ระบบสัตว์เลี้ยงที่แข็งแกร่ง - ตอนที่ 97
SB:ตอนที่ 97 ตอนเหนือของเมือง
หลังจากมาถึงเมืองใหม่ สิ่งแรกที่ต้องนึกถึงคือการอยู่ และการกิน เช่นเดียวกับเมื่อลู่หยางมาที่เซียงหยางเป็นครั้งแรก เขาต้องหาที่พักก่อน
วันแรกนั้นไม่สำคัญ ดังนั้นทั้งสามคนพร้อมกับราชสีห์ขนทองหกเนตรได้พักที่โรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง และได้ลองสอบถามเกี่ยวกับสถานการณ์ของเมืองตงไหลไปคร่าวๆ
เมืองตงไหล เมืองระดับสอง ขนาดของสถานที่นี้ใหญ่เป็นอย่างน้อยสิบเท่าของเมืองเซียงหยางและจำนวนประชากรของเมืองก็เป็นสิบเท่าของเมืองเซียงหยาง
อย่างไรก็ตาม กฎภายในเมืองก็ค่อนข้างคล้ายกัน นอกจากนี้ยังมีสถาบันเช่น โรงรับจำนำทองคำที่นี่เช่นกัน ถ้าลู่หยาง และคนอื่น ๆ ต้องการที่จะตั้งถิ่นฐานที่นี่ พวกเขาจะต้องมาซื้อบ้านที่นี่
เมื่อลู่หยางนึกย้อนไปถึงตอนที่เขาซื้อบ้านในเมืองเซียงหยาง เขารู้สึกถึงความขมขื่น แต่ตอนนี้ เมื่อเขาคิดถึงเรื่องนั้น ราคาของบ้านก็ไม่แพง เมื่อเปรียบเทียบกับเมืองตงไหล มันราวกับฟ้ากับดิน
ทั้งสามคนใช้เวลาซักถามและไม่นานนักก็รู้ราคาตลาดของที่นี่ ราคาบ้านที่ถูกที่สุดนั้นแพงกว่าที่เมืองเซียงหยางสิบเท่า
อย่างไรก็ตาม กฎยังคงเหมือนเดิม
ตามกฎแล้วเมื่อผู้คุมอสูรชั้นต้นซื้ออสังหาริมทรัพย์ในเมือง เขาจะได้รับส่วนลด 20% เท่านั้น นอกจากนี้ การชำระเงินครั้งแรกจำเป็นต้องมีส่วนลด 20% ในขณะที่ผู้ควบคุมอสูรชั้นกลางจะได้รับส่วนลด 50%
ลู่หยาง และ ซุนวู ต่างก็เป็นผู้คุมอสูรชั้นกลางอยู่แล้ว การใช้ชื่อของพวกเขาเพื่อซื้ออสังหาริมทรัพย์จากเมืองตงไหลนั้น บ้านที่ถูกที่สุดจะมีราคาแค่สามหมื่นตำลึงเงินเท่านั้น และเมื่อแลกเปลี่ยนเป็นผลึกแล้วก็จะเหลือเพียงสามพันเท่านั้น
“ฮ่าฮ่า พี่ใหญ่ซุนวูถ้าเราเลือกที่จะซื้อพวกมันเป็นระยะ ๆ เงินล่วงหน้าจะเป็นเพียงไม่กี่ร้อยผลึกเท่านั้น ดูเหมือนว่าบ้านที่นี่ค่อนข้างถูกนะ “
ด้วยเงินในกระเป๋าของเขา ลู่หยางกลายเป็นคนร่ำรวยและโอ่อ่า เขาไม่จำเป็นต้องยับยั้งชั่งใจเหมือนเมื่อก่อน เขาแค่อยากจะแลกเปลี่ยนผลึกแล้วก็ใช้มัน จากมุมมองของลู่หยาง เพียงไม่กี่ร้อยคริสตัลก็เหมือนกับการกินและการดื่มมากกว่า
มันเป็นเพียงราคาบ้านที่ถูกที่สุด หลังจากที่ลู่หยางพูดเสร็จ ซุนวูก็ตอบด้วยสายตาทันทีและพูดฉับพลันว่า: “น้องชาย เจ้าคงไม่อยากให้ข้าอยู่บ้านเส็งเคร็งแบบนั้น ใช่มั้ย? “
ลู่หยางเกาหลังศีรษะ และพูดอายๆว่า: “จริงนะ ตอนนี้เราถือว่าร่ำรวยแล้ว เราไม่อาจอยู่แบบโกโรโกโสเกินไปได้ งั้น มาเลือกที่ดีกว่านี้กัน ข้ายังมีเงินอยู่! “
ต่างคนต่างตบหน้าอกตัวเอง แล้วเดินเข้าไปในโรงรับจำนำทองคำ ในที่สุด พวกเขาเลือกที่พักอาศัยที่ดีที่สุดในเขตชานเมืองของตงไหล
