ลำนำสตรียอดเซียน - ตอนที่ 108 สถานการณ์ในสนามรบ
ขณะที่นางมองคลื่นกลุ่มควันและฝุ่นด้านล่าง โม่เทียนเกอย่นคิ้วอย่างช่วยไม่ได้
นางไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่าสถานการณ์ภายนอกนั้นจะโกลาหลขนาดนี้
กลุ่มคนต่างหนีไปทางนั้นทางนี้ในขณะที่สัตว์ปีศาจระดับต่ำกำลังไล่ล่าพวกเขา คนที่ไม่สามารถหนีพ้นหรือล้าหลังก็จะถูกกำจัดด้วยสัตว์ปีศาจนั่นและจบลงด้วยการบาดเจ็บสาหัสหรือถูกกลืนกินเข้าไปแทน
โม่เทียนเกอกำหมัดและเม้มปากแน่น อย่างไรก็ตาม สุดท้ายแล้วนางก็ยังคงครองสติเอาไว้ได้อยู่ นางมองไปที่อาจารย์เต๋าซู่ซิน ผู้ที่นำพวกนางและเรียกด้วยความสงสัย “ท่านอาจารย์ลุงซู่ซิน?”
อาจารย์เต๋าซู่ซินเป็นผู้หญิงที่ดูเย็นชา ในขณะนี้นางดูเย็นชายิ่งกว่าเดิมขณะที่ยกมือขึ้น และเขวี้ยงแส้หางม้าไปยังสัตว์ปีศาจที่อยู่เบื้องล่าง
เมื่อเห็นท่าทางของนาง โม่เทียนเกอและคนอื่นๆ ก็เริ่มที่จะโจมตีไปด้วย
เลือดสาดกระจายไปทั่ว แขนขาขาดสะบั้นกระจัดกระจาย เหล่านี้ต่างเป็นสัตว์ปีศาจระดับต่ำทั้งนั้น การที่เผชิญหน้ากับการโจมตีจากศิษย์หลายคนนั้นใช้เวลาในการจัดการเพียงไม่นาน
โม่เทียนเกอผู้ซึ่งกำลังเช็ดรอยเลือดจากมือของนางมองไปที่หลัวเฟิงเสวี่ย
สีหน้าหลัวเฟิงเสวี่ยนั้นซีดมาก นางกระซิบ “เรื่องต่างๆ มันลงเอยแบบนี้ได้อย่างไร…”
หลัวเฟิงเสวี่ยตัวสั่นเทาเล็กน้อย ถึงแม้ว่านางจะเป็นศิษย์ของโรงเรียนที่โดดเด่นตั้งแต่สมัยที่ยังเด็ก นางไม่เคยที่จะต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์นองเลือดเช่นนี้มาก่อน โม่เทียนเกอจับมือของนางและพูดว่า “ศิษย์พี่หลัว พวกเราเพียงแค่จะต้องฆ่าสัตว์ปีศาจเท่านั้น”
ใช้เวลาระยะหนึ่งทีเดียวกว่าหลัวเฟิงเสวี่ยจะรวบรวมสติของนางได้ นางพยักหน้าและพูด “อย่าได้กังวลไป ข้าชินชากับมันได้” นางยิ้มเล็กๆ อย่างขมขื่น ก่อนจะกล่าวต่อ “ความจริงแล้ว โรงเรียนเสวียนชิงคอยระมัดระวังตัวอยู่ตลอดเวลาถึงแม้จะเป็นช่วงเวลาที่สงบสุข ศิษย์ของพวกเราหลายคนได้เข้าร่วมการประลองภายในทุกสามเดือน แต่ข้าชอบทำงานต่างๆ ให้กับโรงเรียนเสียมากกว่า ข้าไม่เคยคาดคิดเลยว่าวันหนึ่งข้าจะต้องออกมาต่อสู้ ข้าตามใจตัวเองมากเกินไป”
