ลำนำสตรียอดเซียน - ตอนที่ 109 ต่อสู้
“…โม่เทียนเกอ!”
โม่เทียนเกอได้ยินชื่อตัวเอง ก็ก้าวไปข้างหน้า ข้างๆ นางมีผู้ฝึกตนราวๆ เจ็ดหรือแปดคนยืนอยู่ และก็เช่นเดียวกันกับนาง ชื่อพวกเขาถูกเรียกและได้รับมอบหมายงานแบบเดียวกัน
ท่านอาจารย์เต๋าเสวียนอินกวาดสายตามองพวกเขาอย่างเคร่งขรึม เขากล่าว “กลุ่มของเจ้านำโดยเว่ยจยาซือ ภารกิจครั้งนี้คือการช่วยเหลือและช่วยชีวิตสหายนักพรตที่บาดเจ็บของพวกเรา เข้าใจหรือไม่”
“เจ้าค่ะ”
” ขอรับ”
ท่านอาจารย์เต๋าเสวียนอินจึงโบกมือและกล่าวว่า “ไปได้”
โม่เทียนเกอตามเว่ยจยาซือออกจากสถานที่นั้นไปเงียบๆ
กลุ่มของพวกเขาประกอบไปด้วยผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังที่บาดเจ็บหรือไม่ก็มีระดับการฝึกตนค่อนข้างต่ำ ด้วยเหตุนี้ ท่านอาจารย์เต๋าเสวียนอินจึงจงใจมอบหมายงานง่ายๆ ให้พวกเขาอย่างเห็นได้ชัด
ขณะที่พวกเขาบินออกจากผาหลัวเหยียน การต่อสู้ยังไม่เริ่มขึ้น พวกเขาทั้งแปดคนยืนอยู่พักหนึ่งบนไหล่เขา ก่อนที่สุดท้ายพวกเขาจะเห็นสัตว์ปีศาจปรากฏตัวขึ้นทีละตัวๆ กำลังวิ่งหรือเหาะมาทางหน้าผา ผู้ฝึกตนบนหน้าผาหลัวเหยียนเองก็เริ่มที่จะก้าวออกไปเพื่อเผชิญกับศัตรู
หลังจากผ่านไปชั่วขณะหนึ่ง โม่เทียนเกอได้ยินเสียงหลัวเฟิงเสวี่ยกระซิบว่า “ดูตรงนั้นสิ”
โม่เทียนเกอมองขึ้นไปและเห็นสัตว์ปีศาจหางยาวปรากฏกายบนท้องฟ้า จากแรงเคลื่อนไหวของมัน มันคือสัตว์ปีศาจระดับห้าเป็นอย่างต่ำ สามารถสู้กับผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังกว่าสิบคนได้ในคราเดียวและไม่เสียเปรียบเลยแม้แต่น้อย
หางของมันยาวอย่างน้อยหลายสิบจั้ง ทุกครั้งที่มันสะบัดหาง ถ้ามีใครที่หลบไม่ทัน พวกเขาจะต้องตกจากเครื่องมือเวทบินได้แน่ ด้วยเหตุนั้นเว่ยจยาซือจึงพูดว่า “ไปช่วยพวกเขา”
ทั้งแปดคนในกลุ่มของพวกเขาเหาะไปทางผู้บาดเจ็บ คว้าตัวพวกเขาขึ้นมาและพาไปยังด้านหลังของหน้าผาหลัวเหยียน ซึ่งตั้งแต่สงครามเริ่มขึ้นก็ได้กลายเป็นสถานที่ที่ใช้สำหรับดูแลผู้บาดเจ็บ
เมื่อพวกเขาเข้าไปใกล้ มีใครบางคนเหาะขึ้นมาทักทาย
เว่ยจยาซือเรียก “ศิษย์พี่ค่วง!”
คนผู้นั้นใส่ชุดเครื่องแบบโรงเรียนเสวียนชิง เขาอยู่ในขั้นสูงสุดของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังแล้วและมีท่าทางที่เฉยเมย ถึงกระนั้นทุกท่วงท่าของเขากลับเผยให้เห็นความสง่างาม เขาเพียงแค่พยักหน้าให้เว่ยจยาซือก่อนจะหันกลับไปเรียกใครคนหนึ่ง “เสี่ยวไป๋!”
