ระบบสัตว์เลี้ยงที่แข็งแกร่ง - ตอนที่ 76
SB:ตอนที่ 76 ธุรกรรม
ท้องฟ้าค่อยๆมืดลงและเสียงการสู้รบจากเมืองเซียงหยางก็ค่อยๆสงบลง
สถานการณ์ในสนามรบเปลี่ยนไปเป็นหมื่นครั้งในชั่วขณะเดียว ในครึ่งวันนี้ลู่หยางไม่ได้อยู่ในสนามรบ และเมื่อกลับมาถึงเขาก็พบว่าสนามรบนั้นเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
เกือบหนึ่งในสามของดินแดนเซียงหยางถูกสัตว์อสูรร้ายครอบครองไปแล้ว กองทัพเซียงหยางก่อนหน้านี้ได้ถอยห่างออกไปมากกว่าหนึ่งในสามของทางออกไม่ไกลจากศูนย์กลางนัก
“แล้วทีนี้จะเป็นอย่างไร”
เมื่อลู่หยางกลับไปยังสนามรบเขาไม่เห็นร่างของราชสีห์ขนทองหกตาและเขาก็ไม่เห็น หลอหยุนชานหรือ ท่านผู้ครองเมืองหวางเช่นกัน มีเพียงผู้ติดตามธรรมดาๆบางคนและผู้กล้าบางคนจากระกูลเล็กๆที่ลาดตระเวนอยู่ในพื้นที่
อสูรบ้าระห่ำบางตัวจะออกมาก่อกวนรังควานพวกเขาเป็นครั้งคราว แต่อสูรร้ายจ่าฝูงที่มีอำนาจมากที่สุดสองสามตัวกลับหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย
ลู่หยางลงนั่งยองๆข้างกองไฟและดื่มไวน์ทั้งไหฟังผู้คนที่พูดถึงการสู้รบระหว่างวัน
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าหลอหยุนชานนั้นแข็งแกร่งที่สุด แต่เมื่อเผชิญหน้ากับความสามารถเฉพาะตัวของราชสีห์ขนทองหกตาแล้วมันดูเหมือนว่าจะไร้ประโยชน์ ผู้ชายหนึ่งคนต่อสู้กับอสูรถึงสามร้อยยก และด้วยความแข็งแกร่งของสัตว์อสูรร้ายห้าตัว หลอหยุนชานก็แทบจะไม่สามารถหลีกเลี่ยงการสูญเสียได้ อย่างไรก็ตามเขาไม่สามารถทำอะไรได้เกี่ยวกับแสงเทวะของราชสีห์ขนทองหกตา การต่อสู้มาถึงขั้นตอนสุดท้ายและท้ายที่สุดทั้งสองฝ่ายได้รับบาดเจ็บ
สำหรับการต่อสู้ระหว่างผู้ครองเมืองหวางและวานรดุเดือดเกราะทองคำนั้น มันเป็นเรื่องน่าเศร้ายิ่งกว่าเดิม วานรดุเดือดเกราะทองคำเดิมมีความได้เปรียบในการโจมตีอย่างบ้าคลั่ง มันเป็นอสูรร้ายที่มีเกราะป้องกันอย่างแข็งแรงและสามารถปิดกั้นการโจมตีของผู้ครองเมืองหวางได้ สัตว์เลี้ยงอสูรทั้งสี่ของผู้ครองเมืองหวางอยู่ในลมหายใจห้วงสุดท้ายก่อนที่พวกมันจะถูกไล่ล่าโดยวานรดุเดือดเกราะทองคำ
นักสู้ที่แข็งแกร่งสองคนได้ล่าถอยจากการต่อสู้ไปแล้ว ดังนั้นจึงไม่จำเป็นที่จะต้องทำการต่อสู้ต่อไป ราชสีห์ขนทองหกตาเริ่มเรียกอสูรทั้งหมดที่อยู่ภายใต้คำสั่งของมันให้กลับมาทำให้อสูรชั้นยอดจำนวนมากรอดตาย ในทางกลับกัน วานรดุเดือดเกราะทองคำไม่สามารถถอยหนีได้ทันเวลาทำให้เกิดการสูญเสียอย่างหนัก