กลุ่มคนส่วนมากหนีมาทางพวกเขาซึ่งประกอบไปด้วยมนุษย์จากตลาดนัดหรือไม่ก็มนุษย์ที่เกิดอยู่ในตระกูลต่างๆ ตอนนี้พวกเขาปลอดภัยแล้ว พวกเขาต่างก้มคำนับให้กับกลุ่มของโม่เทียนเกอ บางคนถึงขนาดขอร้องอ้อนวอนอย่างน่าสงสารให้พาพวกเขาไปยังที่ปลอดภัย
ความเจ็บปวดเสียดแทงเข้ามาที่หัวใจโม่เทียนเกอ ทำให้นางต้องหันไปมองทางอาจารย์เต๋าซู่ซิน
อาจารย์เต๋าซู่ซินส่ายหน้า “พวกเรายังมีเรื่องสำคัญอย่างอื่นต้องทำ พวกเราจะอยู่ที่นี่ไม่ได้”
โม่เทียนเกอรู้ว่าอาจารย์เต๋าซู่ซินไม่ได้หาข้ออ้าง กลุ่มของนางมีเพียงแค่ประมาณยี่สิบคนทั้งหมด ถ้าพวกเขาพาคนเหล่านี้ไป พวกเขาก็จะล่าช้าโดยที่ไม่รู้ว่าจะถึงเมื่อไหร่ ยิ่งพวกเขาช้าสถานการณ์ก็จะยิ่งเลวร้ายลงเรื่อยๆ ในเมื่อมันนอกเหนือกำลังที่พวกเขาจะช่วยได้ พวกเขาก็จะต้องไม่ฝืนตัวเองให้ตกอยู่ในสถานการณ์นั้น
อย่างไรก็ตาม บางคนยังคงตะโกน “อาจารย์ลุงหากพวกเราทิ้งพวกเขา ข้าเกรงว่าเหล่ามนุษย์กลุ่มนี้จะต้องเสียชีวิตเป็นแน่!”
ท่านอาจารย์เต๋าซู่ซินชำเลืองมองดูผู้นั้นอย่างเย็นชาก่อนที่นางจะพูดว่า “ถึงพวกเราโรงเรียนแห่งเต๋าจะยึดถือกฎแห่งลัทธิเต๋าอย่างเคร่งครัด แต่ก็สำคัญเช่นกันที่จะต้องรู้ว่าสิ่งใดควรหรือไม่ควร ในตอนนี้การที่จะต้องรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ยิ่งใหญ่นี้เป็นเรื่องที่สำคัญกว่า ถ้าเหล่าคนกลุ่มนี้ออกจากอาณาเขตของภูเขาคุณอู๋ได้ไว พวกเขาก็จะยังรักษาชีวิตไว้ได้ พวกเราไม่มีความจำเป็นที่จะต้องไปมีส่วนร่วม ปล่อยไป!”
พูดจบ นางก็ควบคุมอาวุธวิเศษบินได้ของนางออกจากสถานที่นั้นไปในชั่วพริบตา
ถนนสู่ความเป็นเซียนนั้นไม่ใช่ไม่มีความเมตตาแต่อย่างใด เพียงแต่ความเมตตานั้นมีขอบเขตที่จำกัด ถึงแม้ว่าโม่เทียนเกอจะถอนใจอยู่ภายในแต่นางก็ยังคงเงียบต่อไป
หลายวันต่อมา ทุกคนก็ไปถึงจุดหมาย
ภูเขาไท่กังมีม่านพลังป้องกันขุนเขาอยู่แล้ว สัตว์ปีศาจต่างเคยทรมานในความสูญเสียที่เกิดขึ้นจากม่านพลังโลกาสวรรค์พิฆาตมาก่อน ดังนั้นพวกมันจึงไม่กล้าที่จะโจมตีภูเขาไท่กังโดยตรง พวกมันเลือกที่จะทำร้ายกลุ่มผู้ฝึกตนเล็กๆ และตระกูลที่เป็นเครือข่ายของโรงเรียนเสวียนชิงที่ตั้งอยู่ในบริเวณใกล้เคียงภูเขาไท่กังแทน
