ลำนำสตรียอดเซียน - ตอนที่ 125-1 การตัดสินใจของตระกูลอวี๋
กลุ่มคนทั้งห้ายืนอยู่บนยอดเขา มองไปทางเปลวไฟบนยอดสูงสุดของภูเขาลูกหนึ่งที่ค่อนข้างไกลออกไป
นั่นคือภูเขาเทียนหัว สำนักใหญ่แห่งโรงเรียนตานติ่ง
ขณะนี้เปลวไฟบนยอดเขายังร้อนแรงดังเช่นก่อนหน้านี้แต่มีสีเข้มขึ้นมาก พวกเขาทั้งหมดอยู่แค่ในดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังจึงไม่สามารถมองเห็นได้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นด้วยจิตสัมผัสของพวกเขา แต่บางครั้งก็จะเห็นได้ว่าสัตว์ปีศาจกำลังข้ามผ่านฟากฟ้าไม่ไกลจากตัวพวกเขานัก
ในเวลาสองวันที่ผ่านมายังไม่มีการตอบกลับจากเครื่องรางกระจายเสียงที่หันชิงอวี้และหัวหน้าตระกูลอวี๋ส่งออกไป พวกเขาเตรียมใจสำหรับผลลัพธ์เช่นนี้มานานแล้ว
การโจมตีโรงเรียนตานติ่งได้เริ่มขึ้นแล้ว
กลุ่มคนที่ยืนอยู่ตรงนั้นคือโม่เทียนเกอ หันชิงอวี้ หลัวเฟิงเสวี่ย หัวหน้าตระกูลอวี๋และภรรยาของเขา ทั้งหมดล้วนนิ่งเงียบ ปัญหานี้ใหญ่เกินกว่าขอบเขตความสามารถของพวกเขาไปแล้ว นอกเหนือจากการรอคอยก็ไม่มีอะไรที่พวกเขาสามารถทำได้อีก
ที่จริงแล้วพวกเขาพอเข้าใจได้ว่าทำไมสัตว์ปีศาจพวกนั้นถึงไม่ลดละกับการโจมตีโรงเรียนตานติ่ง โรงเรียนตานติ่งเป็นกลุ่มการฝึกตนอันดับหนึ่งที่เชี่ยวชาญที่สุดทางด้านการปรุงยาวิเศษในแถบภูเขาคุนอู๋ทั้งหมด ในขณะเดียวกัน สัตว์ปีศาจก็ขาดยาวิเศษมากที่สุด ทุกครั้งที่พวกมันออกจากป่าทางใต้และบุกโจมตีกลุ่มการฝึกตนในแถบแนวเขาคุนอู๋ เจตนาของมันก็เพื่อขโมยยาวิเศษ เมื่อได้โอกาส เป็นธรรมดาที่พวกมันจะมุ่งโจมตีไปที่โรงเรียนตานติ่ง
ถึงอย่างนั้น โรงเรียนตานติ่งก็ไม่ใช่อำนาจที่ควรล้อเล่นด้วย แม้ว่าจะมีขนาดใหญ่กว่ากลุ่มการฝึกตนขนาดกลางธรรมดาแค่เพียงเล็กน้อย แต่พวกเขามีปรมาจารย์ระดับจิตวิญญาณใหม่ถึงสามคน รวมกับม่านพลังป้องกันขุนเขา อาวุธวิเศษและอื่นๆ อีกมากมาย สัตว์ปีศาจพวกนั้นจะต้องทุ่มเทพละกำลังอย่างมากถ้าพวกมันอยากจะยึดโรงเรียนตานติ่งให้สำเร็จ
ณ เวลาปัจจุบัน คนที่กำลังรออยู่ที่นั่นไม่รู้จะรู้สึกโล่งใจหรือกังวลใจดี พวกเขารู้สึกโล่งใจเพราะสัตว์ปีศาจไม่ได้สนใจพวกเขาและดูเหมือนจะไม่มีเจตนาโจมตีพวกเขาด้วย ส่วนความกังวลก็เพิ่มมากขึ้นเพราะพวกเขากำลังคิดถึงสิ่งที่เลวร้ายที่สุดที่อาจเกิดขึ้นกับครอบครัวและสหายของพวกเขาถ้าโรงเรียนตานติ่งถูกโจมตี
จิตใจของทั้งห้าเต็มไปด้วยความกังวล แต่ไม่มีใครพูดอะไรออกมาเลยสักคน
