ลำนำสตรียอดเซียน - ตอนที่ 105 การก่อจลาจลของสัตว์ปีศาจ
สัตว์วิเศษไฟนรกเป็นสัตว์วิเศษประเภทที่เลี้ยงง่ายมาก เจริญเติบโตได้โดยไม่ต้องกินอาหารพิเศษและไม่ต้องมีสภาพแวดล้อมที่ดีนัก ต่อให้มันถูกเลี้ยงอย่างขอไปที ก็ยังมีชีวิตอยู่รอดได้ สัตว์วิเศษตัวน้อยประเภทนี้ไม่ได้จัดว่าหายากในคุนอู๋ แม้แต่ผู้ฝึกตนระดับล่างก็ชอบจับพวกมันไปตัวสองตัวเพื่อใช้สำหรับการปรุงยาวิเศษหรือเกลาเครื่องมือต่างๆ ดังนั้นโม่เทียนเกอจึงไม่กังวลกับการเลี้ยงดูมันเท่าไร
หลังจากจับเจ้าสัตว์วิเศษไฟนรกตัวน้อยนี้ได้และพามันกลับมาบ้าน โม่เทียนเกอก็มักจะเก็บมันไว้ในห้องสัตว์วิเศษหรือในหุบเขาเล็กๆ ด้านหลังถ้ำของนาง อย่างไรก็ดี นางไม่ได้มีข้าวของมากมายนักอยู่ในถ้ำ และลานสมุนไพรในหุบเขาก็ล้วนแล้วแต่มีกำแพงอาคมทั้งนั้น เหตุนี้เองเจ้าสัตว์ตัวน้อยนี้อย่างมากก็ทำได้เพียงแทะเล็มหญ้า ไม่สามารถจะก่อความวุ่นวายอะไรได้มากมาย หากมันหิวขึ้นมา นางก็แค่ต้องป้อนยาบำรุงพลังวิญญาณให้กับมัน ถ้ามันหิวน้ำ ในหุบเขาก็มีบ่อน้ำพุอยู่ นอกจากนี้ ที่นี่ยังไม่มีผู้ล่าสัตว์อีกด้วย ไม่นานนักเจ้าสัตว์ตัวน้อยก็เริ่มจะตัวอ้วนพีมากขึ้น
เวลาไม่กี่เดือนผ่านไป ในที่สุดโม่เทียนเกอก็เริ่มจะคุ้นเคยกับการใช้ศาสตร์หลอมจิตวิญญาณได้สำเร็จ และสัตว์วิเศษไฟนรกก็ไม่ได้แสดงอาการต่อต้านอะไรนาง ดังนั้นโม่เทียนเกอจึงเริ่มปรุงยาวิเศษอีกครั้ง
ยาวิเศษที่สามัญที่สุดสำหรับผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังคือยาเพิ่มพลังจิตวิญญาณ หลังจากปรุงยาเพิ่มพลังการก่อเกิด ยานี้ก็ไม่ได้ปรุงยากสักเท่าใดนัก ปัญหาเดียวก็คือวัตถุดิบที่จำเป็นต้องใช้ไม่ได้ราคาถูกเหมือนวัตถุดิบที่ใช้ในยาวิเศษของพวกผู้ฝึกตนระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณ ศิลาวิญญาณจำนวนหลายพันอันก็ได้แค่วัตถุดิบร้อยส่วนเท่านั้น โชคยังดีที่นางได้รับเงินส่วนแบ่งของศิษย์ระดับหัวกะทิ พอรวมกับศิลาวิญญาณอีกประมาณสองสามพันที่นางมีอยู่แล้ว นางจึงสามารถซื้อวัตถุดิบที่จำเป็นได้
โม่เทียนเกอพาสัตว์วิเศษไฟนรกไปที่ห้องปรุงยาแล้วเก็บตัวอยู่ข้างใน คร่ำเคร่งอยู่กับการเรียนเพื่อจะปรุงยาวิเศษ
เวลาหลายเดือนผ่านไปในพริบตาและนางก็ยังคงอยู่ในสภาพการณ์เช่นนี้ แต่หลังจากวันหนึ่งที่จู่ๆ นางได้ยินเสียงกระดิ่งดังภายนอก นางถึงรู้ตัวว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน
นางหยุดปรุงยาวิเศษและเดินออกจากถ้ำ ขณะนั้นก็บังเอิญเจอเข้ากับเว่ยจยาซือผู้ที่มีสีหน้าเป็นกังวลขณะที่นางก็กำลังออกจากถ้ำของนางเช่นกัน โม่เทียนเกอก้าวไปข้างหน้าทักทายและถามนางว่า “ศิษย์พี่เว่ย มีอะไรเกิดขึ้นหรือ”
เว่ยจยาซือส่ายหน้าและพูดอย่างเฉยเมย “ข้าเองก็เพิ่งได้ยินเสียงกระดิ่ง ก็เลยไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น นี่เป็นการเรียกรวมศิษย์ ศิษย์ของทุกยอดเขาต้องไปที่ยอดเขาหลักเมื่อได้ยินเสียงเรียก เราจะรู้ก็ต่อเมื่อเราไปถึงที่นั่นแล้ว”
พอพูดจบ เว่ยจยาซือก็ไม่มองโม่เทียนเกออีก นางเหาะไปที่ยอดเขาหลักโดยขี่เครื่องมือเวทของนางไปคนเดียว
โม่เทียนเกอมองสภาพรอบตัว หันชิงอวี้ยังไม่กลับมาตั้งแต่ที่นางหายตัวไป ถ้ำเซียนของหลัวเฟิงเสวี่ยก็ร้างเช่นกัน บางทีนางอาจจะยังอยู่ในโถงคนงาน ส่วนคนอื่นๆ นางก็ไม่ค่อยคุ้นเคยกับพวกเขาเท่าไหร่ เพราะอย่างนั้น นางจึงเอากระบี่บินออกมาและบินไปที่ยอดเขาหลักด้วยตัวเอง
นางเห็นว่าถึงแม้ศิษย์ทั้งหมดจะรีบมาจากทั่วทุกมุมของภูเขา แต่พวกเขาก็ไม่ได้ตื่นตระหนก ศิษย์ในดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังและระดับสูงกว่ากำลังควบคุมเครื่องมือเวทของพวกเขาแต่ละคน ส่วนพวกศิษย์ระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณนั้นต้องนั่งเมฆหมื่นลี้สาธารณะมาจากยอดเขาของตัวเองเพื่อรีบมายังยอดเขาหลัก
ระหว่างกำลังดูภาพเบื้องหน้า โม่เทียนเกออดที่จะถอนใจอยู่ภายในไม่ได้ นี่คือความสง่างามของโรงเรียนที่ยิ่งใหญ่และทรงเกียรติ ทั้งๆ ที่ถูกเรียกมาอย่างกะทันหัน กระนั้นศิษย์เหล่านี้ก็ยังสำรวม แถมพวกเขาหลายพันคนยังเคลื่อนที่อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ต่อให้มีบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้น คาดว่าพวกเขาก็คงจะรับมือได้โดยไม่สับสนหรือวิตกกังวลใดๆ
ครั้นมาถึงยอดเขาหลัก โม่เทียนเกอก็ก้มหน้าลงดูภาพเบื้องล่าง จัตุรัสของโรงเรียนเต็มไปด้วยผู้คนเรียบร้อยแล้ว ด้านหน้าของทางเข้าวัดแห่งสามบริสุทธิ์มีผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังหลายสิบคนเช่นเดียวกับผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณใหม่สองคนยืนอยู่ซึ่งทั้งคู่ล้วนมีสีหน้าขึงขัง
โม่เทียนเกอรีบมองหาที่ซึ่งศิษย์ระดับการสร้างฐานแห่งพลังคนอื่นๆ ยืนอยู่ เมื่อพบแล้วนางจึงลงจากกระบี่บิน ปรับสีหน้าให้เรียบเฉยและยืนอย่างนอบน้อม
ผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังหลายสิบคนและระดับจิตวิญญาณใหม่สองคนยืนรวมตัวกันอยู่ที่นั่น… หากมีใครบอกนางว่าไม่มีเรื่องสำคัญอะไรเกิดขึ้น นางก็คงจะไม่เชื่อแน่นอน หรือว่าบางทีนี่อาจจะเกี่ยวกับการหายตัวไปของศิษย์พี่หัน
ถึงแม้ว่านางจะเก็บตัวอยู่ในถ้ำของตัวเองและจดจ่ออยู่กับการปรุงยาวิเศษ แต่โม่เทียนเกอก็รู้ว่าตั้งแต่ที่ศิษย์พี่หันหายตัวไป พวกเขาก็ไม่ได้ข่าวอะไรเกี่ยวกับนางอีกเลย อาจารย์ลุงหลายท่านได้ออกจากภูเขาไปเพื่อตามหากลุ่มลูกศิษย์แต่ก็ไม่พบร่องรอยอะไรของพวกเขา ในระหว่างช่วงเวลานั้น บางครั้งบางคราวนางก็จะแวะไปหาท่านอาจารย์เสวียนอิน และแต่ละครั้งใบหน้าเขาก็จะมีความกังวลอยู่เสมอ
ลานจัตุรัสค่อยๆ เต็มไปด้วยผู้คน เมื่อศิษย์ทุกคนจากทุกยอดเขามาครบแล้ว นักพรตเต๋าแก่ชราในระดับจิตวิญญาณใหม่ที่ดูเหมือนว่าจะเป็นท่านผู้นำได้กวาดสายตามองไปด้านข้าง ผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังก้าวมาข้างหน้าทันทีและตะโกนอย่างดังว่า “เงียบ!”
ว่ากันตามตรง เสียงเขาใช่ว่าดังมาก ทว่าถูกถ่ายทอดออกไปอย่างชัดเจนถึงแต่ละมุมของจัตุรัส ศิษย์ที่ก่อนหน้านี้กำลังกระซิบกระซาบกันต่างหยุดพูดในทันที
ผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังดูจริงจัง พูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “พวกเจ้าถูกเรียกมาที่นี่เพราะทางโรงเรียนมีเรื่องต้องประกาศ หลายเดือนก่อนหน้านี้ มีความผิดปกติบางอย่างกับเหล่าสัตว์ปีศาจในป่าทางทิศใต้ เราได้ส่งศิษย์ระดับหัวกะทิเพื่อไปสืบหาความจริงหลายคน แต่ทว่า พวกเขาทั้งหมดกลับหายตัวไปอย่างไม่คาดฝัน เพื่อเลี่ยงการทำให้เกิดความไม่สงบ เราจึงไม่ได้เปิดเผยเรื่องนี้ให้รู้โดยทั่วกัน ในช่วงสองสามเดือนที่ผ่านมา เรายังคงได้รับข่าวอย่างต่อเนื่อง แต่กระนั้น จำนวนศิษย์ที่หายตัวไปก็เพิ่มมากขึ้น ดังนั้นเราจึงเรียกทุกคนมารวมตัวกันเพื่อเริ่มการปิดผนึกภูเขา”
สิ่งที่เขาพูดทำให้ทุกคนในจัตุรัสเอะอะโวยวายกันในทันที
การปิดผนึกภูเขา… ถึงแม้ศิษย์หลายคนจะยังไม่เคยมีประสบการณ์นี้โดยตรง แต่พวกเขาก็เคยได้ยินมา การปิดผนึกภูเขาหมายถึงการเปิดใช้ม่านพลังปกป้องขุนเขาอันยิ่งใหญ่ อารามจะถูกปิดตายและไม่รับแขกผู้มาเยือนอีก นอกเหนือจากศิษย์ที่ได้รับคำสั่งพิเศษ คนอื่นๆ ทำได้แค่เข้ามาแต่ไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไป เป็นการตัดขาดการติดต่อกับโลกภายนอกอย่างสิ้นเชิง