เห็นได้ชัดเจนว่าเพราะเหตุนี้โรงเรียนเสวียนชิงจึงไม่สามารถหลบหลีกการจลาจลนี้ได้ ทรัพยากรหลายๆ อย่างที่มอบให้กับศิษย์ของกลุ่มผู้ฝึกตนใหญ่มาจากเหล่าตระกูลผู้ฝึกตนและกลุ่มผู้ฝึกตนเล็กๆ พวกนี้ทั้งนั้น หากขาดพวกเขาไป รากฐานของโรงเรียนเสวียนชิงครึ่งหนึ่งก็จะถูกทำลาย
ก่อนที่พวกเขาจะออกจากภูเขา โม่เทียนเกอรู้มาว่าศึกในคุณอู๋ตะวันตกมักจะอยู่ที่ผาลั่วเยี่ยน ตระกูลผู้ฝึกตนและกลุ่มผู้ฝึกตนเล็กๆ เหล่านี้ส่วนใหญ่ได้ย้ายมาที่นี่เช่นกัน
จากระยะไกล ทุกคนต่างมองเห็นม่านพลังขนาดใหญ่ที่ปกคลุมหน้าผาเอาไว้ ภายในม่านพลังกระโจมพักเห็นได้ทั่วจนเหมือนกับมันจะปกคลุมพื้นที่ไปทั้งหมด
เมื่อเห็นเช่นนี้ ใบหน้าของอาจารย์เต๋าซู่ซินถมึงทึงขึ้นมาในทันที นางพาทุกคนให้หยุดรออยู่ด้านนอกของม่านพลัง
กลุ่มผู้ฝึกตนหน่วยลาดตระเวนรีบตรงมาทางพวกเขา ทำความเคารพก่อนที่จะถาม “ท่านพี่จากโรงเรียนเสวียนชิง ข้าขอทราบชื่อแห่งเต๋าของท่านพี่ได้หรือไม่”
ศิษย์ของท่านอาจารย์เต๋าซู่ซินก้าวไปทางด้านหน้าและตอบ “ท่านอาจารย์เต๋าของข้าชื่อซู่ซิน พวกเราได้รับคำสั่งจากฝ่ายของเราให้มาช่วยเหลือ”
“โอ้ ท่านอาจารย์เต๋าซู่ซินนี่เอง ได้โปรดอภัยให้ศิษย์น้องด้วยที่ไม่ได้ให้การต้อนรับท่านเร็วกว่านี้ ข้าน้อยหงหยวนแห่งสำนักซั่งชิงเป็นผู้ที่คอยดูแลหน่วยลาดตระเวนในผาลั่วเยี่ยนในตอนนี้ ศิษย์น้องไม่ได้เจตนาจะทำให้ท่านอาจารย์เต๋าขุ่นเคือง และหวังว่าท่านอาจารย์เต๋าจะอภัยให้แต่ท่านอาจารย์เต๋ารบกวนช่วยแสดงแผ่นจารึกประจำตัวของท่านด้วยได้หรือไม่ขอรับ” หงหยวนผู้นี้ช่างสุภาพนักแต่เขาเองก็ไม่ได้ลืมหน้าที่ของเขา ถึงแม้ว่าพวกเขาจะใส่เครื่องแบบของโรงเรียนเสวียนชิง เขาก็ยังจำได้ว่าจะต้องตรวจสอบแผ่นจารึกประจำตัวเช่นกัน
อาจารย์เต๋าซู่ซินพยักหน้าพร้อมหยิบแผ่นจารึกออกมา
เมื่อยืนยันตัวตนจากแผ่นจารึกประจำตัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว หงหยวนพูดด้วยความเคารพ “ท่านพี่ได้โปรดรออยู่ตรงนี้สักครู่ น้องจะไปแจ้งท่านพี่หลิงซีให้เปิดม่านพลังแก่ท่าน”
เมื่อเขาได้รับอนุญาตจากท่านอาจารย์เต๋าซู่ซิน หงหยวนได้ส่งเครื่องรางเรียกขานออกไป ไม่นานพวกเขาก็เห็นผู้ฝึกตนระดับก่อเกิดแก่นขุมพลังในชุดเครื่องแบบของโรงเรียนเสวียนชิงมาทางพวกเขาพร้อมกับศิษย์อีกหลายคน ผู้ฝึกตนคนนั้นพูด “ศิษย์พี่ซู่ซิน ท่านมาด้วยรึ”