มากกว่าครึ่งหนึ่งของอสูรชั้นยอดภายใต้คำสั่งของมันได้ตายไปและแม้แต่อสูรชั้นจักรพรรดิ์ก็ยังได้รับบาดเจ็บ
ในท้ายที่สุดการต่อสู้ก็อยู่ในสภาวะที่จนมุมและสถานการณ์ต่อหน้าพวกเขาก็ปรากฏออกมาอย่างที่เห็น หนึ่งในสามของเมืองเซียงหยางที่ใหญ่โตได้ถูกอสูรร้ายครอบครองไปแล้ว และไม่มีถิ่นที่พักอาศัยแม้เพียงหลังเดียวของสถานที่แห่งนี้ที่กลับมามีชีวิตชีวา
“ไอ้อสูรระยำ!” ลูหยางสบถอย่างโมโห
ในเวลาเพียงสามวัน เปลวเพลิงแห่งสงครามก็แผ่ขยายออกไปอย่างไม่หยุดยั้งและเกือบจะถึงขอบเขตของตำหนักเมฆาม่วงแล้ว บ้านเล็กๆของลู่หยางก็ตั้งอยู่ในใจกลางเมืองเซียงหยาง ตามสภาพการณ์ ณ ปัจจุบัน สถานที่บริเวณนั้นจะกลายเป็นสนามรบในไม่ช้า
ท้ายที่สุด เมื่ออสูรในหุบเขาเทวะร่วงหล่นมากันเต็มกำลัง ไม่เพียงแต่จะมีอสูรจำนวนมากเท่านั้น ความกล้าหาญในการต่อสู้ของพวกมันก็รุนแรงเช่นกัน ผู้คุมอสูรของเมืองเซียงหยางไม่มีพละกำลังในการป้องกันการโจมตีดังกล่าวอีกต่อไป
โชคดีที่ราชสีห์ขนทองหกตาและวานรดุเดือดเกราะทองคำต่างก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสทั้งคู่ และจะไม่สามารถทำการเคลื่อนไหวขนาดใหญ่เช่นนี้ได้ในอนาคตอันใกล้ แต่ครั้งหน้า มันยากที่จะบอกว่า ถ้าเขาจะโชคดีเหมือนวันนี้
นอกจากนี้ สิ่งที่ลู่หยางกังวลมากที่สุดก็ยังคงเป็นพวกปีศาจอเวจีนั่น ในสงครามนี้ มีเงาของปีศาจอเวจีอยู่ทุกหนทุกแห่ง แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่มีวี่แววของพวกมัน ลู่หยางไม่เชื่อว่าปีศาจกลุ่มนี้จะปล่อยโอกาสที่ดีเช่นนี้ไป
ท้นทีที่ปีศาจอเวจีลงมือ บวกกับความจริงที่ว่ามีอสูรร้ายเช่นราชสีห์ขนทองหกตา หลอหยุนชานเพียงคนเดียวก็ไม่สามารถหยุด …
เมื่อเวลานั้นมาถึงจริงๆ … เมืองเซียงหยางของเขาอาจไม่ได้คงอยู่อีกแล้วจริงๆ
“ไม่ใช่หรอก” เราจะให้เป็นเช่นนี้ไม่ได้! ลู่หยางลุกขึ้นยืนทันทีแล้วถามผู้คนรอบ ๆ ตัวเขาว่า “มีใครรู้หรือไม่ว่าท่านผู้อาวุโสหลอหยุนชานอยู่ที่ไหนตอนนี้?”
“ท่านผู้อาวุโสหลอได้รับบาดเจ็บในระหว่างวัน และจากนั้นเขาก็รีบร้อนจากไป เราก็ไม่รู้ว่าตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน… “
“มันดูเหมือนว่า… ตอนนั้น ท่านผู้อาวุโสหลอมุ่งหน้าไปทางทิศใต้ ใช่มั้ย?”