โม่เทียนเกอเก็บตัวอยู่แต่ในถ้ำและจดจ่ออยู่กับการปรุงยาวิเศษมาหลายเดือน และนางก็แทบจะไม่ได้เจอหลัวเฟิงเสวี่ย ดังนั้นนางจึงไม่รู้เลยว่ากลุ่มคนที่หายไปจะมีผลกระทบมากขนาดนี้ ถึงขนาดที่กลุ่มการฝึกตนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในขั้วท้องฟ้าต้องปิดอารามของพวกเขาและปิดผนึกภูเขา ความร้ายแรงของเรื่องนี้นับว่าชัดเจนมากแล้ว
ขณะนั้นเอง นักพรตเต๋าระดับจิตวิญญาณใหม่ที่ยืนอยู่ตรงกลางก็ได้ยกมือขึ้นให้ผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังถอยออกไป โม่เทียนเกอเคยได้ยินเกี่ยวกับท่านปรมาจารย์ระดับจิตวิญญาณใหม่ท่านนี้มาจากหลัวเฟิงเสวี่ยมาก่อน เขาเป็นประมุขผู้อาวุโสสูงสุดของโรงเรียนเสวียนชิงและเป็นอันดับหนึ่งในโรงเรียนเสวียนชิงเช่นกัน ตามที่ได้ยินมา ระดับการฝึกตนของเขาอยู่ในขั้นสุดท้ายของดินแดนแห่งจิตวิญญาณใหม่แล้ว นั่นจึงทำให้เขาเป็นหนึ่งในคนที่ทรงอิทธิพลที่สุดในทั่วทั้งขั้วท้องฟ้าเลยทีเดียว
ท่านประมุขผู้อาวุโสสูงสุดซึ่งกำลังหลับตาอยู่ในที่สุดก็ลืมตาขึ้น เขากวาดสายตาเฉียบคมไปทั่วจ้องมองหมู่ศิษย์ที่ยืนอยู่ในจัตุรัส หลังจากผ่านไปพักหนึ่งเขาจึงกล่าวว่า “เจ้าคิดว่าการปิดผนึกภูเขาหมายความว่าโรงเรียนเสวียนชิงนั้นใกล้จะต้องเผชิญกับศัตรูผู้ยิ่งใหญ่ใช่หรือไม่”
ทั้งจัตุรัสเงียบสนิท แต่จากสีหน้าของทุกคนเห็นได้ชัดว่าทุกคนคิดว่าเขาพูดถูก ตั้งแต่โรงเรียนเสวียนชิงถูกก่อตั้งขึ้นมา ภูเขาเคยถูกปิดผนึกแค่หนึ่งในรอบหลายร้อยปีเท่านั้น และทุกครั้งที่เกิดขึ้น ทางโรงเรียนก็ต้องเผชิญกับหายนะอันใหญ่หลวง
ชายชรานักพรตเต๋าหลับตาลงอีกครั้งและพูดอย่างช้าๆ “โรงเรียนเสวียนชิงไม่ใช่ที่เดียว ทั้งหมดของคุนอู๋ตอนนี้กำลังเตรียมตัวรับมือกับการก่อจลาจลของพวกสัตว์ปีศาจ ยิ่งไปกว่านั้น ตามที่ศิษย์คนอื่นๆ รายงานกลับมา การก่อจลาจลของสัตว์ปีศาจครั้งนี้แตกต่างออกไป ทุกวันนี้พลังของโรงเรียนเสวียนชิงนั้นอาจถือได้ว่าน่าเกรงขาม แต่เราจะต้องจำประโยคนี้ไว้เสมอ ‘ยิ่งอยู่สูง ก็ยิ่งตกลงมาง่ายเท่านั้น’ การที่มีพละกำลังมากเกินไปจะนำพาหายนะมาให้เสมอ เพื่อเห็นแก่ศิษย์ของโรงเรียนเสวียนชิง ท่านผู้อาวุโสผู้ยิ่งใหญ่สูงสุดของโรงเรียนตัดสินใจที่จะปิดผนึกภูเขาไว้จนกว่าการก่อจลาจลของพวกสัตว์ปีศาจจะจบลง ในระหว่างเวลานี้ ศิษย์ของโรงเรียนเสวียนชิงต้องเชื่อฟังคำสั่ง การออกจากภูเขาโดยไม่ได้รับอนุญาตนั้นห้ามทำโดยเด็ดขาด!”