เด็กหนุ่มในระดับต้นของการสร้างฐานแห่งพลังวิ่งมาทางพวกเขาจากด้านหลัง
“ศิษย์พี่ค่วงจู๋”
หลังจากคนเจ็บถูกพาตัวไป ศิษย์พี่ค่วงพูดพร้อมกับเดินกลับไป “ยาพร้อมหรือไม่ เจ้าเริ่มได้เลย!”
“อื้อ” เด็กหนุ่มเพียงแค่พยักหน้าให้พวกเขาก่อนจะตามศิษย์พี่ค่วงไป
พอถูกปฏิบัติด้วยท่าทางเย็นชาใส่ เว่ยจยาซือผู้ทะนงตนตลอดกาลไม่ได้ดูพอใจนัก นางเพียงแค่เหลือบมองพวกเขาที่เหลือและพูดว่า “ไปต่อ”
โม่เทียนเกอเหาะอยู่ด้านหลังนางและยังคงทำงานร่วมกับหลัวเฟิงเสวี่ยต่อไปเพื่อตามหาคนเจ็บและพาพวกเขากลับมา
พอพวกนางอยู่ห่างจากเว่ยจยาซือ หลัวเฟิงเสวี่ยแอบกระซิบถามว่า “เจ้าไม่สงสัยหรือ”
โม่เทียนเกอที่กำลังมองสนามรบที่อยู่ไม่ไกลจากพวกนางพยักหน้ารับ
หลัวเฟิงเสวี่ยเผยรอยยิ้มลึกลับและบอกว่า “ศิษย์พี่ค่วงจู๋เป็นอันดับหนึ่งในหมู่ศิษย์ระดับการสร้างฐานแห่งพลัง เป็นศิษย์ผู้ชายที่โด่งดังที่สุดในโรงเรียนนอกเหนือจากอาจารย์ลุงโส่วจิ้ง”
“จริงรึ” โม่เทียนเกอถาม เมื่อเป็นเรื่องรูปร่างหน้าตาและกิริยาท่าทาง ศิษย์พี่ค่วงคนนี้ก็ทั้งหล่อและสง่างามจริงเสียด้วย
“ใช่…” เมื่อหลัวเฟิงเสวี่ยเห็นว่าโม่เทียนเกอยังคงว่อกแว่ก นางถอนใจและพูดว่า “ช่างมันเถอะ ข้าจะไม่พยายามทำให้เจ้ายิ้มอีกแล้ว มันคงจะยากเกินไปสำหรับเจ้า”
“ศิษย์พี่หลัว…” ไม่มีทางที่โม่เทียนเกอจะไม่รู้ว่าหลัวเฟิงเสวี่ยพยายามจะทำให้นางร่าเริง แต่ก็เพราะตอนนี้นางยิ้มไม่ออกจริงๆ
หลัวเฟิงเสวี่ยบอกใบ้ว่าโม่เทียนเกอไม่จำเป็นต้องอธิบาย ทั้งสองคนจึงค้นหาผู้บาดเจ็บต่อไป บางครั้งบางคราวพวกเขาก็จะเจอเข้ากับศพสภาพเละเทะและชิ้นส่วนร่างกายกระจัดกระจายอยู่ทั่ว ใบหน้าของหลัวเฟิงเสวี่ยซีดเผือดซึ่งทำให้โม่เทียนเกอเป็นห่วงนาง โชคดีที่หลัวเฟิงเสวี่ยชินกับมันได้ค่อนข้างเร็ว
ด้วยเวลาที่ผ่านไป การต่อสู้ยิ่งรุนแรงมากขึ้น สัตว์ปีศาจระดับห้าหรือแม้แต่ระดับสูงกว่าคืบคลานเข้ามาใกล้เป็นบางครั้ง และเมื่อเกิดขึ้น ผู้อาวุโสระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังจะมาเพื่อเผชิญกับพวกมันซึ่งๆ หน้าโดยทันที การต่อสู้ด้วยพลังเวทระหว่างผู้ฝึกตนและสัตว์ปีศาจในระดับนั้นสามารถทำให้แผ่นดินสั่นสะเทือนและเปลี่ยนภูเขาได้เลยทีเดียว โดยปกติแล้วผู้ฝึกตนระดับต่ำจะได้รับบาดเจ็บ และด้วยผู้คนที่บาดเจ็บเป็นจำนวนมาก โม่เทียนเกอและหลัวเฟิงเสวี่ยจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องแยกตัวกันเพื่อไปช่วยคนอื่นๆ
ขณะที่โม่เทียนเกอกำลังรีบเร่งไปในเส้นทางของนาง จู่ๆ ก็มีลมพายุพัดมาทางนาง ทำให้โม่เทียนเกอผู้ซึ่งกำลังยืนอยู่บนกระบี่บินเริ่มทรงตัวไม่อยู่และเกือบจะตกลงไป นางรีบเหยียบกระบี่บินเอาไว้อย่างทันท่วงทีและเลี้ยวกลับเพื่อไปดูว่าอะไรที่กำลังไล่ตามนางมา
โดยไม่คาดคิดมันคือสัตว์ปีศาจระดับสาม!
