ลำนำสตรียอดเซียน - ตอนที่ 124-2 ปล่อยไป
โม่เทียนเกอครุ่นคิดก่อนที่มุมปากของนางจะค่อยๆ ยกขึ้นเผยให้เห็นเป็นรอยยิ้มเล็กๆ นางพูด “ข้าไม่ทราบเลย”
เว่ยจยาซือหลับตา ดูเหมือนกำลังคิดถึงบางสิ่งบางอย่าง เป็นเวลานานพอสมควรก่อนที่นางจะลืมตาขึ้นและพูดต่อด้วยความสงบนิ่ง “ข้า… ข้าจำได้ว่าข้าทำสิ่งที่เลวร้ายกับเจ้าในม่านพลังมายานั่น ดังนั้นข้าคิดว่า… ข้าจะต้องอธิบายให้เจ้าฟัง”
“ศิษย์พี่ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้หรอก” โม่เทียนเกอไม่อยากที่จะได้ยินสิ่งนั้น ดังนั้นนางจึงพูด “ศิษย์พี่ไม่ได้ติดหนี้ข้าอะไรทั้งนั้น อย่าว่าแต่คำขอโทษเลย ท่านเพิ่งได้รับผลกระทบจากภาพหลอน ไม่มีอะไรที่ต้องอธิบายเลย”
“ไม่!” เว่ยจยาซือจ้องโม่เทียนเกอด้วยแววตาที่เด็ดเดี่ยวและดื้อรั้น นางพูด “ถึงแม้ว่าข้าจะเป็นคนที่อารมณ์ไม่ค่อยดี สันโดษและเย่อหยิ่ง แต่ข้าก็ไม่เคยรังแกใคร ถ้าข้าไม่ได้อธิบายให้ชัดเจน ข้าคงรู้สึกแย่มาก”
โม่เทียนเกอนิ่งเงียบ มีความรู้สึกที่ไม่อาจช่วยได้เกิดขึ้นในจิตใจ ความจริงแล้วปัญหาระหว่างนางกับเว่ยจยาซือนั้นเป็นสิ่งที่เกิดจากเว่ยจยาซือเองทั้งนั้น ที่จริงมันไม่ได้เกี่ยวกับนางแต่ตอนนี้…
โม่เทียนเกอถอนใจพร้อมพูด “ตกลง ข้าจะฟังสิ่งที่ศิษย์พี่เว่ยต้องการจะพูด”
เมื่อได้รับการยืนยันจากโม่เทียนเกอ ในที่สุดแววตาของเว่ยจยาซือก็อ่อนโยนลงเผยให้เห็นเป็นรอยยิ้มที่หาได้ยาก ความจริงแล้วเว่ยจยาซือเป็นคนที่สวย มีความสง่างามที่คิ้วของนาง และเครื่องหน้าของนางก็ดูสดใสเหมือนฤดูใบไม้ผลิ ถ้านางยิ้มมากขึ้นกว่านี้นางจะดูเป็นคนที่เป็นกันเองและน่าหลงใหลขึ้นมาก
เว่ยจยาซือคิดเป็นเวลานานก่อนที่จะเริ่มพูด “เจ้าต้องรู้อยู่แล้วว่าข้าไม่ชอบเจ้า เหตุผลก็เพราะ… ข้าไม่รู้ว่าเจ้ารู้หรือไม่…”
“ในยอดเขาวสันต์กระจ่าง ท่านปรมาจารย์เป็นอัจฉริยะจากสวรรค์ นอกไปจากท่านอาจารย์ลุงชิงหยวนที่ตายไปแล้ว ท่านมีศิษย์ในสังกัดอยู่ทั้งหมดหกคน ท่านอาจารย์ของพวกเราเป็นอันดับแรกและอาวุโสที่สุด ท่านอาจารย์ของพวกเรายังคงมีศิษย์ภายใต้ท่านอีกหลายคน เมื่อหนึ่งร้อยปีก่อนท่านอาจารย์ยังหนุ่ม เขามีศิษย์อยู่เพียงแค่หกถึงเจ็ดคน ในกลุ่มนั้นศิษย์ผู้หญิงมีเพียงแค่ข้าและศิษย์พี่ใหญ่เท่านั้น”