ครั้นท่านประมุขผู้อาวุโสสูงสุดพูดจบ โม่เทียนเกอก็แอบมองที่ผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังรอบๆ ตัวนาง นางสังเกตว่าพวกเขาหลายคนทำหน้านิ่วคิ้วขมวดกันอย่างจริงจัง บางคนดูเป็นกังวลและบางคนก็ดูตื่นเต้น ในขณะที่คนอื่นๆ ดูหวาดกลัว
นางเคยได้ยินเกี่ยวกับการก่อจลาจลของสัตว์ปีศาจมาก่อน กลุ่มการฝึกตนส่วนมากในขั้วท้องฟ้านั้นก่อตั้งในแนวเทือกเขาของเขาคุนอู๋ ส่วนทางทิศใต้ของแนวเขาคุนอู๋เป็นป่ากว้างใหญ่ที่แผ่ขยายไปไกลสุดลูกหูลูกตา ป่าแห่งนี้เป็นหนึ่งในพื้นที่ทางจิตวิญญาณที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในขั้วท้องฟ้า พื้นที่ส่วนใหญ่ในแนวเขาคุนอู๋เป็นบ้านของผู้ฝึกตนหลายคน ในขณะที่พื้นที่เขตป่าเป็นที่ซึ่งเหล่าสัตว์ปีศาจจำนวนมากอาศัยอยู่
สัตว์ปีศาจระดับสูงมีความฉลาดเฉกเช่นเดียวกับมนุษย์ ภายใต้สถานการณ์ปกติ พวกมันจะไม่ออกจากป่าไปไหน แต่อย่างไรก็ตาม นานๆ ทีสัตว์ปีศาจที่ยิ่งใหญ่ในป่าก็จะสั่งสัตว์ปีศาจระดับต่ำให้ออกโจมตีส่วนต่างๆ ของภูเขาและขโมยยาวิเศษ เครื่องมือวิญญาณ และอื่นๆ อีกมากมายเพื่อเอาไปช่วยในการฝึกตนของพวกมัน
ทุกครั้งที่มนุษย์และปีศาจสู้กันจะมีทั้งการได้รับความทุกข์ทรมานและได้รับผลประโยชน์ พวกปีศาจต้องการที่จะขโมยยาวิเศษ ในขณะที่พวกมนุษย์ต้องการฆ่าพวกมันเพื่อเอาแกนกายปีศาจหรือซากของมันมา เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับความดีหรือความชั่วร้าย การต่อสู้แค่เกิดขึ้นเพื่อให้ได้ครอบครองในสิ่งที่แต่ละฝ่ายต้องการ
โม่เทียนเกอแค่ต้องคิดอีกนิดก็เข้าใจได้ว่าสหายศิษย์ระดับการสร้างฐานแห่งพลังของนางกำลังคิดอะไรกันอยู่ ที่ตื่นเต้นก็เพราะนี่เป็นโอกาสดี หากพวกเขาสามารถรับใช้ช่วยเหลือโรงเรียนได้หรือบางทีอาจได้รับชะตาลิขิต ระดับการฝึกตนของพวกเขาก็จะก้าวหน้าไปได้โดยไว ส่วนความกลัวที่พวกเขารู้สึกก็เพราะภารกิจที่ต้องทำจะต้องอยู่ภายนอกภูเขาและศิษย์การสร้างฐานแห่งพลังอย่างพวกเขาคงต้องเป็นกำลังหลักในสถานการณ์เช่นนี้ แต่ถ้ามีเหตุร้ายอะไรเกิดขึ้น อาจไม่มีแม้แต่โครงกระดูกของพวกเขาเหลือทิ้งไว้ด้วยซ้ำ
โม่เทียนเกอสงบนิ่งอย่างไม่น่าเชื่อ ไม่ว่ากรณีใดก็ตาม นางเป็นศิษย์ลงนามของท่านปรมาจารย์จิ้งเหอ ดังนั้นพวกเขาคงไม่ปล่อยให้นางเอาชีวิตไปทิ้งกับการรับมือเรื่องอันตรายพรรค์นั้นแน่ นอกจากนี้ นางก็ไม่ได้รู้สึกกลัวอะไร ในระหว่างเจ็ดปีที่นางท่องเที่ยวไปทั่วกับท่านอารอง นางได้ไปมาทุกที่และเจอกับภัยอันตรายจนนับครั้งไม่ถ้วน นางไม่คิดว่ามีอะไรที่นางจะต้องกลัว