เหงื่อเย็นเฉียบไหลออกมาทั่วร่างของนางในทันที
ดวงตาสัตว์ปีศาจเผยให้เห็นถึงลางร้าย มันตบอุ้งมือเข้าด้วยกันก่อให้เกิดลำแสงสีแดงที่ยิงตรงมาทางนาง
โม่เทียนเกอบินไปรอบๆ เพื่อหลบหลีกอยู่บนกระบี่บินของนาง ถือเครื่องรางไว้ในมือข้างหนึ่งและ
เขวี้ยงกระสวยอัปสราด้วยมืออีกข้าง
กระสวยอัปสราแปรเปลี่ยนไปเป็นแสงสีทองซึ่งในไม่ช้ากลายเป็นคมดาบบางเฉียบที่พุ่งเข้าหาสัตว์ปีศาจตัวนั้น
สัตว์ปีศาจระดับสามเทียบเท่ากับผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังในขั้นกลาง หลังจากโม่เทียนเกอก้าวเข้าสู่ดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังแล้ว นางยังไม่เคยได้ต่อสู้กับอะไรเลย ดังนั้นตอนนี้นางจึงค่อนข้างระวังตัวเป็นอย่างมาก นางควบคุมกระสวยอัปสราและในขณะเดียวกันมืออีกข้างก็เริ่มจะขว้างเครื่องรางออกไปด้วย
เครื่องรางเหล่านี้เป็นของที่ท่านอาจารย์เต๋าเสวียนอินมอบให้นางก่อนที่นางจะออกจากภูเขา ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อพวกเขามาถึงที่นี่และแวะไปทำความเคารพท่านอาจารย์เต๋าเสวียนอิน เขาก็ได้ให้เครื่องรางจำนวนมากแก่พวกเขาเพื่อไว้ป้องกันตัวอีก
“แว่วเสียงลมเสียงฝน” และ “วายุโหมเมฆา” เครื่องรางธาตุลมระดับสูงมากมายหลายอันตกลงไปและทำให้สัตว์ปีศาจผละถอยหลังออกไปหลายก้าว โม่เทียนเกอเรียกกระสวยอัปสราคืนมาโดยเร็วและควบคุมกระบี่บินเพื่อจะหนี
อย่างไรก็ตาม หนังของสัตว์ปีศาจนั้นหนามาก ส่วนใหญ่แล้วแรงของการโจมตีไปที่ตัวของพวกมันจึงจะอ่อนมาก ในวินาทีถัดมา สัตว์ปีศาจตัวนั้นก็เริ่มกลับมาไล่ตามนางอีกครั้ง
โม่เทียนเกอหันกลับไปดู คนรอบตัวนางล้วนจดจ่ออยู่กับการต่อสู้ของตัวเอง ไม่มีใครเข้ามาช่วยนางเลยสักคน
สัตว์ปีศาจเคลื่อนไหวอย่างเร็ว ในเวลาแค่ชั่วครู่ มันก็เกือบจะไล่ตามนางทันแล้ว นางยกมือขึ้นและปล่อยกระสวยอัปสราออกไปอีกครั้ง
สัตว์ปีศาจตัวนี้อยู่ในระดับสาม เพราะฉะนั้นจึงฉลาดกว่าสัตว์ป่าทั่วไป มันรู้ถึงพลังของกระสวยอัปสราจึงใช้อุ้งมือหน้าข้างหนึ่งของมันทำท่าตบเข้าอย่างแรงในทันที ทันใดนั้น เวทมนตร์ธาตุไฟก็ปรากฏขึ้นจากอุ้งมือของมัน