“ถึงแม้พวกเราศิษย์ภายใต้สังกัดของผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังจะโชคดีที่มีรากวิญญาณคู่เป็นความสามารถตามธรรมชาติของพวกเรา แต่ก็ใช่ว่าความถนัดตามธรรมชาติของพวกเราทุกคนจะเท่าเทียมกัน บางคนเก่งกว่าคนอื่น ในขณะที่บางคนด้อยกว่า ข้าเป็นหนึ่งในศิษย์ที่มีต้นทุนธรรมชาติเหมาะสมที่สุด ดังนั้นระดับการฝึกตนของข้าจึงพัฒนาได้อย่างรวดเร็ว แม้กระทั่งศิษย์พี่ผู้ชายก็ไม่สามารถตามข้าได้ทัน ข้าถูกนับว่าเป็นศิษย์รุ่นสามของท่านปรมาจารย์ที่ดีที่สุด ช่วงเวลาผ่านไปเช่นนั้น ความจองหองเริ่มก่อเกิดภายในตัวข้า”
“ท่านอาจารย์ลุงโส่วจิ้งมาถึงก่อนที่ข้าจะเข้ามาที่โรงเรียนนี้ แต่เขาก็มีอายุไล่เลี่ยกับศิษย์รุ่นที่สามอย่างพวกเรา เพราะข้ามีต้นทุนธรรมชาติที่เหมาะสม ข้าจึงได้รับการยอมรับจากทางโรงเรียนตั้งแต่อายุยังน้อย หากข้าจำไม่ผิด ตอนที่ข้าเข้ามาที่โรงเรียนท่านอาจารย์ลุงโส่วจิ้งเพิ่งประสบความสำเร็จในการสร้างฐานแห่งพลังของเขา ในช่วงเวลานั้นเอง ข้ารู้เพียงว่าท่านปรมาจารย์มีศิษย์ผู้น้อยที่มีความสามารถมาก นิสัยดี และมีสายเลือดเดียวกันซึ่งกลายมาเป็นศิษย์ในสังกัดของเขา อย่างไรก็ตามในตอนนั้นข้าคิดว่าข้าจะสามารถเหนือกว่าเขาได้อย่างที่ข้าเหนือกว่าศิษย์พี่ผู้ชายคนอื่นๆ ดังนั้นข้าจึงไม่ได้สนใจเขามากนัก กระนั้นตรงข้ามกับที่ข้าคาดคิด… ไม่เพียงแต่ข้าไม่ประสบความสำเร็จตามที่ตั้งใจไว้แต่ข้ากลับยิ่งจมดิ่งลงลึกไปเรื่อยๆ …”
“ท่านอาจารย์ลุงโส่วจิ้งอายุเพียงแค่ยี่สิบปีในตอนที่เขาสร้างฐานแห่งพลัง ในช่วงเวลานั้นอาจารย์ลุงหลิงซีแห่งยอดเขาหยาดน้ำค้างหวานก็ได้สร้างฐานแห่งพลังของเขาในขณะที่อายุเพียงสิบเจ็ดปี ดังนั้นความสำเร็จของอาจารย์ลุงโส่วจิ้งจึงไม่ได้น่าดึงดูดใจเท่าไรนัก ข้ายังคงคิดว่าสำหรับพวกเราศิษย์ระดับหัวกะทิที่มีทุนธรรมชาติที่เหมาะสม การสร้างฐานแห่งพลังคงง่ายเหมือนกับการข้ามธรณีประตู และการประสบความสำเร็จในการสร้างฐานแห่งพลังในช่วงอายุยี่สิบกว่าๆ ก็เป็นเพียงแค่เรื่องโชคดี ข้าไม่เคยคิดเลยว่าวันแรกที่ข้าได้เจอกับอาจารย์ลุง…”
โม่เทียนเกอฟังอย่างนิ่งเงียบในความทรงจำที่หวานปนขมของเว่ยจยาซือ นางเพียงแค่รู้สึกว่างเปล่าในหัวใจ ความอ้างว้างนั้นลึกจนทำให้นางได้ยินเสียงของเว่ยจยาซือไม่ชัดเจน
นางต้องการอะไรจากการที่มาเล่าให้เราฟัง เราควรรู้สึกมีความสุข? เราควรรู้สึกเศร้า?