แน่นอนว่าราคาไม่ถูก รวมทั้งหมดเป็น 100,000 ผลึก และตามกฏแล้ว เขาจ่ายทั้งหมด 50,000 ศิลาผลึก ลู่หยางไม่ลังเลเลย เขาโยนกระเป๋าที่มีศิลาผลึก แล้วออกไป
มีโฉนดและกุญแจสู่บ้านใหม่แล้ว ลู่หยาง และซุนวูเดินวางท่าเข้ามาในบ้านหลังใหม่ของพวกเขา ทั้งสามคนไปซื้อของทั้งวันก่อนที่จะซื้อเฟอร์นิเจอร์ทั้งหมด พวกเขายังสั่งป้ายขนาดใหญ่ที่จะแขวนอยู่นอกบ้านหลังใหญ่
“คฤหาสน์ซุน”
ชื่อของบ้านตั้งตามชื่อของซุนวู และเรียกว่า สำนักตระกูลซุน เหนือสิ่งอื่นใด พวกเขาไม่คุ้นเคยกับสถานที่นี้ และลู่หยางไม่ได้วางแผนที่จะตั้งชื่อให้ตัวเองที่นี่เช่นกัน อย่างไรก็ตาม เขามอบทุกอย่างในเรื่องนี้ให้กับซุนวู
หลังจากทำงานมาทั้งวัน พี่น้องทั้งสามก็ล้มตัวลงนอนบนเตียงขนาดใหญ่ ลู่หยางมองขึ้นไปบนเพดานแล้วพูดอย่างงี่เง่า: “คฤหาสน์นี้ดีกว่าของข้าที่เซียงหยางมาก มันแค่ว่าราคาแพงไปหน่อย แต่ก็ยังค่อนข้างดี!”
ซุนวูเหยียดหลังเขาแล้วพูดว่า: “ข้าเป็นคนที่แนะนำให้เจ้าซื้อบ้านที่ชานเมือง ถ้าเจ้าอยากจะซื้อซักหนึ่งหลังในใจกลางเมืองแล้วละก็ คฤหาสน์แบบนี้น่าจะทำให้เจ้าหมดตัวเลยทีเดียว! “
“จริงๆด้วย!” ลู่หยางเห็นด้วย แต่ตามองไปทางด้านข้าง
ราชสีห์ขนทองหกเนตรได้รับห้องแยกต่างหาก ตอนนี้พวกเขาสามารถเบียดกันกับลู่หยางเท่านั้น
ที่จริงแล้วเหตุผลที่ลู่หยางซื้อคฤหาสน์ในแถบชานเมืองก็เพื่อเห็นแก่ราชสีห์ขนทองหกเนตรด้วย ราชสีห์ขนทองหกเนตรเป็นสัตว์อสูรดุร้าย โดยปกติแล้ว ผู้คนจะไม่บอกว่าพวกเขาปลอมตัวเป็นสัตว์เลี้ยง แต่ว่ามียอดฝีมือนับไม่ถ้วนในเมืองตงไหล หากยอดฝีมือคนใดคนหนึ่งมองผ่านมาเห็นเข้า มันจะลำบาก
เพื่อความปลอดภัย ลู่หยางยังรู้สึกว่าชานเมืองนั้นดีกว่า ยิ่งกว่านั้น สภาพแวดล้อมที่นี่ยิ่งเงียบกว่า เหมาะสำหรับการฝึกฝน แล้วยังเป็นการดีสำหรับราชสีห์ขนทองหกเนตรที่จะฝึกฝนด้วย
และในเวลานี้ กลุ่มของเด็กหนุ่มเกเรกำลังเตร็ดเตร่อยู่นอกประตูบ้านของลู่หยาง
มีพวกอันธพาลอยู่ทุกหนทุกแห่ง และไม่ต้องพูดถึงเมืองเซียงหยาง แม้ในที่เล็ก ๆ เช่นเมืองชิงหยาง มันหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีพวกอันธพาลที่ไม่มีอะไรทำ
นอกจากนี้ พวกเขายังเกียจคร้านทั้งวัน พวกมันมุ่งเป้าไปที่ครอบครัวใหม่ที่เพิ่งย้ายเข้ามาอยู่ที่เมืองตงไหล พวกเขาใช้เหตุผลทุกประเภทเพื่อหาเรื่องกับพวกเขา และหาประโยชน์จากพวกเขา คนพวกนั้นพึ่งพาวิธีการดังกล่าวเพื่อความอยู่รอด
เว่ยเจียงจ้องที่ประตูใหญ่ของครอบครัวลู่หยาง คำว่า “ตระกูลซุน” ถูกแขวนไว้ที่มุมประตู มุมปากของเขาเผยให้เห็นรอยยิ้มอันเย็นชา และเขาหัวเราะเบา ๆ : “ดูเหมือนว่านายน้อยหนุ่มจากเมืองเล็ก ๆ เหล่านั้นกำลังพยายามจะสร้างอิทธิพลให้กับตนเองในเมืองตงไหลของเรา! “