เว่ยจยาซือยังไม่หายดี ดังนั้นผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังสองคนจากตระกูลอวี๋จึงรับหน้าที่ลาดตระเวน ทั้งหมดเป็นแค่ผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลัง ในสงครามเช่นนี้ การมีตัวตนอยู่ของพวกเขาไม่สำคัญใดๆ เลย
เวลาผ่านไปนานก่อนที่หันชิงอวี้จะพูดขึ้นมาในที่สุด “กลับกันเถอะ”
โม่เทียนเกอและหลัวเฟิงเสวี่ยต่างเหลือบมองกันและพยักหน้า
จากนั้นหันชิงอวี้หันกลับไปและพูดว่า “ท่านหัวหน้าตระกูลอวี๋ พวกเราขอตัวกลับก่อน โปรดแจ้งเราด้วยหากมีความคืบหน้าอะไรใหม่”
ด้วยสีหน้าเคร่งเครียดบนใบหน้า หัวหน้าตระกูลอวี๋ประสานมือทำความเคารพหันชิงอวี้อย่างใจลอย
หันชิงอวี้เพียงแค่ส่ายหน้าและถอนหายใจ จากนั้นนางนำทางโม่เทียนเกอและหลัวเฟิงเสวี่ยลงจากเขาไป
ตระกูลอวี๋ต้องพึ่งพาอาศัยโรงเรียนตานติ่ง แม้แต่ผู้ฝึกตนบางส่วนของตระกูลอวี๋ก็ยังอยู่ในโรงเรียนตานติ่ง หัวหน้าตระกูลอวี๋คงจะวิตกกังวลมากกว่าทั้งสามคนมากนัก หากโรงเรียนตานติ่งล่มสลายจากการโจมตีของสัตว์ปีศาจ ตระกูลอวี๋ก็คงจะไม่ได้ดีไปกว่ากันเท่าใด ต่อให้ตระกูลอวี๋ไม่ถูกสัตว์ปีศาจระราน พวกเขาก็จะต้องถูกรังแกและถูกทำให้เสียเกียรติเป็นแน่ถ้าพวกเขาไม่มีใครสนับสนุน ยิ่งไปกว่านั้น ผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังของตระกูลอวี๋ในปัจจุบันก็แก่มากแล้วด้วย…
ขณะที่นางกำลังคิดกังวลเรื่องนั้น หันชิงอวี้ส่ายหน้าอีกครั้ง ทุกกลุ่มการฝึกตนและทุกตระกูลล้วนมีความยากลำบากของตัวเอง แม้แต่กลุ่มของหันชิงอวี้ก็ไม่เว้น ถ้าพวกเขาสามารถปกป้องชีวิตตัวเองได้ก็ถือว่าดีมากแล้ว
เมื่อกลับมาถึงที่พัก โม่เทียนเกอเข้าสู่โลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนของนางอีกครั้งเพื่อฝึกตน
ขณะนี้สงครามได้เข้ามาใกล้หน้าประตูของพวกเขาเข้าไปทุกที นางจึงไม่มีความสนใจอะไรในการปรุงยาวิเศษตอนนี้ สัตว์วิเศษไฟนรกตัวน้อยที่นางจับมาเพื่อช่วยจุดไฟหยางแท้อันร้อนแรงได้ถูกเลี้ยงอยู่ภายในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนนี้ ดังนั้นเมื่อมีสัตว์วิเศษไฟนรกอยู่เป็นเพื่อนกับนาง นางจึงเริ่มทำการฝึกฝนศาสตร์หลอมจิตวิญญาณ
เพราะร่างกายที่ฝึกด้วยห้าวิญญาณไม่สามารถถูกมารรุกรานเข้ามาได้ นางจึงไม่หวั่นใจกับการฝึกศาสตร์หลอมจิตวิญญาณ ดังนั้นนางทุ่มเทพลังทั้งหมดไปกับการฝึกฝนในอีกสองสามวันถัดไป ขณะนั้นนางก็ได้ฝึกจิตสัมผัสของนางไปถึงจุดที่มันสามารถมีรูปร่างเป็นรูปธรรมขึ้นมาได้