“เอาละ ศิษย์ระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณควรกลับไปที่ถ้ำของตัวเอง จงฝึกตนอย่างสงบและทำใจให้นิ่ง ส่วนศิษย์ระดับการสร้างฐานแห่งพลังขอให้อยู่ที่นี่ก่อน”
เมื่อได้รับคำสั่ง ศิษย์ระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณออกจากจัตุรัสไปทีละคนพร้อมกับเหลือบมองศิษย์การสร้างฐานแห่งพลังด้วยทั้งเห็นใจและอิจฉา
ในที่สุดเมื่อไม่มีศิษย์การหลอมรวมพลังวิญญาณเหลืออยู่ในจัตุรัสอีก ผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังจากก่อนหน้านี้จึงก้าวมาข้างหน้าอีกครั้ง เขากล่าว “ศิษย์หลานทั้งชายและหญิง พวกเจ้าหลายคนคงเคยประสบกับเหตุการณ์ก่อจลาจลของสัตว์ปีศาจมาแล้วเมื่อห้าสิบปีก่อน ข้าคงไม่ต้องอธิบายรายละเอียดกันอีก การก่อจลาจลของสัตว์ปีศาจไม่สามารถจัดการได้โดยแค่ปิดผนึกภูเขาเท่านั้น เรายังต้องออกไปและกำจัดศัตรูของเราด้วย ศิษย์ระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณยังไม่ได้เข้าสู่ประตูแห่งเซียน ดังนั้น ต้องเป็นพวกเจ้าศิษย์ระดับการสร้างฐานแห่งพลัง ผู้ที่เป็นรากฐานแห่งโรงเรียนเสวียนชิงของข้า เจ้าต้องพยายามอย่างหนักในการแก้ปัญหานี้ เราจะส่งผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังหกคนและศิษย์ระดับการสร้างฐานแห่งพลังร้อยคนออกไป เจ้าควรไปเตรียมตัวและรอฟังประกาศจากเรา”
ว่าแล้วผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังคนนั้นก็ได้ส่งสัญญาณให้พวกเขาว่าการประชุมวันนี้เสร็จสิ้นลงแล้ว ตัวโม่เทียนเกอนั้นเต็มไปด้วยคำถาม นางตามกลุ่มคนกลับไปยังยอดเขาวสันต์กระจ่างพร้อมกับสงสัยว่าทำไมการประชุมถึงจบลงเร็วนัก รายนามของศิษย์ที่จะต้องออกจากเขาเพื่อไปกำจัดสัตว์ปีศาจก็ยังไม่ได้ถูกประกาศ
“เทียนเกอ!”
ทันทีหลังจากที่นางกลับมายังยอดเขาวสันต์กระจ่าง ก็มีเสียงเรียกมาจากทางด้านหลัง เป็นเสียงของเยี่ยจิ่งเหวิน
“พี่ใหญ่เยี่ย!” โม่เทียนเกอเรียก เขาดูเกือบจะเหมือนกับหลัวเฟิงเสวี่ย นั่นคือเขาดูเหนื่อยล้าอย่างที่สุด นี่มันไม่ถูกต้องแล้ว… เขาก็เหมือนกับนางที่ไม่ได้มีหน้าที่อะไรในโรงเรียน เพราะงั้นทำไมเขาถึงอิดโรยขนาดนี้
เยี่ยจิ่งเหวินโบกมือและเก็บมือเข้าในแขนเสื้อก่อนที่เดินมาทางถ้ำ เขาพูดว่า “ไปคุยกันข้างในเถอะ”
โม่เทียนเกอเปิดประตูถ้ำทันทีและเชิญเขาเข้ามาข้างใน
พอพวกเขาเข้ามาข้างในแล้ว เยี่ยจิ่งเหวินพูดว่า “เทียนเกอ ในอีกหลายวันข้าจะต้องออกจากเขาเพื่อไปทำภารกิจ”
