ่งขึ้น ขณะที่ล่หยางกำลังจ้องมองเจ้าอสูรตัวเล็กอยู่นั้น มันเองก็เห็นลู่หยางเข้าโดยบังเอิญ สายตาทั้งหกของมันจ้องประสานกันกับสายตาของลู่หยาง
ใบหน้าอันดุร้ายของมันดูเหมือนจะยิ้มให้กับลู่หยาง แต่ดวงตาสีทองทั้งหกนั้นส่องลำแสงสีทองหกเส้นมาเข้าดวงตาของเขา
ความเจ็บปวดอย่างหาที่เปรียบมิได้ผุดแปล้บมาจากดวงตาของเขาแล้วซึมลึกเข้าไปในจิตวิญญาณ
ลู่หยางกรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดและเหวี่ยงน่องไก่ในมือทิ้งไปข้างๆ
“น้องชาย เกิดอะไรขึ้น?” เมื่อซุนวูได้ยินเสียงกรีดร้อง เขารีบไปประชิดตัวของลู่หยางทันทีและถามไถ่เขาด้วยความเป็นห่วง
ลู่หยางปิดตาของเขาไว้แน่น มีเลือดและน้ำตาไหลออกมาจากมุมของดวงตาทั้งสองข้างของเขาทำให้ซุนวูตกใจจนอับจนปัญญา เขาคว้าหัวของลู่หยางทันทีและถามว่า: “น้องชาย เจ้าเป็นอะไรไป ตอนนี้เจ้าไม่สบายรึ? เจ้าจะตาบอดแบบนี้ไม่ได้ ใช่มั้ย “
ในความเห็นของซุนวู เขาไม่เคยเห็นลู่หยางเป็นเช่นนี้มาก่อน เขากำลังกินข้าวอยู่แล้วจู่จู่น้ำเลือดและน้ำตาก็ไหลออกมาจากดวงตาของเขา
“เป็นไปได้มั้ยว่าเจ้าได้รับบาดเจ็บภายในมาเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมานี้?” ซุนวูถามด้วยความสับสน
ลู่หยางตั้งศรีษะตรงแล้วขยี้ตาอย่างแรง จากนั้นเขาก็ค่อย ๆ ลืมตาขึ้น
สิ่งที่เขาเห็นมีแต่ความมืดมิดแล้วร่องรอยของแสงก็ค่อยๆปรากฏขึ้นต่อหน้าเขา จากนั้นภาพพร่ามัวก็ปรากฏขึ้น แต่เขาไม่สามารถมองเห็นใบหน้าของซุนวูได้ชัดเจน
โชคดีที่เขาไม่ได้ตาบอดสนิท ลู่หยางมีความสุขมากแล้ว หลังจากปรับให้เข้ากับวิสัยทัศน์ปัจจุบันของเขาแล้ว ลู่หยางก็ค่อยๆกระจายพลังงานในตัวของเขาเข้าไปในดวงตาทั้งสองข้าง การมองเห็นของเขาเริ่มชัดเจนขึ้นทีละนิดทีละนิด
เมื่อตระหนักว่าลู่หยางยังมองเห็นอยู่ ซุนวูรีบหาน้ำสะอาดจากข้างๆและช่วยลู่หยางเช็ดเลือดออกจากมุมตาของเขา เขาถามว่า: “เป็นยังไงบ้าง น้องชาย ตอนนี้รู้สึกดีขึ้นมั้ย?”