ถึงแม้ว่าปฏิกิริยาของอาจารย์เต๋าซู่ซินจะยังคงเย็นชา แต่สายตาของนางดูอ่อนโยนขึ้นเล็กน้อย “ศิษย์น้องหลิงซี ตอนนี้สถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง”
โม่เทียนเกอไม่เคยพบกับอาจารย์เต๋าหลิงซีมาก่อน แต่คนผู้นี้ดูอ่อนเยาว์นัก คาดว่าเขาจะมีทักษะที่เหนือชั้นทีเดียว
อาจารย์เต๋าหลิงซีพูด “ศิษย์พี่เชิญด้านในก่อนและค่อยคุยถึงรายละเอียดกันอย่างช้าๆ” หลังจากที่เขาพูดเช่นนั้นเขาก็พาทุกคนเข้าไปสู่ด้านในของม่านพลัง เขาพูดกับศิษย์ของเขาให้รวบรวมเหล่าผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังในขณะที่เขานำอาจารย์เต๋าซู่ซินไปที่กระโจมใหญ่ด้านใน
โม่เทียนเกอและหลัวเฟิงเสวี่ยต่างตอบรับการจัดการต่างๆ สำหรับพวกนางโดยที่ไม่ได้บ่นอะไร
ในทางกลับกัน เมื่ออาจารย์เต๋าซู่ซินเดินเข้าไปในกระโจม นางก็ต้องตกตะลึง กระโจมใหญ่นี้เต็มไปด้วยผู้ฝึกตนประมาณยี่สิบคนที่ล้วนอยู่ในดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลังทั้งหมด พวกเขาส่วนมากเป็นคนของโรงเรียนเสวียนชิงในขณะที่คนอื่นๆ เป็นผู้ฝึกตนจากกลุ่มผู้ฝึกตนเล็กๆ ที่เป็นเครือข่ายของโรงเรียนเสวียนชิง ผู้ฝึกตนส่วนมากของโรงเรียนเสวียนชิงที่ถูกส่งในออกมาสู่สงครามต่างอยู่ที่นั่น ทำไมตอนนี้พวกเขาถึงรวมตัวกันอยู่ในที่เดียว
“ศิษย์น้องซู่ซิน เจ้ามาด้วยหรือ!” อาจารย์เต๋าเสวียนอินอุทานออกมาเมื่อเห็นนาง รวมซู่ซินด้วยแล้วนั้นจากเจ็ดผู้ฝึกตนระดับก่อเกิดแก่นขุมพลังในยอดเขาวสันต์กระจ่าง มีสี่คนที่อยู่ที่นั่น จำนวนผู้ฝึกตนระดับก่อเกิดแก่นขุมพลังของยอดเขาอื่นก็พอๆ กัน ดังนั้นครึ่งหนึ่งของผู้ฝึกตนระดับก่อเกิดแก่นขุมพลังแห่งโรงเรียนเสวียนชิงได้เข้ามารวมอยู่ในใจกลางการจลาจลของสัตว์ปีศาจนี้แล้ว
เมื่ออาจารย์เต๋าซู่ซินทักทายทุกคนจนครบ นางนั่งอยู่ข้างๆ อาจารย์เต๋าเสวียนอินและพูด “ศิษย์พี่เสวียนอิน ตอนนี้สถานการณ์เป็นอย่างไร”
อาจารย์เต๋าเสวียนอินส่ายหน้า “หลายวันก่อน สหายระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังของเราหลายคนถูกฆ่าตาย”
“อะไรนะ!” อาจารย์เต๋าซู่ซินหันไปมองรอบๆ พร้อมขมวดคิ้ว ผู้ฝึกตนระดับก่อเกิดแก่นขุมพลังประมาณเจ็ดถึงแปดคนจากโรงเรียนเสวียนชิงไม่ได้อยู่ที่นั่น นางถาม “แล้วศิษย์น้องชิงหยวนและโส่วจิ้งล่ะ”
