ลำนำสตรียอดเซียน - ตอนที่ 113 ศาสตร์ซู่หนี่ว์แห่งต้นกำเนิด
โม่เทียนเกอฝึกตนรอบวงโคจรจุลจักรวาลเสร็จ ก็หยุดและลืมตาขึ้น
ตั้งแต่เริ่มฝึกตนในสถานที่แห่งนี้ นางก็ได้พบว่าการฝึกตนของนางพัฒนาไปด้วยความเร็วที่เกินคาด เนื่องจากนางมีรากวิญญาณห้าธาตุเป็นทุนเดิม ปกติแล้วจึงยากที่จะรักษาพลังวิญญาณในร่างกายนางไว้ได้ แต่ในสถานที่นี้มีพลังวิญญาณห้าธาตุอยู่มากมาย ส่งผลให้อัตราการซึมซับพลังวิญญาณของนางเร็วขึ้นหลายเท่าตัวยิ่งกว่าบนเขาไท่กังเสียอีก!
โดยปกติแล้วความหนาแน่นของพลังวิญญาณจะมีอิทธิพลต่อความเร็วในการซึมซับพลังวิญญาณ ทว่าในเมื่อรากวิญญาณของนางไม่ดี แม้แต่ในบริเวณที่มีพลังวิญญาณหนาแน่น ความเร็วในการซึมซับพลังวิญญาณของนางก็ยังเร็วกว่าปกติแค่สองเท่าเป็นอย่างมาก และไม่เคยไปถึงความเร็วที่บ้าคลั่งสี่ถึงห้าเท่าเช่นนี้มาก่อน นอกจากนี้ ในเวลาหกเดือนตั้งแต่นางเข้าสู่ดินแดนการสร้างฐานแห่งพลัง ระดับการฝึกตนของนางก็หยุดนิ่งอยู่กับที่ แต่ในเวลาสองวันตั้งแต่นางมาถึงที่นี่ ระดับการฝึกตนของนางกลับก้าวหน้าไปด้วยความเร็วที่เหลือเชื่อ
ตั้งแต่ที่นางส่งคู่มือศาสตร์แห่งซู่หนี่ว์ให้กับจงมู่หลิง เขาก็เก็บตัวเงียบศึกษาอยู่ข้างใน ส่วนอาจารย์อีกท่าน หยวนเป่า เขาเป็นมิตรมาก เล่าให้นางฟังหลายอย่างทีเดียว ในที่สุดนางก็ได้รู้ว่าทำไมการฝึกตนของนางถึงพัฒนาไปได้อย่างรวดเร็วจากคำบอกเล่าของเขา
สถานที่นี้เรียกว่าโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน ตามคำกล่าว ในยุคอดีตอันไกลโพ้น กลุ่มชายที่มีพลังศักดิ์สิทธิ์อันยิ่งใหญ่ได้ทำลายความว่างเปล่านี้และสร้างพื้นที่ที่เป็นอิสระของตัวเองที่ซึ่งมีทั้งน้ำและแสงสว่าง ที่ซึ่งพวกเขาสามารถคงไว้ซึ่งวัฏจักรชีวิตของพวกเขาเอง และที่ซึ่งคนอื่นไม่สามารถจะเข้ามาได้โดยไม่ได้รับอนุญาต พูดอีกอย่างก็คือ ในพื้นที่นั้นเหล่าผู้ครอบครองคือพระเจ้า
ในอดีตอันไกลโพ้น โลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนก็จัดว่ามหัศจรรย์เช่นกัน มีเพียงแค่ชายที่มีพลังศักดิ์สิทธิ์อันยิ่งใหญ่ที่จะสามารถครอบครองได้ ในโลกปัจจุบันนี้อาจถือได้ว่าเป็นการมีอยู่ที่ท้าทายอำนาจสวรรค์เลยก็ว่าได้ ในสถานที่แห่งนี้ ทั้งพลังวิญญาณและสิ่งแวดล้อมเหมือนกันกับโลกในยุคอดีตอันไกลโพ้น ดังนั้นการฝึกตนจึงพัฒนาไปได้เร็วมาก จงมู่หลิงได้ครอบครองโลกนี้โดยบังเอิญ