นี่คือไพ่ไม้ตายลับของนาง บางทีแม้แต่อาจารย์ลุงเสวียนอินที่มอบวิชาการฝึกตนนี้ให้ก็ไม่อาจจินตนาการได้ว่านางจะสามารถทำให้จิตสัมผัสของนางเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาได้อย่างรวดเร็วขนาดนี้ พึงระลึกไว้ว่าทุกคนที่ฝึกศาสตร์นี้ทำเช่นนั้นด้วยความหวาดกลัวและความประหม่า คงเป็นไปไม่ได้สำหรับพวกเขาที่จะประสบความสำเร็จเช่นเดียวกันกับนาง ยิ่งไปกว่านั้น หลังจากได้ครอบครองร่างกายที่ฝึกด้วยห้าวิญญาณ จิตวิญญาณเริ่มต้นของนางก็ไม่เปราะบางเหมือนอย่างก่อนหน้านั้นอีกต่อไป ในการฝึกศาสตร์หลอมจิตวิญญาณ นางประสบผลสำเร็จได้มากขึ้นถึงสองเท่าด้วยความพยายามเพียงครึ่งเดียว ในโลกทุกวันนี้ คนธรรมดาทั่วไปจะต้องฝึกตนหลายสิบปีก่อนที่พวกเขาจะสามารถทำได้เทียบเท่ากับนาง
ในการต่อสู้ด้วยพลังเวท เครื่องมือเวท อาวุธวิเศษ เครื่องราง และของอื่นๆ ทุกคนต่างมีคู่ต่อสู้ของตัวเอง ดังนั้นทุกคนจึงต้องระวังตัวอยู่ตลอดแม้แต่ในหมู่สหายกันเอง เหตุผลว่าทำไมโม่เทียนเกอถึงถือว่าศาสตร์หลอมจิตวิญญาณเป็นไพ่ไม้ตายของนางก็เพราะคาดว่าคงไม่มีใครคิดว่านางจะสามารถใช้จิตสัมผัสของนางทำให้ผู้อื่นบาดเจ็บได้เมื่อคิดว่านางอยู่เพียงแค่ในดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังเท่านั้น
ในวันถัดๆ มา นอกเหนือจากการฝึกตน โม่เทียนเกอเพียงแค่ออกมาถามเกี่ยวกับสถานการณ์สงครามกับโรงเรียนตานติ่งบ้างเท่านั้น
การตัดสินใจของพวกเขาที่จะอยู่เงียบๆ ที่จริงนั้นถูกต้องแล้ว ในเมื่อโรงเรียนตานติ่งมีผู้ฝึกตนแห่งจิตวิญญาณใหม่ สัตว์ปีศาจจะต้องรอจนกว่าพวกมันจะมีสัตว์ปีศาจระดับแปดและระดับสูงกว่าก่อนที่มันจะกล้าโจมตี แน่นอนว่าจากสิ่งที่พวกเขาได้ยินมา ฝั่งของสัตว์ปีศาจที่จริงแล้วมีสัตว์ปีศาจระดับแปดสามตัวและระดับเก้าหนึ่งตัว ในทางกลับกัน โรงเรียนตานติ่งมีผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณใหม่รวมแล้วสามคน แถมยังเป็นผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณใหม่ในขั้นต้นด้วย ทั้งสองฝั่งไม่เท่าเทียมกันเพราะฉะนั้นสถานการณ์ปัจจุบันในสงครามนี้จึงร้ายแรงมาก
ช่องเขาตรงนี้ที่ตระกูลอวี๋ตั้งอยู่นั้นอยู่ใกล้กับโรงเรียนตานติ่งเกินไป หากผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังใช้เวลาประมาณหนึ่งวันจากโรงเรียนตานติ่งเพื่อไปถึงตรงนั้น ผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณใหม่ก็ต้องใช้เวลาเพียงแค่ไม่กี่ชั่วโมง เพราะความที่อยู่ใกล้เคียง มีโอกาสที่การต่อสู้จะขยายออกมาสู่พื้นที่นี้ โชคยังดีที่พลังของม่านพลังสัตว์จตุรเทพที่โม่เทียนเกอปรับแก้ไว้มีมหาศาล ช่วงนี้ผู้ฝึกตนทุกคนจากตระกูลอวี๋จึงยังคงอยู่ภายในม่านพลังสัตว์จตุรเทพ พวกเขาสามารถอยู่ปลอดภัยได้สักพักหนึ่งจากการเปิดใช้ม่านพลังนี้