อาจารย์เต๋าเสวียนอินพูด “ศิษย์น้องชิงหยวนกำลังออกไปปฏิบัติภารกิจ และศิษย์น้องโส่วจิ้ง…” เขาหยุดพูด ทำให้อาจารย์เต๋าซู่ซินถามอย่างสงสัย “เกิดอะไรขึ้น”
“ศิษย์น้องโส่วจิ้งหายตัวไป” อาจารย์เต๋าเสวียนอินขมวดคิ้วและพูดต่อ “ในสนามรบเมื่อหลายวันก่อน ศิษย์น้องโส่วจิ้งต่อสู้กับสัตว์ปีศาจแสงสว่างระดับเจ็ด พวกเราไม่สามารถติดต่อเขาได้ ในขณะนั้นนักพรตเต๋าระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังได้มาถึง หลายคนถูกฆ่าตายในขณะที่อีกหลายคนก็หายตัวไป ความจริงแล้วนี่เป็นสิ่งที่พวกเรากำลังถกเถียงกันอยู่”
“หายไป…” อาจารย์เต๋าซู่ซินส่ายหน้าพร้อมพูดอย่างเย็นชาว่า “ถึงแม้ว่าสัตว์ปีศาจแสงสว่างระดับเจ็ดนั้นจะเทียบเท่าได้กับผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังระดับท้ายๆ แต่ศิษย์น้องโส่วจิ้งนั้นฉลาดหลักแหลม อีกอย่างเขาครอบครองอาวุธวิเศษสำหรับหนี ดังนั้นชีวิตของเขาไม่น่าจะเป็นอันตรายนัก ข้าเกรงว่าเขาจะบาดเจ็บและซ่อนอยู่ที่ไหนสักแห่งเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บ”
“นั่นก็เป็นสิ่งที่ข้าคิดเช่นกัน” อาจารย์เต๋าเสวียนอินพยักหน้า แต่ร่องรอยแห่งความกังวลบนสีหน้าของเขาไม่ได้ลดลง เขาพูด “อย่างไรก็ตาม สถานการณ์มันไกลเกินกว่าที่จะดีได้แล้ว ศิษย์น้องโส่วจิ้งหายตัวไปทำให้ข้ากังวลใจยิ่งนัก”
อาจารย์เต๋าซู่ซินได้แต่เพียงพยักหน้า หลังจากนั้นไม่นาน นางถามขึ้นอีกครั้ง “ศิษย์พี่เสวียนอิน ศัตรูของเราแข็งแกร่งขนาดไหน พวกเรามีผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังมากมาย พวกเราไม่ได้เปรียบบ้างเลยหรอกหรือ”
อาจารย์เต๋าเสวียนอินฝืนยิ้มและพูด “ศัตรูของเรามีประมาณห้าถึงหกตัวที่เป็นสัตว์ปีศาจระดับเจ็ด และมากกว่าสิบสองตัวที่เป็นสัตว์ปีศาจระดับห้าและหก จำนวนของพวกมันมีมากกว่าเราเยอะนัก และระดับการฝึกตนของพวกมันก็ค่อนข้างสูง มันช่าง…”
“พวกมันมีสัตว์ปีศาจระดับเจ็ดเยอะขนาดนั้นเชียวหรือ” อาจารย์เต๋าซู่ซินตกตะลึงถึงขีดสุด สัตว์ปีศาจระดับเจ็ดนั้นเทียบเท่าได้กับผู้ฝึกตนระดับก่อเกิดแก่นขุมพลังระดับท้ายๆ แต่ทางฝั่งผู้ฝึกตนนั้นมีเพียงแค่ไม่กี่คนที่อยู่ในระดับท้ายๆ ของดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลัง!