“…เทียนเกอ ข้าเสียใจจริงๆ ข้าคิดว่าข้าสามารถจัดการความรู้สึกของตัวเองได้ดี แต่ก็ยังคงถูกเปิดออกภายในม่านพลังมายานั่น และทำให้ข้าทำร้ายเจ้า… สิ่งที่เฟิงเสวี่ยพูดถูกต้องแล้ว ข้าจมลึกลงไปเรื่อยๆ จนถึงจุดที่ข้าไม่อาจควบคุมตัวเองได้ เพราะอาจารย์ลุงใจดีกับเจ้า ข้ายังคงรู้สึกไม่มีความสุขถึงแม้ว่าข้าจะพยายามบังคับตัวเองให้มองข้ามความรู้สึกนั้น เจ้ารู้ไหม… หลังจากที่ข้าเป็นลมไป ข้ายังคงมีสติหลงเหลืออยู่บ้าง ข้าคิดมานาน นานมาก…”
“ข้ารู้ว่าถ้าข้าต้องการที่จะประสบความสำเร็จในการฝึกตน ข้าจะต้องล้มเลิกความรู้สึกพวกนี้ ข้าพยายามแล้วพยายามอีก ข้าต้องการยอมแพ้แต่ข้าก็รู้สึกว่าข้าจะเสียหัวใจของข้าไป… ดังนั้นข้าจึงคิดเรื่องต่างๆ ซ้ำไปมา ข้าไม่สนใจอีกต่อไปแล้ว ในเมื่อข้าไม่ได้ข้าก็จะไม่มองหามัน ในเมื่อข้ายอมแพ้ไม่ได้ ข้าก็จะไม่ยอมแพ้ ตอนนี้ข้าอายุร้อยต้นๆ และข้าก็อยู่ห่างขั้นสุดท้ายของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังเพียงแค่ระยะโยนก้อนหินไปเท่านั้น ถ้าข้าไม่สามารถก้าวเข้าสู่ดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลัง ข้าอาจจะมีชีวิตเหลืออยู่แค่สองร้อยปี ภายในสองร้อยปีนี้ ข้ากลัวว่าอาจารย์ลุงจะยังไม่สามารถเข้าสู่การสร้างจิตวิญญาณใหม่ของเขาได้ ด้วยความสงบของอาจารย์ลุง ถ้าเขาไม่สามารถประสบความสำเร็จในการฝึกตน เขาก็จะไม่มีวันที่ติดอยู่ในห้วงอารมณ์ของตัวเองแน่ สุดท้ายเมื่อเขาต้องวางแผนเรื่องการฝึกตนร่วมสัมพันธ์ ข้ากลัวว่าข้าคง… คงตายไปแล้ว”
เมื่อเว่ยจยาซือพูดจบ นางยิ้มให้โม่เทียนเกอ สายตาของนางมีทั้งความโศกเศร้าและความทะเยอทะยาน หลังจากนั้นนางจึงพูด “แล้วในเรื่องเช่นนี้ ข้ากลัวอะไร ปล่อยให้ข้าได้อยู่แบบนี้ไปตลอดชีวิต ข้าจะไม่ขออะไรเช่นเดียวกับการพยายามอย่างหนัก ข้าจะยอมรับในสิ่งที่ข้าสามารถหามาได้และไม่ยอมแพ้ในสิ่งที่ข้าไม่สามารถ ไม่ว่าจะเป็นดินแดนการสร้างฐานแห่งพลัง หรือดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลัง ข้าปล่อยให้เป็นไปตามโชคชะตา…”
โม่เทียนเกอยังคงนิ่งเงียบ ถึงแม้ว่านี่จะเป็นทัศนคติที่ดีที่สุดที่เว่ยจยาซือมีต่อนาง นางก็ไม่สามารถยิ้มได้ เพราะนางสัมผัสได้ถึงความโศกเศร้าของเว่ยจยาซือภายในคำพูดของนาง
ศิษย์พี่เว่ยคนนี้ได้รับการยอมรับว่าเป็นคนที่มีความภาคภูมิใจในตัวเองจากทุกคน ในขณะที่ตอนนี้นางพร้อมที่จะยอมแพ้ในอนาคตที่สดใสของนาง อย่างไรก็ตามจากอีกมุมมองหนึ่งมันก็สามารถมองได้ว่านางได้ยอมรับความเป็นจริงแล้ว จริงไหม?