อย่างไรก็ตาม ความปลอดภัยของพวกเขาสุดท้ายแล้วก็อยู่ได้เพียงชั่วคราว ถ้าโรงเรียนตานติ่งล่มสลาย ตระกูลอวี๋จะต้องได้รับผลกระทบอย่างแน่นอน แม้แต่โม่เทียนเกอและศิษย์พี่ของนางก็อาจถูกลากลงไปด้วย ขณะนี้พวกเขาทำได้แค่รักษาพละกำลังไว้ให้มากเท่าที่จะทำได้ อีกอย่าง สุดท้ายแล้วพวกเขาก็ไม่ใช่ศิษย์โรงเรียนตานติ่ง ท่านอาจารย์เสวียนอินเองก็อยู่ที่นั่นและโรงเรียนเสวียนชิงจะไม่มีทางทอดทิ้งพวกเขา
สังเกตการณ์ ฝึกตน รอคอยโอกาส… หนึ่งเดือนผ่านไปเช่นนั้นเอง หลังจากหนึ่งเดือน สงครามได้เข้าสู่สภาวะจนมุม สัตว์ปีศาจปรากฏตัวขึ้นในบริเวณใกล้เคียงอาณาเขตของตระกูลอวี๋เพิ่มขึ้นทุกวัน ในท้ายที่สุด พวกเขาก็ไม่สามารถทนอยู่นอกสงครามได้อีกต่อไป
“ท่านสหายนักพรต เชิญนั่งสิ”
ขณะที่โม่เทียนเกอยังฝึกตนอยู่ในตอนกลางดึก คนงานของตระกูลอวี๋มาเพื่อเรียกทั้งสี่คนออกไป ทุกคนล้วนสงสัยอยู่ในใจว่าจะมีการประกาศเรื่องสำคัญอย่างนั้นหรือ
ภายในห้องโถง หินจันทราส่องแสงนุ่มนวลที่ทำให้ดูเหมือนเวลากลางวัน ผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังทั้งสี่คนของตระกูลอวี๋กำลังนั่งอยู่ข้างใน ทันทีหลังจากที่หัวหน้าตระกูลอวี๋เห็นกลุ่มของโม่เทียนเกอ เขายิ้มและขอให้พวกนางนั่งลงอย่างสุภาพ
ในทุกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการสื่อสารกับตระกูลอวี๋ หันชิงอวี้จะเป็นคนรับหน้าที่เป็นผู้นำ ดังนั้นหลังจากโม่เทียนเกอแลกเปลี่ยนคำทักทายกับคนจากตระกูลอวี๋ นางก็เพียงแค่นั่งอยู่ในที่นั่งของแขกและนิ่งเงียบ
หลังจากพูดคุยเล็กน้อย หันชิงอวี้ถามอย่างตรงไปตรงมา “ท่านหัวหน้าตระกูลอวี๋ ข้าขออนุญาตถาม มีอะไรสำคัญที่ทำให้ท่านจำเป็นต้องปลุกพวกเรากลางดึกอย่างนั้นหรือ”
ความลังเลปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหัวหน้าตระกูลอวี๋ เขาเหลือบมองหันชิงอวี้ด้วยท่าทางหนักใจ ราวกับว่าเขามีปัญหาในการพูดออกมา หันชิงอวี้จึงยิ้มและพูดว่า “ถึงแม้เราจะไม่ได้มาจากโรงเรียนเดียวกัน แต่ตอนนี้เราลงเรือลำเดียวกันแล้วเพราะสถานการณ์นี้ มีอะไรที่ท่านหัวหน้าตระกูลอวี๋พูดออกมาไม่ได้อย่างนั้นหรือ”