“ถูกต้องแล้ว นี่จึงเป็นปัญหาที่ยากลำบากยิ่งนัก…” อาจารย์เต๋าเสวียนอินพูดขณะที่ส่ายหัวของเขา
…
“อะไรนะ!” เมื่อโม่เทียนเกอซึ่งอยู่ในกระโจมพักชั่วคราวได้ยินข่าวที่หลัวเฟิงเสวี่ยได้รับมา นางถึงกับประหลาดใจ
หลัวเฟิงเสวี่ยพูดต่อ “จากที่ข้าได้ยิน ท่านอาจารย์ลุงโส่วจิ้งสู้กับสัตว์ปีศาจระดับเจ็ดก่อนจะหายตัวไปเมื่อประมาณเจ็ดแปดวันแล้ว”
โม่เทียนเกอหยุดจากงานที่กำลังทำอยู่ นางนั่งลงและถาม “แล้วศิษย์พี่ฉินล่ะ”
“…เขาเองก็หายตัวไปเช่นเดียวกัน” หลัวเฟิงเสวี่ยชำเลืองมองที่โม่เทียนเกอก่อนที่จะพูด “เจ้าอย่าได้กังวลไป เจ้าบอกเองไม่ใช่หรือ ถ้าไม่มีข่าวก็ถือว่าเป็นข่าวดี?”
หลังจากที่นั่งมึนอยู่ครู่หนึ่ง โม่เทียนเกอจึงถามต่อ “คนอื่นๆ ออกไปตามหาพวกเขาหรือไม่”
“ข้าได้ยินเพียงว่าอาจารย์ลุงชิงหยวนอาจจะออกไปตามหาอาจารย์ลุงโส่วจิ้ง แต่ก็ยังคงไม่มีข่าวเช่นกันในตอนนี้ ดังนั้นก็เลยยังไม่ค่อยแน่ชัดเท่าไร”
โม่เทียนเกอรู้สึกเหมือนกับลมหายใจของนางติดอยู่ที่หน้าอกและไม่สามารถหายใจออกมาได้ อย่างไรก็ตามความคิดฝั่งเหตุผลของนางก็บอกกับตัวเองว่านางไม่สามารถช่วยอะไรได้ในเรื่องนี้ และการที่จะเป็นกังวลไปนั้นไร้ประโยชน์เช่นกัน
นางยืนขึ้น ครุ่นคิด และกลับลงมานั่งอีกครั้ง นางทำเช่นนี้อยู่หลายครั้งจนหลัวเฟิงเสวี่ยไม่สามารถทนต่อไปได้จึงพูดว่า “ใจเย็นก่อน ด้วยระดับการฝึกตนของท่านอาจารย์ลุงโส่วจิ้งแล้วนั้น เขาจะต้องไม่เป็นอะไร”
“ไม่ใช่อาจารย์ลุงโส่วจิ้งที่ข้าเป็นห่วง!” โม่เทียนเกอหลับตาและสูดหายใจเข้าลึก อย่างไรก็ตามนางรู้ตัวว่าไร้ประโยชน์ หัวใจของนางยังคงเต้นแรง นางต้องการที่จะรีบออกไปด้านนอนแต่นางเองก็ไม่รู้ว่าจะช่วยอะไรได้บ้าง
หลัวเฟิงเสวี่ยติดอยู่ในภวังค์ความคิด นางมองที่โม่เทียนเกออยู่เป็นเวลานานทันใดนั้นนางก็ถาม “เจ้าชอบศิษย์พี่ฉินอย่างนั้นหรือ”
โม่เทียนเกอตะลึงแต่ก็ส่ายหน้าตอบในทันที “ไม่…”
“ถ้าเจ้าไม่ได้ชอบ แล้วเจ้ากังวลไปเพื่ออะไร”
“ข้า… ข้าก็แค่กังวล…”
“เจ้าไม่ได้ชอบเขา แล้วเจ้ากังวลเรื่องอะไร” หลัวเฟิงเสวี่ยขมวดคิ้วและพูดอย่างบูดบึ้ง “เทียนเกอ ข้าแนะนำเจ้าอย่างนะ ถ้าเจ้ามีความคิดเช่นนั้น เจ้าควรที่จะหยุดเสีย เขา…”
“ข้ารู้!” โม่เทียนเกอทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้และยกมือขึ้นปิดหน้า นางพูด “ข้ายอมรับว่าครั้งหนึ่งข้า…แต่สิ่งที่เจ้าต้องการจะพูด ข้ารู้อยู่แล้ว ข้าสาบานได้ว่าข้าไม่ได้หลงผิดไป ข้ามองเขาเป็นเพียงแค่สหาย ถ้าคนที่หายไปคือเจ้าหรือพี่ใหญ่เยี่ยข้าก็คงจะกังวลเช่นเดียวกัน!”