โม่เทียนเกอค่อนข้างอิจฉา มันแทบจะเป็นถ้ำเซียนเคลื่อนที่ก็ว่าได้ เป็นที่หนึ่งที่มีพลังวิญญาณหนาแน่น ปลอดภัยมากและเหมาะสำหรับใช้เป็นที่หลบซ่อน และเป็นเครื่องมืออย่างดีชั้นหนึ่งที่เอาไว้หนีถ้ามีใครมาตามฆ่า เมื่อนางพบว่าหลังจากเข้าสู่ดินแดนแห่งเทพ ผู้ครอบครองสามารถบังคับให้มันล่องลอยได้เหมือนอย่างที่คนอื่นควบคุมอาวุธวิเศษของพวกเขา นางก็ยิ่งอิจฉาเข้าไปใหญ่
อย่างไรก็ตาม นางก็ยังรู้ว่าพื้นที่ว่างพวกนี้ไม่ใช่สิ่งธรรมดา แม้แต่ในสายตาของเทพผู้เยี่ยมยุทธ์ที่อยู่อย่างสันโดษ สิ่งเหล่านี้ถือว่าเป็นการท้าทายอำนาจสวรรค์ นักพรตเต๋าหยวนเป่ายังบอกอีกว่าตามความรู้ของพวกเขา นอกเหนือจากตัวพวกเขาแล้ว มีเทพผู้ฝึกตนที่อยู่อย่างสันโดษคนอื่นอีกแค่คนเดียวที่ครอบครองโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนนี้ จากนั้นโม่เทียนเกอเพียงคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้เล็กน้อยและไม่ได้ทำอะไรอีก
ในส่วนของศิษย์พี่หยวนเป่า แท้จริงแล้วโม่เทียนเกอก็รู้สึกสงสัยในตัวเขาเป็นอย่างมาก ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้เจอคนภายนอกมาเป็นเวลานานแล้ว ดังนั้นเขาจึงเล่าให้นางฟังหลายอย่างด้วยความตื่นเต้น และยอมให้นางเรียนรู้หลายเรื่อง
ปรากฏว่าไม่เพียงแต่ท่านบรรพบุรุษของนาง จงมู่หลิง จะมีรากวิญญาณแห่งต้นกำเนิด แต่ปริมาณหยินและหยางภายในตัวเขายังเท่ากันอีกด้วย ร่างกายเขาเป็นตัวอย่างของร่างกายเป็นกลางที่บริสุทธิ์ที่สุด เลือดของจงมู่หลิงมีชื่อเรียกว่าโลหิตแห่งต้นตำรับสวรรค์ ซึ่งโลหิตแห่งต้นตำรับสวรรค์นี้จะถูกครอบครองโดยคนที่มีทั้งรากวิญญาณแห่งต้นกำเนิดและร่างกายเป็นกลาง ซึ่งเป็นพื้นฐานที่ดีเยี่ยมสำหรับการปรุงยา
เมื่อตอนจงมู่หลิงยังหนุ่ม เขาเข้าสู่กลุ่มการฝึกตนที่เชี่ยวชาญในด้านการปรุงยา อาจารย์ของเขาดูแลเขาดีมาก เขาจึงไม่เคยรู้ว่าร่างกายของเขาพิเศษ ในภายหลัง หลังจากที่อาจารย์ของเขาเสียชีวิตและอาจารย์ลุงกักขังเขาไว้ ในที่สุดเขาถึงรู้ตัวว่าตนไม่เหมือนคนอื่น