อันธพาลหมายเลขหนึ่งพูดแทรกขึ้นมา : “พี่เว่ย พวกเราเคยเห็นนายน้อยคนนี้มาก่อนหรือไม่? พวกเขาทุกคนเย่อหยิ่งเมื่อมาถึงที่นี่ แต่อีกไม่นานพวกเขาจะต้องคุกเข่าลงที่เท้าของพี่ พี่เว่ย! “
“นั่นคือสิ่งที่พวกมันต้องทำ! มังกรที่แข็งแกร่งจะไม่ข่มเหงงู? เจ้าไม่เคยได้ยินหรือ ไม่ว่าพวกเขาจะทำอะไรในอดีต พวกเขาจะต้องยอมทำตามเราเมื่อพวกเขามาถึงเมือง ตงไหล! “
กลุ่มอันธพาลคุยกันด้วยความตื่นเต้น ประจบเว่ยเจียงเป็นครั้งคราว เว่ยเจียงฟังลูกน้องเยินยอแล้วใบหน้าของเขาก็ค่อยๆเบ่งบานด้วยความสุข
“ไป เคาะประตูของมัน เรียกทุกคนที่อยู่ข้างในออกมา ข้าอยากเห็นนักใครกล้าที่จะไม่มารายงานหลังจากมาที่เมืองตงไหล และเอาเท้ามาเหยียบแผ่นดินทางตอนเหนือของเมืองนี่ “
ยิ่งเว่ยเจียงพูดมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งตื่นเต้นมากเท่านั้น เขาส่งลูกน้องสองคนไปเคาะประตูของลู่หยางทันที
ลู่หยางสามคนพี่น้องก็เหนื่อยพออยู่แล้วหลังจากยุ่งกันมาทั้งวัน ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับพวกเขาที่จะนอนบนเตียงแล้วสูดดมกลิ่นของบ้านใหม่ของพวกเขา
“เตี่ยซู่ ดูเหมือนจะมีคนอยู่ข้างนอก ออกไปดูหน่อย เร็ว ” ซุนวูหันร่างของเขา และโดยไม่แม้แต่จะลืมตา เขามอบเรื่องนี้ให้เอ้อโกวจื่อ
เอ้อโกวจื่อขยี้ตาที่งัวเงีย แล้วพูดอย่างหมองหม่น: “เราเพิ่งย้ายมา ข้าสงสัยว่าใครที่มาเยี่ยมพวกเรา?”
แม้ว่าเขาจะไม่ตื่น แต่เอ้อโกวจื่อก็ยังไม่อยากลุกจากเตียง ก็แค่เขาเป็นน้องเล็กสุดในหมู่พวกเขาสามคน ในขณะที่อีกสองคนเป็นพี่ชาย
“เพื่อนบ้านที่นี่ก็เหมือนกัน พวกเขามาเยี่ยมเราทันทีที่เราย้ายเข้ามา จะรอจนกว่าพรุ่งนี้ค่อยรู้จักเราไม่ได้เหรอ?” เอ้อโกวจื่อบ่นพึมพำ
อย่างไรก็ตาม ขณะที่เขาเพิ่งมาถึงประตูหลัก มีการเคาะประตูอีกครั้ง รีบร้อน และรุนแรง เอ้อโกวจื่อตกใจและรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ
ในขณะเดียวกัน เสียงที่กระวนกระวายก็ดังออกมาจากข้างนอกประตู “พวกที่อยู่ข้างในนั้นน่ะ รีบออกมาเร็วๆ เรารู้ว่าพวกท่านเพิ่งย้ายเข้ามาอยู่ที่นี่ หัวหน้าของเรามาเยี่ยมพวกท่าน! “
“ พวกท่านทำให้หัวหน้าของพวกเรารอมานานแล้ว เบื่อที่จะมีชีวิตอยู่แล้วรึ?”
“เพื่อนบ้านคนไหนพูดเช่นนี้” เอ้อโกวจื่อคิดสงสัยในใจ
จากเมืองชิงหยางมาถึงเมืองเซียงหยาง เอ้อโกวจื่อดูเหมือนเป็นคนซื่อสัตย์ เขาเข้ากับเพื่อนบ้านได้ดี แต่เขาไม่เคยเจอเพื่อนบ้านแบบนี้เลย
“นี่เป็นแค่วันแรก แต่เพื่อนบ้านของเราพูดกับเราเช่นนี้แล้ว ดูเหมือนว่าเพื่อนบ้านของเราจะไม่ใช่เข้ากันได้ง่ายๆซะแล้ว! ” ในขณะที่เอ้อโกวจื่อคิด เขาก็ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องต้อนรับพวกเขา: “กำลังมาแล้ว กำลังมาแล้ว พวกท่านจะรีบร้อนไปไหนกัน! “เปิดประตู!”