“มันยังมีมัวๆอยู่นิดหน่อย แต่ข้ามองเห็นแล้ว” ลู่หยางส่ายหัวแล้วพูด
“ถ้าอย่างนั้น บอกข้ามาว่าเกิดอะไรขึ้น จู่จู่มันกลายเป็นเช่นนี้ได้ยังไง “
เกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นกับเขา ลู่หยางเองก็ไม่รู้แจ้งเช่นกัน ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาเห็นก่อนหน้านี้ไม่ใช่เรื่องจริง และอสูรร้ายที่เปล่งแสงรังสีที่รุนแรงก็ไม่ได้อยู่ตรงหน้าเขาเหมือนกับที่เขาเห็น ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นเหมือนความฝัน อย่างไรก็ตามดวงตาของลู่หยางเกือบจะบอดเนื่องจากการจ้องมองของอสูรร้ายหกตา ดังนั้นลู่หยางจึงไม่คิดว่ามันเป็นภาพลวงตาจริงๆ แต่เป็นการมีอยู่จริง
“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน ดูเหมือนข้าจะมองดูบางสิ่งบางอย่างก่อนหน้านี้ บางที อาจมีใครตั้งใจให้ข้าเห็น หรือบางทีในอนาคตอันใกล้นี้ สิ่งที่ข้าเห็นจะกลายเป็นความจริง!” สีหน้าของลู่หยางดูสงบ ขณะที่เขาบอกเล่าความคิดของเขา
หากสิ่งที่เขาพูดนั้นเป็นความจริง มันอาจจะมีบางอย่างเกี่ยวข้องกับอสูรร้ายที่มีหกตา แต่ที่ลู่หยางไม่เข้าใจคือว่าทำไมมีแต่เขาเท่านั้นที่เห็นทั้งหมดนี่
“ช่างมันเถอะ คิดเสียว่า ข้าโชคร้ายก็แล้วกัน แต่ก็โชคดีที่ข้าไม่ได้ตาบอด แม้ว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นความจริงทั้งหมดแล้วจะเป็นยังไง “
สิ่งเดียวที่ลู่หยางอยากรู้ก็คือภาพที่เขาเห็นตอนสุดท้าย อสูรหกตาไม่เพียงแต่จ้องมาที่เขาแต่ได้พูดบางอย่างกับเขาด้วย
“เจ้าช่างเป็นคนมีโชคจริงๆที่สามารถมองเห็นโลกของข้า หวังเป็นอย่างยิ่งว่า โชคชะตาทำให้เราได้พบกัน “
เสียงนั้นดูเหมือนจะมาจากความฝัน มันเบาหวิวเหมือนไม่มีตัวตนและมันเข้าไปดังในหูของลู่หยาง เขาได้ยินมันไม่ชัดเจน หลังจากนั้นดวงตาของเขา เริ่มเจ็บและเขาไม่มีเวลามาคิดเกี่ยวกับสิ่งที่อสูรร้ายพูด ตอนนี้ เมื่อเขาคิดถึงมันขึ้นมา เขารู้สึกว่าดูเหมือนจะมีความหมายอื่นที่แอบแฝงอยู่เบื้องหลังประโยคนั้น
ลู่หยางส่ายหัวสสัดความคิดในใจของเขาออกไป เขาพูดกับตัวเองว่า “อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด มันไม่ใช่เพิ่งทำให้ตาของข้าเจ็บหรอกหรือ? เลวร้ายยิ่งกว่านั้น ข้าสามารถให้สัตว์เลี้ยงสงครามของข้าต่อสู้แทนข้าได้! “
“ใช่แล้ว ใช่แล้ว น้องชาย เจ้ากินข้าวเสร็จแล้วหรือ ” “เอาล่ะ เราออกไปข้างนอกกัน”
“ข้าเกือบจะตาบอดแล้ว ข้ายังจะมีอารมณ์กินต่อได้ยังไง? ข้ากลัวจนแทบจะตายแล้ว ” ลู่หยางก้มมองที่เท้าของเขาและเห็นอะไรบางอย่างข้างใต้ เขามองเห็นไม่ชัด ดังนั้นเขาจึงได้แต่เตะมันเพื่อที่จะรู้มันเป็นน่องไก่ที่เขาโยนทิ้งไป
เขาเริ่มสบถอีกครั้ง “ไอ้ห่ าเอ้ย น่องไก่พ่อง.. ทำให้ข้าตกใจหมดเลย ข้าคงจะกินอะไรไม่อร่อยเลยช่วงนี้! “
เมื่อเห็นลู่หยางเป็นแบบนี้ แต่ก็ยังจะมีอารมณ์ขัน ซูนวูก็หัวเราะคิกคัก เพราะทำให้ซุนวูรู้สึกดีกับเขา
เขาพูดว่า “ไม่เป็นไร เรียกสัตว์เลี้ยงสงครามของเจ้าออกมาสื แล้วขึ้นไปขี่มัน แล้วข้าจะนำทางให้เจ้า เจ้าสามารถปฏิบัติต่อมันในฐานะผู้คุ้มกันของข้าได้ “
“ไม่มีปัญหา!”