ครั้นแล้วก็หนีออกจากกลุ่มการฝึกตนนั้นไปเผชิญกับหลายสิ่งหลายอย่าง ถึงแม้จะต้องดิ้นรนมาตลอด เขาก็สามารถฝึกตนจนถึงดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลังได้และสถานการณ์ของเขาก็ดีขึ้นเล็กน้อย หลังจากนั้น ขณะที่ต้องพึ่งพาผลที่มหัศจรรย์ของศาสตร์แห่งต้นกำเนิดและโลหิตแห่งต้นตำรับสวรรค์ เขาก็ได้ก้าวเข้าสู่ดินแดนแห่งเทพในครั้งเดียวและเข้าสู่การปลีกวิเวกในที่สุด
หลังจากฟังเรื่องทั้งหมดนี้ จู่ๆ โม่เทียนเกอก็รู้สึกใกล้ชิดกับบรรพบุรุษท่านนี้ขึ้นมาได้อีกเล็กน้อย ร่างกายที่มีพลังหยินบริสุทธิ์ของนางมักจะนำพาความโชคร้ายให้ชีวิตนางเสมอ ดังนั้นนางจึงต้องระมัดระวังกับทุกสิ่ง เรื่องนี้ทำให้นางรู้สึกหดหู่อย่างเลี่ยงไม่ได้ กระนั้นก็ตาม ท่านบรรพบุรุษผู้นี้กลับมีปัญหาเช่นเดียวกับนางอย่างไม่น่าเชื่อ เขาสามารถฝึกตนจนถึงดินแดนแห่งเทพทั้งๆ ที่อยู่ในสภาวะเช่นเดียวกับนาง นี่ทำให้นางมีความมั่นใจขึ้นมาก ในเมื่อเขาสามารถทำได้ด้วยศาสตร์แห่งต้นกำเนิด นางก็ต้องทำได้เช่นกัน!
สำหรับนักพรตเต๋าหยวนเป่า เขาบอกว่าชีวิตเขานั้นธรรมดากว่ามาก เขาเกิดในตระกูลผู้ฝึกตนขนาดใหญ่และโตมาในกลุ่มการฝึกตนที่มีชื่อเสียง เพราะว่าเขาเกิดมามีร่างกายที่มีพลังหยางบริสุทธิ์และรากวิญญาณเดี่ยว ตระกูลของเขาจึงประคบประหงมเขาตั้งแต่ยังเด็ก ยิ่งไปกว่านั้น เขามีจิตใจที่บริสุทธิ์ ดังนั้นเขาจึงฝึกตนได้อย่างราบรื่นจนถึงดินแดนแห่งจิตวิญญาณใหม่และจากนั้นได้บรรลุผ่านเข้าไปยังดินแดนแห่งเทพ เทพผู้ฝึกตนโดยทั่วไปมักจะไม่สนใจกับเรื่องทางโลก เมื่อบวกกับความจริงที่ว่าสหายและครอบครัวใกล้ชิดของหยวนเป่าล้วนเสียชีวิตไปหมดแล้ว เขารู้สึกว่าชีวิตของเขาน่าเบื่อ เขาจึงออกจากกลุ่มและตระกูลไปในท้ายที่สุด
โม่เทียนเกอรู้สึกอิจฉาเขาอย่างมาก ถึงแม้ว่าจงมู่หลิงจะจัดว่าเป็นชายผู้เก่งกาจตามมาตรฐานของยุคอดีตอันไกลโพ้น กระนั้นเขาก็ยังต้องอดทนกับความยากลำบากมากมายเพื่อให้ประสบความสำเร็จในเรื่องใดสักอย่าง แต่อย่างไรก็ตาม หยวนเป่าผู้นี้เกิดมาเป็นอัจฉริยะและถูกเลี้ยงดูมาด้วยความเอาใจใส่อย่างถึงที่สุดโดยกลุ่มและตระกูลของเขา การเดินทางของเขาในการฝึกตนเป็นไปอย่างราบรื่น มันราบรื่นมากเสียจนเขาทำให้โม่เทียนเกอผู้ที่เป็นตัวดึงดูดความยากลำบากมาแต่กำเนิดต้องรู้สึกอิจฉา นางอดที่จะสงสัยไม่ได้ว่าท่าทางหยาบคายของจงมู่หลิงที่มีต่อหยวนเป่าอาจจะเกิดจากความคิดเช่นเดียวกันกับนางหรือไม่