โม่เทียนเกอควบคุมกระบี่บินของนางและบินไปรอบๆ ตัวสัตว์ปีศาจ กระสวยอัปสรายังคงถูกขว้างออกไปและเรียกคืนกลับมาอย่างต่อเนื่องเพื่อควบคุมการเคลื่อนไหวของสัตว์ปีศาจ เมื่อมันโจมตี โม่เทียนเกอจะถอยหนี และขณะที่สัตว์ปีศาจกำลังเตรียมจะใช้เวทมนตร์ นางก็ส่งคมดาบสีทองออกไปเพื่อแทงมัน เมื่อทำเช่นนี้ซ้ำๆ อยู่หลายครั้ง สัตว์ปีศาจก็แทบจะคลุ้มคลั่งไปด้วยความโกรธ
ทันใดนั้น ไฟจำนวนมากตกลงมาจากฟากฟ้าราวกับห่าฝน โม่เทียนเกอตัวแข็งทื่อ นางไม่เคยคาดคิดเลยว่าสัตว์ปีศาจจะสามารถสำแดงเวทเช่นนี้ได้ นางรีบพุ่งไปข้างหน้าด้วยพละกำลังทั้งหมดที่มีเพื่อเลี่ยงห่าฝนแห่งไฟนั้น ถึงอย่างนั้นก็ตาม จู่ๆ นางก็รู้สึกถึงความเจ็บปวดที่แผ่ซ่านออกมาจากด้านหลัง นางหนีไม่เร็วพอและถูกการโจมตีของมันเผาไหม้เข้า
มือของโม่เทียนเกอสั่นระริกเกือบทำให้นางเสียการควบคุมกระสวยอัปสรา สัตว์ปีศาจกำลังจะเหวี่ยงอุ้งมือขนาดใหญ่ของมันอีกครั้งแต่จู่ๆ กระบี่บินเล่มหนึ่งก็พุ่งเข้าหามันมาจากด้านข้างและเสียบเข้าที่หัวของมันทันที
ขณะที่สัตว์ปีศาจร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด โม่เทียนเกอคว้าโอกาสนี้เพื่อเรียกกระสวยอัปสรากลับมาก่อนจะส่งเข็มสีทองจำนวนนับไม่ถ้วนไปที่หัวของมันอีกครั้ง และด้วยท่าทางการเคลื่อนไหวอีกที เข็มสีทองเหล่านั้นระเบิดออกจากตัวของมัน สัตว์ปีศาจร้องคำรามอย่างดังก่อนที่มันจะตกลงสู่พื้นดิน
โม่เทียนเกอหันกลับไปและเห็นร่างของเว่ยจยาซือยืนอยู่ด้านข้าง
“ขอบคุณท่านมากศิษย์พี่เว่ย” โม่เทียนเกอประสานมือแสดงความขอบคุณให้กับนาง
แต่แทนที่จะตอบ เว่ยจยาซือเพียงแค่ส่งเสียง “ฮึ่ม” เบาๆ ก่อนจะหันหลังเดินจากไปทันที
โม่เทียนเกออดไม่ได้ที่จะยิ้มเย้ยตัวเอง ถึงแม้ว่าศิษย์พี่เว่ยจะช่วยชีวิตโม่เทียนเกอ แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าศิษย์พี่คนนี้จะชอบนางเสียหน่อย
อย่างไรก็ตาม เมื่อมองตามหลังของเว่ยจยาซือไป คิ้วโม่เทียนเกอค่อยๆ ขมวดเข้าหากัน เส้นทางนี้…