ลู่หยางเรียกต้าเฮ่ยออกมาอย่างอารมณ์ดีและเหยียบขึ้นไปบนหลังของมัน แม้ว่ามันจะน่าอายนิดหน่อย แต่อย่างน้อยเขาก็อยู่บนหลังต้าเฮ่ย เนื่องจากในเวลานี้เขายังมองเห็นไม่ชัดเจน ลู่หยางจึงหลับตาและรวมจุดสำคัญไปที่หูของเขาโดยมุ่งเน้นไปที่การฟังเสียงรอบๆตัว
แม้ว่าเขาจะสูญเสียการมองเห็น แต่ประสาทสัมผัสรับรู้ของลู่หยางยังคงอยู่ทำให้การได้ยินของเขาเฉียบคมยิ่งขึ้น ลู่หยางได้ยินแม้กระทั่งความเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อยในสภาวะแวดล้อมรอบๆเขา
หลังจากเดินไปได้ระยะหนึ่ง ลู่หยางก็ชี้ไปข้างหน้าแล้วถามซุนวูว่า “ท่านพี่ซุนวู ดูสิ มีความเคลื่อนไหวอะไรที่ข้างหน้านั่นมั้ย?”
ซุนวูมองไปในทิศทางที่ลู่หยางชี้ขึ้นมาทันที แต่ในที่สุดเขาก็ไม่พบอะไรเลย ในทิศทางนั้นมีหินก้อนใหญ่เพียงไม่กี่ก้อนที่โผล่ออกมาและก็ไม่มีอะไรอื่นอีกแล้ว
“เป็นไปไม่ได้!” ข้าได้ยินการเคลื่อนไหวอย่างชัดเจนจากตรงนั้น มันจะไม่มีอะไรได้ยังไง? ” ลู่หยางกล่าวคำเหล่านั้นด้วยความสับสน แต่ในใจของเขานั้นเขาไม่เชื่อ
เจ้าต้องได้ยินผิดแน่ สถานที่นั้นจริง ๆ … ” ก่อนที่ซุนวูจะพูดจบ เกิดเสียงกึกก้องดังมาจากทางด้านหลังเขารบกวนคำพูดของเขา
“ไอ้ชิบหาย! มีบางสิ่งบางอย่างจริงๆ! “น้องชาย เจ้านี่เทพจริงๆ!”
ในพริบตาเดียว หินก้อนใหญ่แต่ละก้อนได้กลายเป็นอสูรร้ายปรากฏตัวต่อหน้าซุนวู
เขายังคงบ่นพึมพำว่า “ฝันนั้นเป็นจริง! “ดูเหมือนว่าอสูรร้ายหกตาก็จริงเช่นกัน!”