หยวนเป่าเจอกับจงมู่หลิงเมื่อเขาอยู่ในขั้นสูงสุดของดินแดนแห่งจิตวิญญาณใหม่และกำลังจะก้าวเข้าสู่ดินแดนแห่งเทพ เพื่อที่จะกลายเป็นเทพเจ้า ก่อนอื่นเขาต้องกลายเป็นคนก่อน ตั้งแต่เขายังเด็ก หยวนเป่าอาศัยอยู่กับตระกูลหรือไม่ก็กลุ่มการฝึกตนมาตลอด เขาจึงไม่มีความเข้าใจเกี่ยวกับโลกแม้แต่น้อย ด้วยเหตุนี้ หยวนเป่าจึงออกจากทั้งกลุ่มและตระกูลของเขาและท่องเที่ยวไปรอบโลก ในวันหนึ่งขณะที่เขากำลังพักอยู่ที่ตลาดนัดแห่งหนึ่งในโลกแห่งการฝึกตนและอยู่ในภวังค์แห่งความเบื่อหน่าย เขาเห็นจงมู่หลิงผ่านหน้าเขาไปซ้ำๆ หลายครั้ง โดยไม่ได้วางแผนมาก่อน หยวนเป่าตามเขาไป ตั้งใจว่าจะออกอุบายหลอกเขา ด้วยเหตุนั้นทั้งสองคนจึงเริ่มรู้จักกัน
ในตอนแรก ทั้งสองไม่ได้เป็นอะไรมากไปว่า “ศิษย์พี่หยอกล้อศิษย์น้อง” แต่ใครจะไปคาดเดาได้ล่ะว่าจงมู่หลิงจะสามารถก้าวเข้าสู่ดินแดนแห่งเทพได้เช่นกัน นับแต่นั้นเป็นต้นมา ทั้งสองคนจึงกลายเป็นเพื่อนแท้กันในที่สุด การฝึกตนในโลกนี้ช่างยากลำบากเหลือเกิน ในหมู่เทพผู้ฝึกตนที่ยังเหลือมีชีวิตอยู่ไม่กี่คน พวกเขาเป็นเพียงสองคนที่มีอายุใกล้เคียงกัน เพราะความโดดเดี่ยว ทั้งสองจึงอาศัยอยู่ในการปลีกตัวด้วยกันเพื่อคอยอยู่เป็นเพื่อนอีกฝ่ายและคงอยู่อย่างนั้นมาเป็นเวลาหลายพันปีแล้ว…
ขณะที่เขาพูดเรื่องนี้ ความโดดเดี่ยวในสายตาเขาแสดงออกมาให้เห็นชัดเจน เขายังดูดีใจมากเช่นกันที่มีใครบางคนอยู่เป็นเพื่อนกับเขา โม่เทียนเกออดไม่ได้ที่จะรู้สึกเศร้าอยู่ภายใน
พวกเขาไม่รู้เลยว่าเทพผู้ฝึกตนจะมีชีวิตอยู่ได้นานเท่าไร หลังจากหลายปีมานี้ พวกเขาก็ยังไม่รู้ขีดจำกัด แม้แต่หยวนเป่าที่ดูเหมือนเป็นคนไร้เดียงสาก็ยังรู้สึกเหงา การมีชีวิตยืนยาวคือจุดประสงค์ของการฝึกตนไม่ใช่หรือ หากพวกเขายังคงรู้สึกเหงาและเศร้าในท้ายที่สุด เหตุใดคนผู้หนึ่งถึงจะต้องพยายามมีอายุยืนยาวด้วยเล่า