ทางทิศใต้ไม่ใช่ทิศทางของตระกูลหลอนี่นา แล้วก็ไม่ใช่ทิศทางของคฤหาสน์ท่านผู้ครองเมืองด้วย
ลู่หยางรู้ทุกซอกทุกมุมของเมืองเซียงหยางเป็นอย่างดี และเขาตัดสินใจทันที เขากุมมือเข้าหากันแล้วขอบคุณชายคนนั้นก่อนที่จะพูดว่า: “ขอบคุณ พี่ชาย ข้าคิดว่าข้ารู้แล้วว่าท่านผู้อาวุโสหลอพักฟื้นอยู่ที่ไหนตอนนี้ “
ที่ตำแหน่งทางใต้นั้นไม่ได้เป็นตระกูลหลอ หรือคฤหาสน์ผู้ครองเมือง แต่ที่นั่นมีตระกูลใหญ่ที่คล้ายๆกันด้วย
แม้ว่าตระกูลเฉินจะไม่ใช่หนึ่งในสามตระกูลที่ยิ่งใหญ่ แต่ลู่หยางก็เคยได้ยินว่าครอบครัวเฉินส่วนใหญ่ทำธุรกิจ สำหรับตระกูลนี้แม้ว่าพลังการต่อสู้ไม่ได้เป็นจุดสูงสุด แต่ในด้านทรัพยากรทางการเงินนั้นจัดอยู่อันดับหนึ่งอย่างแน่นอน
มันอยู่ทางภาคใต้ของเมืองเซียงหยาง สถานที่นั้นเกือบทั้งหมดอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของตระกูลเฉิน และแม้จะเป็นคฤหาสน์ผู้ครองเมืองเองแล้ว ยังต้องไว้หน้าผู้อาวุโสสูงสุดของตระกูลเฉินเลย สันนิษฐานว่า หลังจากหลอหยุนชานได้รับบาดเจ็บ เขาไม่ได้กลับไปที่บ้านสกุลหลอ หรือไม่ได้ไปที่นั่น
“ไม่สำคัญว่าสถานที่นั้นจะเป็นสระมังกรหรือถ้ำเสือ ข้าจะไปดูให้เห็นกับตาวันนี้!”
ไม่นานหลังจากที่เขาเริ่มขัดแย้งกับนายน้อยกวง เขาต้องไปที่ตระกูลเฉินเพื่อตามหาหลอหยุนชาน ลู่หยางไม่คาดหวังผลลัพธ์เช่นนั้น เขาได้แต่เป็นปลื้มในใจเท่านั้น ระหว่างการต่อสู้กับหลิวโชวไป่ เขาไม่ได้เอาชนะเฉินชิงกวง ไม่เช่นนั้นสถานการณ์ในคืนนี้ก็จะยิ่งแย่ลงไปอีก
“ผู้เฒ่าหลอ ข้ามีโสมวิญญาณที่ท่านต้องการ “อย่างไรก็ดี ท่านก็รู้ว่าข้าเป็นนักธุรกิจ … “
“หากท่านต้องการข้อเสนอใด ก็ขอให้บอกมา” ตราบใดที่ท่านตกลง เราจะสัญญากับท่านอย่างแน่นอน “
ห้องโถงของวังตระกูลเฉินนั้นตรงตามที่ลู่หยางคาดคิดไว้ และไม่เพียงแต่หลอหยุนชานที่อยู่ที่นั่น ท่านผู้ครองเมืองหวางก็อยู่ที่นั่นเช่นกัน ข้างๆทั้งสองคนนั้นยังมีชายวัยกลางคนคนหนึ่ง ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยบาดแผล นอกจากนี้ เขาหมดสติ เห็นได้ชัดว่าเขาได้รับบาดเจ็บสาหัสและกำลังจะตาย