หลัวเฟิงเสวี่ยนิ่งเงียบเป็นเวลานานก่อนที่สุดท้ายนางจะถอนหายใจและพูด “ตกลง ข้าจะไม่พูดอะไรอีกแล้ว ถึงแม้ว่าข้าคิดว่าเจ้าไม่รู้ว่า…”
“รู้อะไร” คำพูดของหลัวเฟิงเสวี่ยถูกแทรกด้วยเสียงที่มาจากทางด้านนอก ไม่นานผู้หญิงคนหนึ่งก็เปิดม่านกระโจมออกและเดินเข้ามาด้านใน
“ศิษย์พี่ใหญ่!”
เมื่อได้ยินเสียงประหลาดใจของหลัวเฟิงเสวี่ย โม่เทียนเกอเงยหน้าขึ้นและเห็นหันชิงอวี้มองมาที่พวกนางด้วยรอยยิ้ม นางรีบยืนขึ้นและเรียก “ศิษย์พี่หัน”
หันชิงอวี้เป็นคนที่ดูเป็นมิตรและอ่อนโยน ถึงแม้ว่านางจะไม่ได้เป็นคนสวย แต่นางก็เป็นคนที่น่าดึงดูดใจและยิ้มแย้มอยู่ตลอดเวลา
หลัวเฟิงเสวี่ยโผเข้าหาหันชิงอวี้และตะโกนอย่างตื่นเต้น “ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านเป็นอย่างไรบ้าง”
“ข้าไม่เป็นอะไร” หันชิงอวี้ตอบขณะที่ลูบหัวหลัวเฟิงเสวี่ยอย่างสนิทสนม นางอายุมากกว่าหลัวเฟิงเสวี่ยมากนัก หากเทียบกับลำดับอายุในโลกมนุษย์ นางนั้นแก่มากพอที่จะเป็นคุณทวดของหลัวเฟิงเสวี่ยได้เลยทีเดียว นางได้มองดูหลัวเฟิงเสวี่ยเติบโตและมองว่าหลัวเฟิงเสวี่ยเป็นเหมือนกับน้องของนาง
เมื่อปลอบหลัวเฟิงเสวี่ยแล้ว หันชิงอวี้หันมามองที่โม่เทียนเกอ นางยิ้มพร้อมพูดว่า “เทียนเกอข้ายังไม่ได้มีโอกาสแสดงความยินดีกับเจ้าที่ประสบความสำเร็จในการสร้างฐานแห่งพลังได้เลย เจ้าต้องเหนื่อยกับการเดินทางครั้งนี้มากทีเดียว ใช่ไหม”
โม่เทียนเกอยิ้มให้นางและพูดตอบ “ขอบพระคุณศิษย์พี่หันมาก ข้าดีใจนักที่ท่านไม่เป็นอะไร พวกเราเป็นกังวลมากทีเดียว”
หันชิงอวี้ยิ้มอย่างนุ่มนวลและนั่งลง นางพูดอย่างอ่อนโยนกับหลัวเฟิงเสวี่ยและตำหนิ “เฟิงเสวี่ย ในอนาคต เจ้าจะต้องไม่พูดคำพวกนั้นอย่างสะเพร่า มีผู้คนมากมายอยู่ที่นี่ อาจมีคนได้ยินสิ่งที่เจ้าพูด”
“ข้ารู้ศิษย์พี่ใหญ่” หลัวเฟิงเสวี่ยพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง
หันชิงอวี้พยักหน้าให้พร้อมรอยยิ้ม นางหันมามองที่โม่เทียนเกออีกครั้งและกล่าว “ข้ามาดูพวกเจ้าสองคน ในขณะเดียวกัน ข้าก็อยากจะบอกเกี่ยวกับสถานการณ์ในตอนนี้ให้ฟัง เจ้าทั้งสองคนอาจจะได้เผชิญหน้าเข้ากับสัตว์ปีศาจในไม่ช้า ดังนั้นพวกเจ้าควรที่จะเตรียมตัวไว้”