หยวนเป่ายิ้มและบอกว่าถึงแม้การมีชีวิตยืนยาวจะโดดเดี่ยว แต่ก็มีสิ่งสวยงามหลายสิ่งที่คนผู้หนึ่งต้องมีชีวิตอยู่เพื่อพบเจอ เพราะฉะนั้นถ้าเขาเลือกได้อีกครั้ง ก็ยังจะเลือกเส้นทางการฝึกตนและเดินบนถนนสู่ชีวิตยืนยาวอยู่ดี อายุขัยของมนุษย์สั้นเกินไปและเวลาหลายสิบปีที่พวกเขามีก็จะจบลงก่อนที่จะมีโอกาสได้เผชิญกับสิ่งต่างๆ อย่างเหมาะสม อีกอย่างก็มีบางวิธีที่จะจัดการกับความโดดเดี่ยว แต่ถ้าตาย เจ้าจะไม่สามารถได้รับประสบการณ์อะไรได้เลย
นอกเหนือจากนี้ หยวนเป่ายังเล่าให้โม่เทียนเกอฟังบางเรื่องที่เกี่ยวกับโม่เหยาชิง ความสงสัยของโม่เทียนเกอถูกต้องแล้ว ระหว่างโม่เหยาชิงและจงมู่หลิง พวกเขาเป็นเพียงสามีภรรยากันแค่ในนามเท่านั้น โดยไม่มีความรู้สึกแบบปกติของสามีภรรยาให้แก่กัน
หลายปีก่อน เพื่อสร้างจิตวิญญาณใหม่ของนาง โม่เหยาชิงหลอกล่อจงมู่หลิงเข้าไปในแผนของนางและได้โอกาสที่จะทำการฝึกตนร่วมสัมพันธ์กัน แต่เพราะด้วยเหตุผลบางประการ จงมู่หลิงต้องการมีทายาทอย่างแท้จริงและเพราะเขาติดหนี้บุญคุณโม่เหยาชิง เขาจึงไม่ได้ทำเรื่องนี้ต่อ ต่อมาภายหลัง หลังจากเขาเข้าสู่ดินแดนแห่งเทพ ในที่สุดเขาก็ได้รู้ว่าโม่เหยาชิงที่จริงแล้วได้ให้กำเนิดทายาทของพวกเขาซึ่งเกิดขึ้นในคืนหนึ่งที่พวกเขาใช้เวลาร่วมกัน โชคร้ายที่ในตอนนั้นอายุขัยของโม่เหยาชิงหมดสิ้นลงและนางได้ตายจากไปแล้ว ถึงกระนั้นจงมู่หลิงก็ยังคงรู้สึกยินดีและรู้สึกขอบคุณโม่เหยาชิง แม้ว่าเขาจะท่องเที่ยวรอบโลกอยู่ภายในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน ทว่าเมื่อใดก็ตามที่เขาบังเอิญผ่านมาเหนือขั้วท้องฟ้า จงมู่หลิงก็จะสอดส่องดูผู้สืบสกุลที่ยังมีชีวิตอยู่ของเขาเสมอ
หลังจากที่เขาพูดเรื่องนี้ โม่เทียนเกอรู้สึกค่อนข้างโล่งใจ จงมู่หลิงต้องการมีทายาทและถึงแม้ว่าผู้สืบสกุลของเขาจะใช้แซ่โม่ แต่เขาก็ยังดูแลพวกเขามาโดยตลอด ถ้าเป็นเช่นนั้น เขาก็จะต้องดูแลเอาใจใส่นางมากขึ้นอีกอย่างแน่นอน
ขณะที่ความคิดนี้วาบผ่านจิตใจ ทันใดนั้นเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นในหูของนาง เสียงนั้นพูดว่า “เทียนเกอ มาที่ห้องข้าสิ”
เป็นเสียงของจงมู่หลิง โม่เทียนเกอยืนขึ้นและจัดชุดคลุมให้เรียบร้อย
เมื่อได้พบความจริงว่าผู้ครอบครองที่แห่งนี้คือบรรพบุรุษของนางเอง นางก็รู้สึกดีใจเหลือล้น อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ที่นางเริ่มฝึกตน นางได้พบเจอกับหลายต่อหลายสิ่ง ดังนั้นสภาวะจิตของนางจึงนิ่งมากอยู่แล้วและนางใช้เวลาเพียงชั่วครู่ในการสงบจิตใจของนางเท่านั้น