“น้องชาย เจ้ากำลังพูดเรื่องอะไร” ซุนวูตกตะลึงเล็กน้อยและถามอย่างงงงวย
ลู่หยางดึงแขนของซุนวูและพูดกับเขาอย่างกังวลว่า “พวกเรารีบกลับกันเถอะ! เราต้องเตรียมทุกคนให้พร้อม! “
“น้องชาย ไม่จำเป็นต้องกังวลไป สถานที่นี้อยู่ไม่ไกล เราจะหยุดพวกมันที่นี่ หากมีความโกลาหลเกิดขึ้น ผู้คนที่อยู่ด้านหลังจะเห็นกันได้เอง”
ลู่หยางไม่ปล่อยให้เขาไป เขาคว้าแขนของซุนวูไว้และกระตุ้นให้เขามุ่งหน้ากลับ พาซุนวูไปกับเขาด้วย
เขารีบพูดว่า: “พี่ใหญ่ซุนวู ข้าไม่สามารถอธิบายให้ท่านฟังได้ในตอนนี้ เอาสั้นๆนะ ท่านต้องเชื่อใจข้า! เป็นเพราะภาพที่อยู่ตรงหน้าเราเกือบจะเหมือนกันกับที่ข้าเห็นในความฝันของข้า! “
ไม่น่าแปลกใจที่ซุนวูพูดว่าเขาต้องการสำรวจรอบ ๆ แม้ว่าลู่หยางจะมองเห็นไม่ชัดเจน เขายังคงยืนยันให้ซุนวูมองไปในทิศทางนั้น เพียงเพิ่อตรวจสอบสิ่งที่ลู่หยางเห็นในฝันของเขา
มีเพียงลู่หยางที่ไม่เคยคิดว่าสถานการณ์ในความฝันจะปรากฏขึ้นอีกครั้งและยังเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วด้วย! เร็วมากจนกระทั่งเขาไม่ได้มีการเตรียมตัวแม้แต่น้อยเลย
เขารีบนำข่าวกลับไปที่ค่ายพักชั่วคราวด้วยความเร็วที่เร็วที่สุด ลู่หยางหายใจหอบและพูดว่า “ทุกๆคน เชื่อข้า คลื่นอสูรดุร้ายระลอกนี้ที่อยู่ตรงหน้าเรานั้นไม่ใช่สิ่งที่เราจะสามารถจัดการได้”
ไม่ต้องพูดถึงอสูรร้ายต่อหน้าพวกมัน ความดุร้ายของพวกมันนั้นเหนือกว่าอสูรครั้งก่อนหน้านี้ บนหลังของมันมีวานรดุเดือดเกราะทองคำและอสูรร้ายที่มีหกตา
เพียงแค่แลกเปลี่ยนสายตาจ้องประสานกับมันก็เกือบทำเอาลู่หยางต้องตาบอด ความแข็งแกร่งเช่นนี้ไม่ใช่สิ่งที่ลู่หยางในขณะนี้จะจัดการได้ ลู่หยางยังรู้สึกว่าอสูรดุร้ายที่มีดวงตาทั้งหกดวงนั้นน่ากลัวกว่าวานรดุเดือดขนทองเสียอีก
ลู่หยางในขณะนี้ยังไม่แข็งแกร่งพอ และแม้ผู้อาวุโสที่อยู่ข้างหลังเขาก็ยังไม่ดีพอ มันเกินระดับการฝึกฝนปัจจุบันของพวกเขา หากอสูรร้ายนั้นปรากฏขึ้นจริงและพวกมันไม่ได้หนีไป ทางเดียวที่เหลือสำหรับพวกเขาก็คือความตาย
“ถ้าเราไปตอนนี้ เรายังทัน! ท่านลุงซัน ก่อนที่อสูรร้ายทั้งสองจะปรากฏตัวขึ้น เรารีบหนีกันก่อนดีกว่า! “ลู่หยางพูดอย่างร้อนใจ
“หลานชาย เจ้าไม่ใช่กล้าเสมอมาหรอกหรือ? เมื่อมีสัตว์อสูรที่นี่ เราควรจะยึดครองผืนดินของเราได้” ผู้เฒ่าซุนกล่าวอย่างจริงจัง
ในความฝันของลู่หยาง อสูรดุร้ายศิลาร่างยักษ์ปรากฏตัวก่อน และหลังจากนั้นวานรดุเดือดเกราะทองคำ กับราชสีห์ขนทองหกเนตร ก็มาถึง ลู่หยางรีบหันศีรษะไปดู ดูเหมือนว่าเขาจะเห็นร่างสูงสีทองปรากฏขึ้นในสนามรบ
เขาพูดกับผู้เป็นบิดา และบุตรชายแห่งตระกูลซุนว่า “พี่ใหญ่ซุนวู ท่านลุงซุนลุง คราวนี้ข้าไม่กล้าจริงๆ ก่อนหน้านี้ที่ข้าเห็นอสูรดุร้ายสองตัวนี้ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้ช้าสูญเสียการมองเห็น และตอนนี้ อสูรร้ายทั้งสองได้ปรากฏตัวขึ้น … “