ผู้เฒ่าแห่งตระกูลเฉิน เฉินเฟิงกล่าวพร้อมรอยยิ้ม: “ท่านผู้เฒ่าหลอ คำพูดของท่านตรงไปตรงมาเหมือนเคยสินะ! “ถ้าเป็นเช่นนั้น ให้ข้าบอกท่านเกี่ยวกับคำขอร้องของข้า”
โสมวิญญาณเป็นยาวิญญาณและล้ำค่ามากกว่าหญ้าเลือดมังกรร้อยเท่า ตำนานเล่าว่ามันมีผลที่น่าอ้ศจรรย์กับสิ่งมีชีวิตที่ตายแล้วและกระดูกของเนื้อหนัง แต่เดิมยาจิตวิญญาณชนิดนี้ไม่ควรอยู่ในสถานที่เช่นเมืองเซียงหยาง แต่ข้าสงสัยว่าเฉินเฟิงใช้วิธีไหนถึงสามารถรวบรวมโสมวิญญาณอายุพันปีได้
ตลอดเวลาที่ผ่านมา เฉินเฟิงได้เพียรพยายามเสาะหาและเก็บรักษาโสมวิญญาณไว้เป็นสมบัติ เขาใช้มันเพื่อแสดงออกถึงคุณค่าของเขาเท่านั้น แต่เขาไม่เคยบอกว่าเขาต้องการขายมัน ดังนั้นเมื่อเฉินเฟิงขอเงื่อนไข มันต้องไม่ง่ายแน่
เนื่องจากเขาเป็นพ่อค้า เขาจะไม่ทำเช่นนี้แน่นอน แม้ว่าเมืองเซียงหยางจะกำลังเดิอดร้อน แต่ก็ไม่สามารถห้ามนักธุรกิจจากการสร้างรายได้
เฉินเฟิงเผยรอยยิ้มและบอกกับหลอหยุนชาน: “ผู้เฒ่าหลอ ข้าเชื่อว่าท่านคงเคยได้ยินเกี่ยวกับงานรวมหมื่นอสูรในบ่ายวันนี้ใช่มั้ย?”
หลอหยุนชานพยักหน้าแล้วพูดว่า: “ข้าได้ยินมาแล้วและสัตว์ร้ายทั้งสองตัวนี้ต่างก็ถูกพาไปแล้ว”
“ถ้างั้น จะเป็นอะไรไหมถ้าเราจะเอาทั้งหมด? “ลูกชายของข้ายังคงเป็นยอดฝีมือระดับสวรรค์ภูมิใจ แต่เขาก็ทำไม่สำเร็จซักครั้งเดียวหลังจากผ่านไปสองครั้งติดต่อกัน”
จากนั้นเขาได้ยินเฉินเฟิงพูดช้าๆ: “นั่นคือลูกชายของข้า เฉินเฟิง! หากเขาไม่มีสัตว์อสูรชั้นจักรพรรดิ์ เมื่อเขาเข้าสู่สนามรบใครจะเป็นผู้ปกป้องความปลอดภัยของเขา? “
“ลูกชายของท่านล้มเหลวในการฝึกสัตว์อสูรชั้นจักรพรรดิ์ นี่แปลว่าลูกชายของท่านมีกำลังไม่พอ แล้วนี่เกี่ยวข้องอะไรกับเรา ” ผู้ครองเมืองหวางพูดค่อนข้างหงุดหงิด
ตอนนี้พวกเขากำลังคุยกันเรื่องการค้า แต่เฉินเฟิงกลับพูดถึงงานชุมนุมหมื่นอสูรในช่วงบ่าย แม้แต่ผู้ครองเมืองหวางก็ทนฟังต่อไม่ไหว
“ความสัมพันธ์?” แน่นอนมันมี! เพื่อเห็นแก่ลูกชายของข้า ข้าจะยืดอายุของเขาไว้ ถ้าข้ามอบให้ท่านตอนนี้ ท่านจะไม่จ่ายได้ยังไง “
“บอกมา ท่านต้องการอะไร?”