นางได้รับสืบทอดรากวิญญาณแห่งต้นกำเนิดมาจากบรรพบุรุษท่านนี้ ด้วยเห็นแก่รากวิญญาณเหล่านี้ซึ่งยากที่จะได้พบเจอในเวลาหลายพันปีที่ผ่านมา ท่านบรรพบุรุษท่านนี้จึงปฏิบัติดูแลนางอย่างดีเลิศ เขาถึงขนาดบอกใบ้ว่าเขาจะมอบวิชาการฝึกตนให้กับนาง โม่เทียนเกอไม่ได้มีความปรารถนาอะไรมากมาย ตราบใดที่นางได้รับวิชาการฝึกตนที่เหมาะสม นางก็รู้สึกพอใจแล้ว
“คารวะท่านบรรพบุรุษ”
จงมู่หลิงนั่งอยู่บนเสื่อสวดมนต์ เขาชี้ไปที่จุดหนึ่งตรงข้ามเขา เมื่อโม่เทียนเกอนั่งลง เขาถามอย่างอ่อนโยน “เจ้ารู้หรือไม่ว่ารากวิญญาณแห่งต้นกำเนิดนั้นดีอย่างไร”
โม่เทียนเกอตอบว่า “ข้าน้อยรู้ว่ารากวิญญาณแห่งต้นกำเนิดเป็นหนึ่งในรากวิญญาณประหลาด แต่ไม่รู้ถึงประโยชน์ที่แท้จริงของมันเจ้าค่ะ”
จงมู่หลิงยิ้มและไม่ได้ประหลาดใจกับคำตอบของนางแม้แต่น้อย สุดท้ายแล้วก็มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้ประโยชน์ของการมีรากวิญญาณแห่งต้นกำเนิด
“ต้นกำเนิดที่ว่านี้คือความโกลาหลแรกเริ่ม ในตอนกำเนิดโลกตอนแรก โลกเป็นเพียงกลุ่มก้อนไร้รูปร่างที่เรารู้จักกันว่าความโกลาหลแรกเริ่ม จากนั้นจึงเกิดธาตุทั้งห้าขึ้น หยินหยางเริ่มเติบโต ก่อเกิดเป็นโลกซึ่งธาตุทั้งห้าเสริมกำลังกัน ทำให้แต่ละธาตุเป็นกลาง โลกที่หยินหยางเคลื่อนที่ไปเป็นวัฏจักรไม่สิ้นสุด และโลกที่สามารถเจริญงอกงามอย่างต่อเนื่องและคงอยู่ได้ด้วยตัวเอง รากวิญญาณแห่งต้นกำเนิดพูดถึงรากวิญญาณประเภทหนึ่งที่ประกอบไปด้วยรากวิญญาณทั้งห้าธาตุที่มีพลังเท่าเทียมกัน เพราะพลังของมันเท่าเทียมกัน ความสมดุลจึงสามารถคงอยู่ได้ในร่างกาย มาถึงจุดนี้เจ้าเข้าใจทุกอย่างหรือไม่”
โม่เทียนเกอค่อนข้างตกใจ ความโกลาหลแรกเริ่มที่ว่านั้นคือต้นกำเนิดของโลก รากวิญญาณแห่งต้นกำเนิดสามารถอธิบายได้อย่างนี้จริงๆ หรือ? นางสงบสติอารมณ์ ครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วจึงพูดช้าๆ ว่า “ท่านบรรพบุรุษหมายความว่า… คนที่มีรากวิญญาณแห่งต้นกำเนิดต้องสร้างโลกแห่งความโกลาหลแรกเริ่มภายในตัวของพวกเขางั้นหรือ?”