นี่เป็นความรักของเราเอง ถึงแม้คนที่เรารักจะไม่ได้เกี่ยวข้องแต่อย่างใด เราจะปกป้องความรู้สึกด้วยตัวเอง ไม่ว่าเราจะได้รับความรักหรือไม่ก็ตาม ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเราก็ไม่สนใจ…
“เทียนเกอ ท่านอาจารย์ลุง…”
“ศิษย์พี่เว่ย” ในที่สุดโม่เทียนเกอก็พูดแทรกเว่ยจยาซือขึ้นมา “ข้าคิดว่า… ท่านไม่ต้องบอกข้าทั้งหมดก็ได้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับท่านอาจารย์ลุง… ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับข้า”
เว่ยจยาซือนิ่งเงียบแต่ก็หัวเราะเบาๆ และพูด “เจ้าพูดถูกแล้ว ข้าสับสนไปเอง ตกลงเทียนเกอ ส่วนเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ ข้าหวังว่าเจ้าจะอภัยให้กับข้า ต่อไปปัญหาที่เกิดขึ้นของข้าจะไม่เกี่ยวอะไรกับเจ้า ไม่ว่าจะรวมหรือไม่รวมเจ้าอยู่ด้วยก็ตาม”
—
หลังจากที่เว่ยจยาซือตื่นขึ้น หันชิงอวี้สอดแทรกพลังเพื่อช่วยฟื้นฟูนางหลังจากนั้นจึงเล่าเกี่ยวกับเหตุการณ์ปัจจุบันให้นางฟัง
เว่ยจยาซือเงียบอยู่เป็นเวลานานก่อนที่นางจะตอบในสิ่งที่ทุกคนคาดคิด “นี่ต้องเป็นแผนแน่”
เพราะเหล่าสหายศิษย์และอาจารย์ได้อยู่ที่โรงเรียนต้านติง หลัวเฟิงเสวี่ยกังวลใจเป็นอย่างมาก นางพูดด้วยเสียงอันดัง “ตอนนี้พวกเราควรทำอย่างไรดี”
หันชิงอวี้ครุ่นคิดหลังจากนั้นจึงพูดว่า “กังวลไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา พวกเราอยู่ที่นี่นานมากเกินไป ถ้าสัตว์ปีศาจต้องการที่จะโจมตี พวกมันก็คงทำไปแล้ว ส่วนเครื่องรางเรียกขาน ข้าได้ลองส่งออกไปบ้างแล้วแต่ไม่รู้ว่าท่านอาจารย์จะได้รับมันหรือไม่”
มีระยะห่างพอสมควรจากโรงเรียนต้านติง นอกจากพวกนางจะมีเครื่องรางกระจายเสียงพันลี้หรือหมื่นลี้ เครื่องรางเรียกขานทั่วไปค่อนข้างที่จะไร้ประโยชน์ เว่ยจยาซือได้ใช้เครื่องรางกระจายเสียงพันลี้ในการรายงานถึงเรื่องที่เกิดขึ้นที่นั่นแต่มันอาจจะถูกขัดขวางจากม่านพลังคุ้มครองที่ยิ่งใหญ่
“มีข่าวอะไรจากตระกูลอวี๋บ้างหรือไม่” เว่ยจยาซือถาม
“ไม่เลย” หันชิงอวี้ตอบขณะที่ส่ายหัว “ข้าบอกพวกเขาบางอย่างแต่พวกเขาก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเหมือนกัน หัวหน้าตระกูลอวี๋พยายามที่จะส่งสารไปที่โรงเรียนเช่นกัน ข้าก็ไม่รู้ว่าประสบความสำเร็จหรือไม่…”
ทั้งสี่คนนั่งลงอยู่ในความเงียบอีกครั้ง
ในตอนนี้ ถึงแม้ว่าพวกนางจะกลับไปที่โรงเรียนต้านติง พวกนางก็ไม่สามารถกลับไปได้ทันเวลาแน่นอน แม้กระทั่งสำหรับพวกนางเองความปลอดภัยก็ไม่สามารถยืนยันได้ ในกรณีที่เกิดสงครามขึ้น พวกนางจะถือว่าโชคดีถ้าม่านพลังของตระกูลอวี๋และภูมิประเทศโดยรอบช่วยปกป้องชีวิตไว้ ถ้าพวกนางทิ้งไปโดยที่ไม่ได้รับอนุญาตและบังเอิญเข้าไปสู่การอาละวาดของสัตว์ปีศาจ พวกนางก็จะต้อง…