นางไม่มีเวลามาคิดมาก โม่เทียนเกอตามนางไปโดยไม่สนใจกับแผลบนหลังที่ยังปวดอยู่
ตอนที่นางกำลังต่อสู้กับสัตว์ปีศาจตัวนั้น นางก็อยู่ห่างจากสนามรบหลักมาไกลมากแล้ว เดิมทีนางคิดว่าเว่ยจยาซือแค่บังเอิญผ่านมา แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ได้เป็นเช่นนั้น
แม้ว่าเว่ยจยาซือดูเหมือนจะไล่ตามสัตว์ปีศาจ แต่โม่เทียนเกอก็รู้ว่าที่จริงเว่ยจยาซือควรที่จะช่วยเหลือคนบาดเจ็บ ดังนั้นนางจึงไม่มีเหตุผลอะไรที่จะไปไล่ตามสัตว์ปีศาจ
นางไม่ได้ไปไกลนักเมื่อเห็นเงาร่างของหลัวเฟิงเสวี่ย หลังจากคิดไตร่ตรองอยู่สักพัก นางจึงส่งเครื่องรางกระจายเสียงออกไปหานาง
หลังจากได้รับเครื่องรางกระจายเสียง หลัวเฟิงเสวี่ยเงยหน้าขึ้นเพื่อหาตำแหน่งของนางและบินมาหา
“มีอะไรหรือเทียนเกอ”
ขณะที่ชี้ไปยังบริเวณหนึ่งในระยะไกลๆ โม่เทียนเกอพูดว่า “ดูสิ นั่นศิษย์พี่เว่ย”
หลัวเฟิงเสวี่ยเหลือบตามองไปตามนิ้วของโม่เทียนเกอแต่ก็ยังไม่เข้าใจ นางพูดว่า “เกิดอะไรขึ้นกับศิษย์พี่เว่ยหรือ”
“ดูทิศทางที่นางกำลังเข้าไปสิ!”
หลัวเฟิงเสวี่ยหันไป นางจ้องมองอย่างตั้งใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่สีหน้าของนางจะเปลี่ยนไปในที่สุด นางบอกว่า “ศิษย์พี่เว่ยกำลังจะออกไป!”
โม่เทียนเกอพยักหน้าและพูดว่า “ศิษย์พี่ได้รับบาดเจ็บ ดังนั้นตอนนี้นางไม่จำเป็นต้องต่อสู้ นางไม่จำเป็นต้องออกตามหาสัตว์ปีศาจอย่างแน่นอน อีกอย่าง ในทิศทางนั้นก็ไม่ได้มีคนอยู่สักหน่อย”
หลังจากใช้เวลาคิดแค่ชั่วครู่เดียว หลัวเฟิงเสวี่ยจึงพูดว่า “ตามไปดูนางกันเถอะ”
“นี่…” โม่เทียนเกอลังเลและบอกว่า “เรายังต้องช่วยคนบาดเจ็บนะ…”
“มีคนที่กำลังช่วยคนบาดเจ็บมากกว่ากลุ่มเล็กๆ ของเรา อีกอย่างนะ การต่อสู้ก็ใกล้จะจบลงแล้ว เช่นนั้นขาดพวกเราสองคนไปคงไม่ได้เสียหายอะไรหรอก”
เมื่อมองไปรอบๆ และรับรู้ว่าการต่อสู้ทั้งหมดมาถึงผลแพ้ชนะของมันแล้ว ในที่สุดโม่เทียนเกอจึงพยักหน้าและบอกว่า “ก็ได้”
ทั้งสองคนซ่อนตัวตนของพวกนางและตามเว่ยจยาซือไปโดยที่รักษาระยะห่างจากนางพอสมควร