จงมู่หลิงพยักหน้าและพูดว่า “ถูกต้องแล้ว นี่เป็นวิชาการฝึกตนที่ใช้ในระหว่างยุคอดีตอันไกลโพ้นแต่ค่อยๆ หายสาบสูญไปทีละนิด ข้ากล้าพูดเลยว่านอกเหนือจากตัวข้าแล้ว ไม่มีใครที่สามารถฝึกตนในวิธีนี้ได้อีกแล้วตอนนี้
“เข้าใจล่ะ…” นางไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่ารากวิญญาณแห่งต้นกำเนิดนี้ที่จริงแล้วจะเกี่ยวข้องกับยุคอดีตอันไกลโพ้น เช่นนั้นก็หมายความว่ารากวิญญาณของนางยอดเยี่ยมอย่างนั้นสิ
“ข้าก็ได้รับวิชาการฝึกตนนี้มาโดยบังเอิญ ถ้าข้าไม่ได้มันมา ข้าก็คงเป็นเพียงแค่ผู้ฝึกตนที่มีรากวิญญาณห้าธาตุ รากวิญญาณของข้าคงไม่ได้เป็นอะไรนอกจากรากวิญญาณที่ไร้ประโยชน์”
“ร่างกายที่มีพลังหยินบริสุทธิ์ของเจ้าไม่เหมาะจะฝึกตนกับรากวิญญาณแห่งต้นกำเนิด จงรู้ไว้ด้วยว่า องค์ประกอบสำคัญของความโกลาหลแรกเริ่มคือการมีอยู่ของธาตุทั้งห้าเช่นเดียวกับหยินและหยาง ย้อนไปในตอนนั้น ข้าบังเอิญมีร่างกายที่มีหยินและหยางเป็นกลาง ดังนั้นการฝึกตนของข้าจึงพัฒนาไปอย่างไว แต่เจ้าไม่เหมือนกัน พลังหยินเพียงอย่างเดียวเติบโตไม่ได้ และพลังหยางเพียงอย่างเดียวมีชีวิตอยู่ไม่ได้”
เมื่อนางได้ยินจงมูหลงพูดเรื่องทั้งหมดนี้ โม่เทียนเกอรู้สึกว่าจู่ๆ หัวใจของนางก็ด้านชา นางเพิ่งจะเริ่มมีความคาดหวังในรากวิญญาณของนาง นี่นางหลงดีใจเก้องเช่นนั้นหรือ
จงมู่หลิงหัวเราะเมื่อเขาเห็นสีหน้าของนาง เขากล่าว “ร่างกายที่มีพลังหยินบริสุทธิ์และรากวิญญาณแห่งต้นกำเนิดนั้นหายากทั้งคู่ เจ้ามีทั้งสองอย่างด้วยกันแต่นั่นก็เป็นผลทำให้เจ้าเสียเปรียบ ถึงอย่างนั้นเจ้าก็ไม่ต้องรู้สึกผิดหวังไปหรอก ร่างกายที่มีพลังหยินก็มีข้อได้เปรียบเหมือนกัน ยิ่งไปกว่านั้น ก็ใช่ว่าเจ้าจะไม่สามารถฝึกศาสตร์แห่งต้นกำเนิดได้เสียหน่อย ไม่ว่าจะเป็นหยินหรือหยาง ทั้งหมดล้วนมีห้าธาตุ เจ้าควรจะฝึกธาตุทั้งห้าของหยินก่อนเป็นอย่างแรก ในเวลาสองวันที่ผ่านมานี้ ข้าได้ศึกษาศาสตร์แห่งซู่หนี่ว์ของเจ้าอย่างรอบคอบและทำการปรับแก้ไขเล็กๆ น้อยๆ ข้าผสมศาสตร์แห่งต้นกำเนิดลงไปในนั้นด้วย เอาเป็นว่าเรียกมันว่าศาสตร์ซู่หนี่ว์แห่งต้นกำเนิดแล้วกัน”