“ศิษย์พี่ ข้าเกรงว่าพวกเราคงทำอะไรไม่ได้นอกเสียจากรอเท่านั้น” โม่เทียนเกอพิจารณาอยู่เป็นเวลานานก่อนที่จะพูดอย่างช้าๆ “พวกเราเป็นเพียงแค่ผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังสี่คน ในเมื่อพวกเขามีผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณใหม่ ถึงแม้ว่าพวกมันจะโจมตี มันก็คงจะไม่ง่ายที่สัตว์ปีศาจจะชนะได้ ท่านอาจารย์ลุงเสวียนอินและสหายศิษย์ของพวกเราเป็นแขกที่โรงเรียนต้านติง พวกเขาไม่น่าจะมีอันตรายมากนัก จริงๆ แแล้วชะตาของพวกเราเองที่น่าเป็นห่วง ตระกูลอวี๋มีผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังไม่กี่คนซึ่งทั้งหมดต่างมีระดับการฝึกตนที่ต่ำกว่าพวกเราทั้งนั้น พวกเราไม่สามารถจะพึ่งพาพวกเขาได้”
หันชิงอวี้ครุ่นคิดอยู่นานในคำพูดต่างๆ ของโม่เทียนเกอ สุดท้ายแล้วนางก็พยักหน้าและพูด “เทียนเกอพูดถูก ถ้าการโจมตีที่โรงเรียนต้านติงล้มเหลว จุดหมายของสัตว์ปีศาจจะเปลี่ยน มันก็จะเป็นอันตรายต่อพวกเราอย่างแน่นอนถ้าเป็นเช่นนั้น”
“เช่นนั้นตอนนี้พวกเราควรทำอย่างไรดี” หลัวเฟิงเสวี่ยถาม
เว่ยจยาซือพูด “ข้าคิดว่าพวกเราควรที่จะรอก่อน”
โม่เทียนเกอพยักหน้าอย่างเห็นด้วย
เมื่อเห็นคำตอบของโม่เทียนเกอและเว่ยจยาซือ หันชิงอวี้จึงพูดว่า “ข้าก็คิดว่าพวกเราควรรอเช่นกัน พวกเราไม่สามารถวิเคราะห์สถานการณ์ปัจจุบันได้กระจ่างนัก พวกเราควรที่จะรับมือด้วยการคงอยู่กับสถานการณ์ตอนนี้กันก่อน”
ในเมื่อทั้งสามคนต่างตกลงกันเช่นนั้น หลัวเฟิงเสวี่ยก็ไม่ได้มีอะไรที่จะพูดมากนัก นางพูดเพียงว่า “ตกลง ข้าไม่มีความคิดอย่างอื่นเช่นกัน”
ดังนั้น ทั้งสี่คนจึงตกลงกัน หน้าที่ในการต่อรองกับหัวหน้าตระกูลอวี๋ตกเป็นของหันชิงอวี้ หัวหน้าตระกูลอวี๋เป็นกังวลมากเมื่อได้รู้ถึงความคิดของพวกนาง ทั้งสองฝ่ายต่างมีความคิดเหมือนกันดังนั้นพวกเขาจึงไม่ต้องพูดคุยกันมากนัก
โม่เทียนเกอจัดการหาเวลาในการเข้าไปที่โลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนของนาง แต่เมื่อนางอยู่ด้านในนางก็ทำเพียงแค่นั่งในกระท่อมและนิ่งเงียบเป็นเวลานาน
หากนางไม่ออกไปจากโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนนี้ นางก็จะไม่มีปัญหาเรื่องความปลอดภัยแน่นอน นางไม่ได้กังวลเกี่ยวกับตระกูลอวี๋ ดังนั้นนางจึงไม่ต้องคำนึงถึงพวกเขามากนัก แต่หลัวเฟิงเสวี่ยและอีกสองคนเล่า จะเกิดอะไรขึ้นถ้านางซ่อนตัวอยู่ในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนจริงๆ
จากมุมมองด้วยหลักเหตุและผลแล้ว โรงเรียนเสวียนชิงให้ที่อยู่อาศัยกับนางและให้สิ่งของต่างๆ ที่จำเป็นสำหรับการฝึกตน นางได้รับความเมตตาจากโรงเรียนเสวียนชิงและไม่มีความเกลียดชังใดๆ ต่อโรงเรียน ในแง่มุมของอารมณ์ ทั้งสามคนเป็นศิษย์พี่ นอกเหนือไปจากเว่ยจยาซือ ทั้งหันชิงอวี้และหลัวเฟิงเสวี่ยคอยดูแลนางอยู่ตลอดเวลา เมื่อนึกถึงสองแง่มุมนั้น นางไม่สามารถละทิ้งความปลอดภัยของพวกนางไปได้
เป็นเรื่องแน่นอนอยู่แล้วที่นางสามารถพาพวกเขาทั้งหมดมาที่โลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนได้ อย่างไรก็ตามนางก็ได้ปฏิเสธความคิดนี้ตั้งแต่ต้น โลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนนี้ต้องไม่เปิดเผยให้คนอื่นรู้ ไม่อย่างนั้นชีวิตของนางก็จะตกอยู่ในอันตราย