หลังจากผ่านยอดเขาเตี้ยๆ หลายยอดและเข้าสู่ป่า จู่ๆ กระบี่บินของเว่ยจยาซือก็เร่งความเร็วขึ้น ปิดกั้นทางที่สัตว์ปีศาจระดับสองด้านหน้านางกำลังหนี ธงเล็กๆ ปรากฏขึ้นในมือของนาง นางโบกธงนั้นและมีเสียงฟ้าร้องครืนดังขึ้นให้ได้ยิน สัตว์ปีศาจที่อยู่ตรงหน้านางตกลงไปทันที
โม่เทียนเกอและหลัวเฟิงเสวี่ยมองหน้ากัน ทั้งคู่ยิ่งเชื่อสนิทใจ เว่ยจยาซือไม่จำเป็นต้องออกแรงหรือพยายามมากในการกำจัดสัตว์ปีศาจเลย แต่นางกลับไล่พวกมันไปในป่ามาโดยตลอด ต้องมีบางอย่างผิดปกติอย่างแน่นอน
แน่นอนว่าหลังจากฆ่าสัตว์ปีศาจตัวนั้น แทนที่จะหันกลับ นางยังคงมุ่งหน้าต่อไป นางเคลื่อนไปอย่างเร็วมากจนทั้งสองคนเกือบจะตามนางไม่ทัน
ป่าเริ่มจะรกทึบมากขึ้น พวกนางก็เข้าไปในป่าลึกขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน พวกนางไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน แต่ในที่สุดเว่ยจยาซือก็หยุด นางสำรวจดูทั่วทั้งบริเวณราวกับว่านางกำลังมองหาอะไรบางอย่าง
“ไม่ได้การล่ะ!” หลัวเฟิงเสวี่ยกระซิบบอก “เราออกมาไกลจากหน้าผาหลัวเหยียนเกินไป นี่มันอันตรายมากไปแล้ว! เราควรเรียกศิษย์พี่รองกลับมาก่อน!”
โม่เทียนเกอรีบหยุดนางและพูดว่า “แต่หากเรียกนางตอนนี้ เราก็จะไม่รู้สิว่านางกำลังพยายามทำอะไร”
สายตาของหลัวเฟิงเสวี่ยเฉียบคมขึ้นในทันใด นางจับจ้องโม่เทียนเกอและถามอย่างจริงจัง “เทียนเกอ หรือเจ้ากำลังสงสัยว่าศิษย์พี่รอง…”
“ไม่ใช่แน่นอน!” โม่เทียนเกอพูดตัดบทหลัวเฟิงเสวี่ย นางดูขัดแย้งในตัวเองขณะที่พูดว่า “ศิษย์พี่เว่ยเพิ่งจะช่วยชีวิตข้าไว้ ข้ารู้ว่าถึงแม้นิสัยของนางจะไม่ดี แต่นางก็ไม่ใช่คนเลวร้าย อย่างไรก็ตาม พฤติกรรมของนางก็ค่อนข้างจะแปลกประหลาดจริงๆ”
หลัวเฟิงเสวี่ยเงียบไปพักหนึ่งก่อนที่จะพูดว่า “ไม่ว่าศิษย์พี่รองพยายามจะทำอะไร ข้าก็เชื่อใจนาง” หลังจากที่นางพูดเช่นนี้จบ นางก็ไล่ตามเว่ยจยาซือไปในทันที
โม่เทียนเกออยากจะหยุดนาง แต่การเคลื่อนไหวของพวกนางจะทำให้เว่ยจยาซือรู้ตัว โดยไม่มีทางเลือกอื่น โม่เทียนเกอจึงตามหลังหลัวเฟิงเสวี่ยไป
“ศิษย์พี่รอง!”