“ดี!” ตราบใดที่ท่านสามารถมอบอสูรชั้นจักรพรรดิ์ไห้ข้าได้ เพื่อชดเชยให้กับลูกชายของข้้า โสมวิญญาณนี้จะเป็นของท่าน! “ในที่สุด เฉินเฟิงก็เปิดเผยจุดประสงค์ของเขา
เฉินเฟิงพลาดโอกาสของเขากับอสูรชั้นจักรพรรดิ์ถึงสองครั้ง ดังนั้นจึงเห็นทุกอย่างเป็นเรื่องนี้ไปหมด เกี่ยวกับเรื่องนี้ เฉินเฟิงเก็บมันไว้ในใจมาเสมอและได้ใช้โอกาสนี้อธิบาย
“ข้าได้วางเงื่อนไขไว้แล้ว หากท่านทำไม่ได้ ข้าก็ไม่มีทางเลือกอื่น ” เฉินเฟิงกล่าวขณะที่เขายื่นมือออกมา
เมื่อเขาได้ยินเฉินเฟิงบอกว่าเขาจะเอาชนะเหนือเจ้าอสูรชั้นจักรพรรดิ์เพื่อลูกชายของเขา ผู้ครองเมืองหวางเกือบจะโกรธขึ้นมาในจุดนั้น
“นายท่านตระกูลเฉิน! ท่านต้องรู้ว่า ตอนนี้เป็นเวลาที่อันตรายที่สุดสำหรับเมืองเซียงหยาง! ท่านรู้หรือไม่ว่าโสมวิญญาณนี้มีความหมายยังไง? “
ข้างๆหลอหยุนชาน ชายวัยกลางคนที่ได้รับบาดเจ็บคือผู้อาวุโสของตระกูลหลิว หนึ่งในสามตระกูลที่ยิ่งใหญ่ ในการต่อสู้ก่อนหน้านี้ ยอดฝีมือชั้นนำเกือบทั้งหมดในเมืองเซียงหยางได้รับบาดเจ็บ แต่หลิวสง ผู้อาวุโสสูงสุดของครอบครัวหลิวเป็นผู้บาดเจ็บสาหัสที่สุดคนหนึ่ง
ไม่เพียงแต่สัตว์เลี้ยงสงครามของเขาเท่านั้นที่สูญเสียพละกำลังในการต่อสู้ ตัวของเขาเองก็ยังได้รับบาดเจ็บสาหัสและยังไม่ฟื้นเลย ตอนที่หลอหยุนชานตรวจสอบอาการบาดเจ็บของเขานั้น เขาพบว่าหลิวสงนั้นเป็นคนที่ฉลาด หากเขาไม่มีเม็ดยาวิญญาณชั้นดีใด ๆ ที่จะทำให้เขามีชีวิตอยู่ได้ เขาจะไม่สามารถทนได้นานและจะตายในที่สุด
ทั้งหมดที่พวกเขาคิดได้ก็คือโสมวิญญาณในมือของเฉินเฟิงที่จะมีผลเช่นนั้นและถ้าหากพวกเขาไม่มีทางเลือกอื่น พวกเขาจะหาได้จากเฉินเฟิง
“สหายเก่า ท่านต้องพิจารณาให้ดี ตอนนี้ เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับความอยู่รอดของเมืองเซียงหยางของเรา! ” อารมณ์ที่ลุกเป็นไฟของหลอหยุนชานก็ปะทุขึ้นมาและรังสีทั่วร่างของเขาก็ระเบิดขึ้นอย่างกระทันหันทำให้เฉินเฟิงรีบล่าถอย
ความแตกต่างในด้านพละกำลังไม่ใช่เพียงเล็กน้อย พลังของเฉินเฟิงไม่ได้อยู่ในอันดับไหนๆในเมืองเซียงหยาง ดังนั้นโดยธรรมชาติแล้วเขาด้อยกว่าหลอหยุนชานมาก อย่างไรก็ตาม ชายคนนี้มีความสามารถที่น่าทึ่งในโลกธุรกิจและความมั่งคั่งที่เขามีอยู่นั้นก็ครอบคลุมเกือบหนึ่งในสามของเมืองเซียงหยาง แม้ว่าจะเป็นผู้ครองเมือง ก็ไม่สามารถทำอะไรกับพวกเขาได้