หลังจากที่พิจารณาอยู่ครู่หนึ่ง โม่เทียนเกอก็ตัดสินใจ นางจะร่วมอยู่กับพวกเขา ตอนนี้นางไม่ใช่ผู้ฝึกตนตัวเล็กๆ ผู้ซึ่งไม่มีความสามารถในการปกป้องตัวเองอีกต่อไปแล้ว ระดับการฝึกตนของนางก็อยู่ในดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังแล้ว นางมีความสามารถและครอบครองสิ่งของมีค่าบางอย่าง ควบรวมกับความจริงว่าสัตว์ปีศาจไม่ได้เก่งกาจนักในการใช้สิ่งของจากภายนอก นางมั่นใจว่านางสามารถหลบหนีได้หากจำเป็น
ด้วยความคิดเช่นนี้ นางจึงเปิดกระเป๋าเอกภพและเริ่มที่จะเตรียมตัว
อาวุธเวทที่นางมีคือเตาหลอมไม้สีม่วง ผ้าเช็ดหน้าไหมขาว ตะเกียงเสน่ห์ และจี้ซ่อนวิญญาณ นอกเหนือไปจากทั้งหมดนี้ โลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนของนางก็สามารถนับได้ว่าเป็นอาวุธเช่นกัน ระหว่างอาวุธเวททั้งหมด เตาหลอมไม้สีม่วงและโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนนั้นไร้ประโยชน์ในการต่อสู้ด้วยพลังเวท ในขณะที่การทำงานของจี้ซ่อนวิญญาณนั้นเพื่อช่วยเหลือนาง มีเพียงแค่ผ้าเช็ดหน้าไหมขาวและตะเกียงเสน่ห์ที่สามารถใช้ในการโจมตีโดยตรงได้
สำหรับเครื่องมือเวท นางมีกระสวยอัปสรา เสื้อเกราะไหมเมฆาโลกาสวรรค์ ไม้หลบลี้หนีหล้า และเข็มบินได้ที่นางเพิ่งซื้อไม่นานมานี้ นางจะใส่เสื้อเกราะไหมเมฆาโลกาสวรรค์เอาไว้ ไม้หลบลี้หนีหล้าจะใช้สำหรับการหลบหนี กระสวยอัปสราใช้เพื่อโจมตี และเข็มบินได้จะใช้สำหรับลอบโจมตี นอกเหนือไปจากนี้นางยังมีเครื่องรางต่างๆ ซึ่งมอบให้นางจากท่านอาจารย์ลุงเสวียนอิน
ถ้านางนับสิ่งของที่นางมีอยู่ทั้งหมด นางมีทรัพย์สมบัติมากมายจริงๆ ความเป็นไปได้ที่จะชนะเมื่อเทียบกับผู้ฝึกตนอื่นที่อยู่ระดับเดียวกันนั้นสูงกว่ามาก แล้วนับประสาอะไรกับสัตว์ปีศาจเล่า อีกอย่างนางสามารถล่าถอยเข้ามาที่โลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนของนางในระยะเวลาอันสั้นได้ นี่เมื่อใช้ควบคู่กับไม้หลบลี้หนีหล้าจะยิ่งนำพาสู่ผลแห่งการสู้รบที่ดียิ่งขึ้นไปอีก ถึงแม้จะต้องเผชิญหน้ากับผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลัง นางก็เชื่อว่าตราบใดที่นางเคลื่อนไหวได้เร็วมากพอ นางก็มีโอกาสที่จะหนีพ้น
เมื่อนางคิดมาถึงจุดนี้ รอยยิ้มเล็กๆ ก็ปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าโม่เทียนเกอ โลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนและโอกาสจากเทพผู้ฝึกตนไม่ได้มีให้กับทุกคน นางเป็นหนึ่งในผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่ผู้ฝึกตนขั้นกลางของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลัง ถึงแม้ว่านางจะต้องเผชิญหน้ากับผู้ฝึกตนขั้นสุดท้ายของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลัง โอกาสที่นางจะชนะนั้นไม่ได้ต่ำเลย หากนางไม่สามารถชนะคู่ต่อสู้ ก็ยังสามารถหนีได้ แล้วยังจะต้องเกรงกลัวอะไรอีก