พอเว่ยจยาซือเห็นพวกนาง สีหน้าของนางเปลี่ยนเป็นเยือกเย็น “เจ้า…”
“ศิษย์พี่รอง!” หลัวเฟิงเสวี่ยมองไปรอบๆ และเห็นว่าดูเหมือนจะมีร่องรอยของการต่อสู้ด้วยพลังเวทอยู่ นางถามว่า “ท่านกำลังตามหาอะไรอยู่”
เว่ยจยาซือพูดอย่างเย็นชา “ไม่ใช่กงการอะไรของเจ้า”
สายตาของหลัวเฟิงเสวี่ยมองกลับไปที่ร่างของเว่ยจยาซือ นางจ้องเว่ยจยาซืออยู่พักหนึ่งแล้วจึงพูดว่า “ศิษย์พี่รอง ท่านกำลังตามหาท่านอาจารย์ลุงโส่วจิ้งหรือ”
ไม่เพียงแต่เว่ยจยาซือ แต่ขนาดโม่เทียนเกอเองก็ยังตกใจกับคำพูดของนาง
หลังเฟิงเสวี่ยพูดช้าๆ “จากที่ข้าได้ยินมา ท่านอาจารย์ลุงโส่วจิ้งหายตัวไปเมื่อไม่กี่วันก่อนแถวๆ บริเวณนี้ นอกจากนี้ ในตอนนั้นเขาปล่อยให้ท่านและศิษย์ระดับการสร้างฐานแห่งพลังคนอื่นกลับไปก่อน ที่นี่มีร่องรอยของการต่อสู้ด้วยพลังเวท ดังนั้นข้าจึงคาดว่าท่านมาที่นี่เพื่อตามหาท่านอาจารย์ลุงโส่วจิ้ง”
สีหน้าของเว่ยจยาซือเปลี่ยนไป ท้ายที่สุดนางกัดฟันพูดว่า “สิ่งที่ข้ากำลังทำอยู่ไม่ใช่กงการอะไรของเจ้า เฟิงเสวี่ย กลับไปซะ!”
“ข้าไม่กลับ!” หลัวเฟิงเสวี่ยจ้องเว่ยจยาซืออย่างเด็ดเดี่ยวและพูดว่า “ศิษย์พี่รอง ตื่นเสียที! ท่านอาจารย์ลุงโส่วจิ้งเป็นคนที่แตกต่างกับเราโดยสิ้นเชิง เรื่องบางเรื่องมันก็เป็นไปไม่ได้ถึงแม้ท่านจะมีความปรารถนาก็เถอะ”
เว่ยจยาซือ “ฮึ่ม” ใส่และพูดว่า “ข้าไม่ได้ต้องการอะไร”
“งั้นก็กลับไปกับพวกเราสิถ้าท่านไม่ได้ต้องการอะไร! เดี๋ยวอาจารย์ลุงชิงหยวนก็จะจัดการกับเรื่องตำแหน่งที่อยู่ของอาจารย์ลุงโส่วจิ้งเอง มันจะมีประโยชน์อะไรกับการที่ท่านแอบหนีออกมา ถ้าอาจารย์ชิงหยวนหาตัวเขาไม่เจอ แล้วท่านจะหาเขาเจออย่างนั้นหรือ”
บางทีอาจจะเป็นเพราะน้ำเสียงต่อว่าของหลัวเฟิงเสวี่ยทำให้นางโกรธ เว่ยจยาซือถลึงตาใส่และพูดว่า “ข้าบอกแล้วไงว่ามันไม่เกี่ยวกับเจ้า!”
“เช่นนั้นท่านก็ไม่มีอะไรเกี่ยวกับอาจารย์ลุงโส่วจิ้งเหมือนกัน!” หลัวเฟิงเสวี่ยพูดต่อไปอย่างไม่ปรานี “ศิษย์พี่รอง ท่านเป็นคนที่ออกจะทะนงตน ทำไมท่านถึงไม่มองอะไรตามความเป็นจริง ลองคิดดูสิ ความสามารถตามธรรมชาติของท่านไม่ได้ด้อยไปกว่าศิษย์พี่ใหญ่เลย แต่ถึงอย่างนั้น ศิษย์พี่ใหญ่ก้าวเข้าสู่ขั้นสุดท้ายของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังตั้งแต่เมื่อสิบปีที่แล้ว แต่ตอนนี้ท่านยังอ้อยอิ่งอยู่ในขั้นกลางอยู่เลย! คิดว่าท่านอาจารย์ไม่รู้อย่างนั้นรึ ท่านอาจารย์แค่อยากให้ท่านมีสติคิดได้ด้วยตัวเอง!”
“หลัวเฟิงเสวี่ย!” เมื่อไม่สามารถระงับความโกรธของนางได้ เว่ยจยาซือก็ตะโกนพลางจ้องพวกนางเขม็ง