ขณะที่เขาดึงกลอนลง รอยแง้มประตูเปิดออก พวกด้านนอกรู้ทันทีว่าประตูเปิดออกแล้ว พวกมันเตะประตูเข้ามา
ไม่เพียงแต่พวกนั้นจะทิ้งรอยเท้าไว้ที่ประตูบานใหม่เท่านั้น หนึ่งในนั้นยังทำให้เตี่ยซู่ซึ่งอยู่ด้านหลังประตูลอยกลิ้งไปกับพื้นสองสามเมตร ในที่สุด เขาก็ล้มลงในโคลนก่อนที่จะลุกขึ้นอย่างน่าสังเวช
เมื่อพวกขี้เกียจผลักประตูเข้ามาแล้ว เขาก็เห็นหวังเตี่ยซู่จ้องมองอยู่ด้วยดวงตาที่โกรธแค้น
“เมื่อไหร่ที่พวกอันธพาลจะเคยสนใจสายตาของผู้อื่นบ้าง?” พวกเขากลับหัวเราะออกมาดัง ๆ และพูดกับหวังเตี่ยซู่วา “โว้ ข้าคิดว่ามีใครบางคนมาอยู่ใหม่ว่ะ ที่แท้ก็เป็นไอ้บ้านนอกเซ่อซ่า “
“เจ้าต่างหากเป็นไอ้ห’_ บ้านนอก บ้านนอกทั้งตระกูลเลย!” หวังเตี่ยซู่โกรธจัด และเริ่มด่าพวกอันธพาล
“โอ้?” “เจ้าอยู่ในชุดที่โสโครก แต่บอกได้เลยว่าอารมณ์เจ้าไม่ใช่ย่อยเลยนะ” ขี้ข้าคนแรกพูดพร้อมกับหัวเราะ
คนที่สองก็อยู่ข้างๆคอยโหมไฟให้กระพือ “ไอ้เด็กเหลือขอ นี่เห็นว่าเจ้าเพิ่งมาถึง พวกเราก็ไม่อยากทะเลาะด้วย เจ้ารู้มั้ยว่าพวกเราเป็นใคร เจ้ารู้กฎของที่นี่มั้ย “
“เร็วๆเข้า ให้คนที่อยู่ข้างในออกมาพร้อมๆกัน หัวหน้าของเราไม่มีเวลามากที่จะมารอพวกเจ้า!”
ยิ่งเอ้อโกวจื่อได้ยิน เขาก็ยิ่งโกรธมากขึ้น พวกนี้เป็นคนแบบไหนกัน? คิดว่าจะมารังแกกันง่ายๆงั้นเหรอ?
เอ้อโกวจื่อวิ่งไปข้างหน้าด้วยความโกรธ แล้วคว้าคอเสื้อของหนึ่งในนั้น เขาระเบิดกำลังออกมา แล้วจับไอ้สารเลวตัวเล็กนั่นโยนออกไป
“ข้าไม่ได้แสดงออก พวกแกเลยคิดว่าข้าเป็นแมวเซื่องๆตัวนึงงั้นรึ?”
แม้ว่าเอ้อโกวจื่อไม่ได้ทรงพลังขนาดนั้น แต่ด้วยความช่วยเหลือของลู่หยาง อย่างน้อยเขาก็มาถึงจุดสูงสุดของผู้คุมอสูรชั้นต้นแล้ว เขายังได้รวบรวมสัตว์อสูรชั้นต้นไว้สองตัว และความแข็งแกร่งของพวกมันก็ไม่อาจประเมินต่ำเกินไป
อันธพาลตัวน้อยกล้าทำตัวโอหังก็เพราะคนที่อยู่ข้างหลังเขา แต่ความจริงแล้วพละกำลังของเขานั้นเป็นเพียงแค่ผู้คุมอสูรชั้นต้นธรรมดาๆแค่นั้น เขาไม่เคยคิดเลยว่า เอ้อโกวจื่อจะกล้าหาญพอที่จะโจมตีเขาโดยตรง ใบหน้าของเว่ยเจียงเปลี่ยนเป็นสีเข้มขึ้นมา
“ไอ้หนู!” แกจบแล้ว! แกไม่ใช่คนแรกที่กล้าลงมือต่อหน้าเรา พี่เว่ย! “
“แต่คนเช่นนั้นมักจะมีจุดจบในสภาพที่น่าสังเวชมากขึ้น! “ดูเหมือนว่าข้าจะมีอะไรๆสนุกดูแล้วคืนนี้”