จงมู่หลิงชี้ไปที่หยกบันทึกสองแผ่นที่อยู่บนโต๊ะและพูดว่า “นี่คือต้นฉบับศาสตร์แห่งต้นกำเนิด รู้จักกันในนามว่าบันทึกไทหยวน ส่วนนี่คือศาสตร์ซู่หนี่ว์แห่งต้นกำเนิดที่ข้าแก้ไขให้ ข้าไม่มีร่างกายที่มีพลังหยินบริสุทธิ์ ดังนั้นทุกสิ่งเกี่ยวกับศาสตร์ซู่หนี่ว์แห่งต้นกำเนิดนี้จึงมาจากการอนุมานของข้า เพราะฉะนั้นข้าจะให้บันทึกไทหยวนนี้กับเจ้าด้วยเช่นกัน ถ้าเจ้ารู้สึกว่าศาสตร์ซู่หนี่ว์แห่งต้นกำเนิดไม่เหมาะกับเจ้า เจ้าสามารถแก้ไขบันทึกไทหยวนนี้ได้”
โม่เทียนเกอได้ยินดังนั้น ก็รู้สึกค่อนข้างตื้นตันมาก นางคิดว่ามันเยี่ยมยอดมากแล้วที่จงมู่หลิงยินดีจะแก้ไขวิชาการฝึกตนของนางให้ แต่นางไม่เคยคาดคิดเลยว่าเขาจะมอบศาสตร์แห่งต้นกำเนิดให้กับนางโดยตรงและยังพูดแบบนั้นอีก
“ท่านบรรพบุรุษ ข้าน้อย…”
จงมู่หลิงกล่าว “ถึงแม้ว่าเจ้าจะเป็นผู้สืบสกุลของข้า แต่ข้าปล่อยให้เจ้าอยู่ในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนไม่ได้หรอก โลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนเป็นพื้นที่ของยุคอดีตอันไกลโพ้น และความเร็วในการฝึกตนของเจ้าจะเร็วขึ้นจริงถ้าเจ้าฝึกตนที่นี่ แต่อย่างไรก็ตาม หากไม่มีประสบการณ์ในโลกภายนอก สภาวะจิตใจของเจ้าจะไม่ดีพออย่างแน่นอนและจะกลายเป็นปัญหาเมื่อสร้างขุมพลังของเจ้า ทุกวันนี้เจ้าได้เป็นศิษย์หัวกะทิของโรงเรียนอันทรงเกียรติและอนาคตของเจ้าก็ดูสดใส ฉะนั้นข้าจะไม่รั้งเจ้าไว้ที่นี่ เจ้าสามารถอยู่ที่นี่ได้อีกสักพักและฝึกศาสตร์ซู่หนี่ว์แห่งต้นกำเนิดนี้เพื่อดูว่ามันใช้ได้หรือไม่ ข้าจะให้สมบัติบางอย่างกับเจ้าในภายหลังด้วย คิดเสียว่ามันเป็นการแสดงความรักระหว่างสายสัมพันธ์ก็แล้วกัน”
“เจ้าค่ะ” โม่เทียนเกอตอบ อันที่จริงนางไม่เคยเพ้อฝันไปว่านางจะสามารถอยู่ที่นี่ได้ ท้ายที่สุดแล้วนางและบรรพบุรุษท่านนี้ก็ถูกแยกจากกันด้วยเวลาหลายพันปี สายเลือดระหว่างพวกเขาไม่กล้าแข็ง การที่เขายินดีจะดูแลนางก็ยอดเยี่ยมมากพอแล้ว
เมื่อเห็นว่านางฉลาดแค่ไหน จงมู่หลิงดูเหมือนจะรู้สึกค่อนข้างสงสารนาง เขาพูดว่า “ในเวลาอีกสองสามวันข้างหน้า เจ้าถามข้าได้โดยตรงถ้ามีปัญหาอะไร ถึงแม้ว่าข้าจะไม่อาจดูแลทุกอย่างเพื่อเจ้าได้ แต่ข้าจะไม่ยอมปล่อยให้เจ้าถูกคนอื่นรังแกแน่”