“หา?” โม่เทียนเกอตกใจ เยี่ยจิ่งเหวินเป็นที่รู้จักกันดีในหมู่ศิษย์ระดับหัวกะทิ เขายังหนุ่มแต่ระดับการฝึกตนของเขาก็เข้าถึงขั้นกลางของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังแล้ว โดยปกติแล้วเขาไม่น่าจะถูกส่งออกไปในสถานการณ์ที่ไม่แน่นอนเช่นนั้น
“พี่ใหญ่เยี่ย ทำไมพวกเขาถึงเลือกท่านล่ะ”
เยี่ยจิ่งเหวินเผยรอยยิ้มขมขื่นและบอกว่า “ข้าไม่มีทางเลือก ท่านอาจารย์ของข้าถูกเลือก ดังนั้นข้าเลยต้องไปกับเขา”
“เอ๋ ตัดสินใจเลือกคนที่ต้องไปกันแล้วหรือ”
เยี่ยจิ่งเหวินพยักหน้า “ก่อนที่จะประกาศเรื่องนี้ พวกอาจารย์ลุงรู้อยู่ก่อนแล้วและตกลงกันว่าใครที่จะออกจากเขาเพื่อไปกำจัดสัตว์ปีศาจพวกนั้น ทั้งหกยอดเขาจะส่งผู้อาวุโสระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังไปหนึ่งคน สำหรับยอดเขาวสันต์กระจ่างของเรา ท่านอาจารย์ของข้า อาจารย์เต๋าชิงหยวนจะเป็นคนไป”
“อ้อ…” ถ้าเป็นเช่นนั้น เมื่อมีอาจารย์ของเขาอยู่ด้วย ก็ไม่น่าจะอันตรายเกินไปสำหรับเขา
“สำหรับศิษย์ระดับการสร้างฐานแห่งพลัง คนส่วนน้อยที่เป็นศิษย์หัวกะทิอย่างพวกเรา และคนส่วนใหญ่เป็นศิษย์ธรรมดาทั่วไป ดังนั้นเจ้าไม่ต้องกังวลไปหรอก พวกเขาไม่น่าจะเลือกเจ้า อย่างไรก็ตาม ทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับสถานการณ์ หากสถานการณ์ดูไม่ค่อยดี บางทีทุกคนก็อาจจะต้องไป แต่ถ้าเรื่องต่างๆ ผ่านไปได้ด้วยดี ศิษย์ที่เพิ่งจะสร้างฐานแห่งพลังของตัวเองอย่างเจ้าอาจถูกส่งออกไปเพื่อลองสนาม ข้ามาเพื่อบอกเจ้าเรื่องนี้ล่ะ เจ้าควรจะเตรียมตัวให้ดี”
“อือ ข้าเข้าใจแล้ว”
เมื่อเห็นว่านางเข้าใจแล้ว เยี่ยจิ่งเหวินยืนขึ้นโดยไม่แม้แต่จะดื่มชาของเขาและกล่าวว่า “เอาละ ข้าขอตัวก่อน”
“พี่ใหญ่เยี่ยต้องระวังตัวด้วยนะ”
เยี่ยจิ่งเหวินมองกลับมาเพื่อยิ้มให้นาง จากนั้นเขาออกไปอย่างเร่งรีบ
โม่เทียนเกอที่เต็มไปด้วยความคิดต่างๆ หันกลับเข้าไปในถ้ำของนาง
ถึงแม้ว่าเยี่ยจิ่งเหวินจะเตือนนางแต่นางก็ไม่ได้กลัว พวกเขาอาจจะออกจากเขาไปเพื่อสังหารสัตว์ปีศาจ แต่ในแต่ละกลุ่มก็จะมีผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังเป็นคนนำ ดังนั้นมันไม่น่าจะอันตรายเกินไป แต่เพราะนางเพิ่งสร้างฐานแห่งพลังของตัวเองและยังไม่สามารถใช้ศาสตร์หลอมจิตวิญญาณได้ เพราะอย่างนั้นความสามารถของนางจึงค่อนข้างจะด้อย หากนางต้องเข้าร่วมในสงครามครั้งนี้ นางก็ไม่มั่นใจเอาเสียเลย
ลืมมันเสีย เราควรต้องเตรียมตัวไว้บ้าง ถ้าถึงคราวของเรา อย่างน้อยเราจะได้ไม่ตื่นตระหนก ยิ่งไปกว่านั้น เราต้องเตรียมกลยุทธ์ช่วยชีวิตเอาไว้บ้างเสียแล้ว