เมื่อได้ยินสิ่งที่หันชิงอวี้พูด ความลังเลบนใบหน้าของหัวหน้าตระกูลอวี๋เปลี่ยนไปเป็นความมุ่งมั่น เขาพยักหน้าและพูดว่า “สหายนักพรตหันพูดถูก เราควรจะอธิบายสถานการณ์ให้ชัดเจนแก่สหายนักพรต” เขาหยุดครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ “สหายนักพรตหันคงรู้แล้วว่าตระกูลอวี๋ของเราเป็นเพียงตระกูลผู้ฝึกตนเล็กๆ ที่ต้องพึ่งพาโรงเรียนตานติ่ง เราไม่มีทั้งผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังหรือพละกำลัง ปัจจุบันนี้ในโรงเรียนตานติ่ง เรามีเพียงผู้ฝึกตนรุ่นใหม่สองคนที่มีความหวังจะเข้าสู่ดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลัง เราไม่มีอะไรที่พวกสัตว์ปีศาจต้องการ ข้าคิดว่า… ท่านอาจารย์ของท่านเลือกส่งท่านมาที่ตระกูลอวี๋ของเราก็เพราะเขาต้องการปกป้องพวกท่านทั้งสี่จากอันตราย สืบเนื่องจากเรื่องนี้ ข้าเชื่อว่าพวกท่านทุกคนจากโรงเรียนเสวียนชิงถือว่าเป็นศิษย์ที่มีอนาคตอันสดใส”
ขณะที่เขาพูดเช่นนั้น นอกจากมองที่หันชิงอวี้แล้ว สายตาของเขายังจับจ้องอยู่ที่โม่เทียนเกอ ระดับการฝึกตนของหัวหน้าตระกูลอวี๋ผู้นี้อาจจะไม่โดดเด่นแต่เขาก็มีประสบการณ์มาก หันชิงอวี้อยู่ในขั้นท้ายของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังแล้ว ในฐานะศิษย์หัวกะทิ นางจะก่อขุมพลังของนางได้ไม่ช้าก็เร็ว ต่อให้นางทำไม่สำเร็จ นางก็ยังเก่งกว่าศิษย์ธรรมดาอย่างพวกเขา สำหรับโม่เทียนเกอ นางยังอายุน้อยมากตามคำกล่าวของหันชิงอวี้ ทั้งที่อายุแค่นี้ แต่ระดับการฝึกตนของนางก็อยู่ในขั้นกลางของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังแล้ว อนาคตของนางจะต้องไร้ขีดจำกัดแน่
“คาดว่าสถานการณ์ปัจจุบันได้ยืดเยื้อออกไปเกินความคาดหมายของท่านเมื่อก่อนหน้านี้ แม้ว่าตระกูลอวี๋ของเราจะยังปลอดภัยแต่ก็อยู่ในสภาวะล่อแหลม ตอนนี้จำนวนของการต่อสู้ที่เกิดขึ้นภายนอกม่านพลังกำลังเพิ่มมากขึ้น บางครั้งผู้ฝึกตนของโรงเรียนตานติ่งก็มาขอความช่วยเหลือจากเรา ตระกูลอวี๋ของเราไม่สามารถทำเป็นปิดหูปิดตาได้… ท่านสหายนักพรต ตระกูลอวี๋ของเราจะต้องเข้าสู่สงครามไม่ช้าก็เร็ว วันนี้ข้ายังได้ทราบบางอย่างมาจากผู้ฝึกตนโรงเรียนตานติ่งที่บาดเจ็บ หนึ่ง… หนึ่งในผู้ฝึกตนรุ่นหลังสองคนของเราที่อยู่ในโรงเรียนตานติ่งได้เสียชีวิตลงแล้ว…”
เมื่อหัวหน้าตระกูลอวี๋พูดมาถึงตรงนี้ ในที่สุดความเปลี่ยนแปลงก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าที่ก่อนหน้านี้เคยสงบนิ่ง ตระกูลอวี๋มีผู้ฝึกตนแค่สองคนที่มีความหวังเข้าสู่ดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลัง บัดนี้พวกเขาสูญเสียคนหนึ่งไปกับสงครามครั้งนี้แล้ว สำหรับตระกูลอวี๋นี่เป็นความสูญเสียที่ยิ่งใหญ่ ยิ่งไปกว่านั้น คนผู้นั้นอาจจะเป็นผู้สืบสกุลของตัวหัวหน้าตระกูลอวี๋เองด้วย