“ท่านผู้เฒ่าหลอ ของสิ่งนี้อยู่ในมือของข้า ข้าแค่ขอสิ่งแลกเปลี่ยน อย่าไปกันใหญ่เลย”
เมื่อเห็นว่าพวกเขาทั้งสองต่างก็ยโสใส่กันจนกำลังจะเริ่มสงครามกัน ผู้ครองเมืองหวางรีบลุกขึ้นยืนแล้วพูดกับพวกเขาสองคนว่า: “ท่านไม่ได้ต้องการสัตว์ร้ายชั้นจักรพรรดิ์นั่นหรอกหรือ? แต่พวกเราไม่มีอสูรบ้าระห่ำที่เหมาะสมซักตัวในมือของเรา ทั่วทั้งเมืองเซียงหยางมีเพียงท่านผู้เฒ่าเฟิงเท่านั้นที่สามารถนำอสูรร้ายเช่นนั้นมาให้ท่านได้ “
สัตว์เลี้ยงสงครามของเขาทุกตัวเป็นระดับจักรพรรดิ์ และทุกตัวขึ้นถึงระดับสูงแล้วทำให้นายน้อยกวงไม่สามารถปราบมันได้
และเพื่อปราบสัตว์ร้ายชั้นจักรพรรดิ์นั้น นอกเหนือจากความแข็งแกร่งพิเศษและความสามารถในการควบคุมสัตว์อสูรระดับสูงแล้ว มันก็มีอีกเพียงวิธีเดียว
นั่นคือการยกระดับอสูรชั้นจักรพรรดิ์แล้วส่งต่ออสูรร้ายนั้นจากรุ่นเยาว์สู่ผู้อื่น ทั่วทั้งเซียงหยาง คนเพียงคนเดียวที่สามารถใช้วิธีการเช่นนี้ก็คือผู้เฒ่าเฟิงเจ้าของลานหมื่นอสูร
จากความรู้ของผู้ครองเมืองหวาง พละกำลังของสหายผู้นี้ไม่อาจหยั่งรู้ได้ นอกจากนี้ เขายังเก็บสัตว์อสูรชั้นจักรพรรดิ์ไว้มากมายซึ่งเป็นสาเหตุว่าทำไมเขาจึงนำพวกมันออกมาในงานรวมหมื่นอสูรได้
ผู้เฒ่าเฉิน ถ้าท่านไว้ใจข้า ท่านสามารถให้โสมวิญญาณแก่หลิวสงเพื่อบริโภคก่อนได้ สำหรับอสูรชั้นจักรพรรดิ์นั้น ข้าจะตามหาผู้เฒ่าเฟิงแล้วหารือกัน ไม่ว่าจะราคาเท่าไหร่ ข้าก็จะเอามาให้ท่านหนึ่งตัว! “
“ดี!” ท่านผู้ครองเมืองหวาง ข้าจะเชื่อท่านครั้งนึง! “
ขณะที่เขาพูด เฉินเฟิงเอาถุงสีเงินออกมาจากเอวของเขา เป็นถุงเก็บของ แต่มีระดับกว่ามาก
เฉินเฟิงคลำไปรอบ ๆ ก่อนจะหยิบกล่องเล็ก ๆ ที่สวยงามออกมา เขาแกว่งมันอยู่ตรงหน้าผู้ครองเมืองหวาง แล้ววางลงบนมือที่อยู่ด้านหลัง
เฉินเฟิงกล่าวว่า: “ข้าเชื่อว่าท่านจะสามารถทำได้อย่างที่ท่านหวางได้พูดไว้ แต่ตอนนี้ กระแสอสูรกำลังใกล้เข้ามาอย่างไม่น่าเชื่อและสถานการณ์เป็นเรื่องเร่งด่วนดังนั้นข้าหวังว่าท่านหวางจะรีบหน่อยนะ “