ลำนำสตรียอดเซียน - ตอนที่ 127-2 สงครามกำลังมา
หลังจากที่ปล่อยกระสวยอัปสรา โม่เทียนเกอก็เริ่มเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วไปทางซ้ายและขวาโดยที่ไม่ออมมือแม้แต่น้อย ในจังหวะที่กระสวยอัปสราหมุนกลับมา สัตว์ปีศาจหลายตัวร่วงหล่นลงจากท้องฟ้าทีละตัว นางไม่หยุดหลังจากที่ฆ่าไปตัวหนึ่ง นางฆ่าอย่างต่อเนื่องกับทุกตัวที่ขวางทางนาง
บางครั้งนางก็เผชิญหน้ากับสัตว์ปีศาจระดับสองและสาม เมื่อเป็นเช่นนั้น นางจะโยนเครื่องรางและเอาชนะคู่ต่อสู้ของนางให้ดีและไวที่สุด
เนื้อและเลือดกระจัดกระจายไปทั่ว ปกคลุมพื้นดินจนกลายเป็นสีแดงสด ทุกคนดูเหมือนต่อสู้กันอย่างบ้าคลั่ง
“เทียนเกอ! ข้างหลังเจ้า!”
หลังจากที่ได้ยินเสียงตะโกนของหลัวเฟิงเสวี่ย โม่เทียนเกอรีบเคลื่อนผ้าเช็ดหน้าไหมขาวเพื่อหลบหลีก ส่งผลให้ลอยขึ้นไปบนฟ้าอย่างรวดเร็ว หลังจากที่นางหมุนตัวกลับ ในที่สุดนางก็มองเห็นสิ่งที่อยู่ด้านหลังนาง
อินทรีสองหัวระดับห้า!
โชคร้ายอะไรเช่นนี้! จากสัตว์ปีศาจระดับห้าสองตัวที่โผล่มา หนึ่งในนั้นหมายตามาที่นาง! โม่เทียนเกอหน้าซีด ไม้หลบลี้หนีหล้าอยู่ในมือของนาง อย่างไรก็ตามนางยังไม่มีเวลาที่จะใช้มัน
อินทรีสองหัวตัวนั้นกระพือปีกมาทางนาง ส่งผลให้พลังวิญญาณที่นางรวบรวมไว้ที่มือกระจายหายไปก่อนที่นางจะทันได้ใช้มัน โม่เทียนเกอล้มกลิ้งอยู่บนผ้าเช็ดหน้าไหมขาวจากลมที่พัดมาจากอินทรีสองหัว วินาทีถัดมานางรีบส่งกระสวยอัปสราออกไป
นี่เป็นครั้งแรกที่นางต่อสู้กับสัตว์ปีศาจระดับห้าของจริง สัตว์ปีศาจระดับห้าเทียบเท่ากับผู้ฝึกตนระดับก่อเกิดแก่นขุมพลังขั้นต้น นานมาแล้ว แม้จะมีประสบการณ์มากในการต่อสู้ด้วยพลังเวท แม้จะมีการร่วมมือกับผู้ฝึกตนถึงห้าคน ท่านอารองยังจบด้วยการบาดเจ็บหนักจากการที่พยายามปราบสัตว์ปีศาจระดับสูงมาแล้ว ในตอนนี้ ความแข็งแกร่งและพละกำลังในการต่อสู้ของสัตว์ปีศาจระดับสูงนั้นเห็นได้อย่างชัดเจน ยิ่งไปกว่านั้น ผู้ฝึกตนของตระกูลอวี๋และผู้ฝึกตนแซ่โจวก็เป็นตัวอย่างที่เห็นได้ชัด หากมิใช่เพราะเครื่องมือเวทบินได้ที่ยอดเยี่ยม พวกเขาไม่มีทางที่จะอยู่ได้นานขนาดนั้น ดังนั้นนางจะรับมือกับอินทรีสองหัวระดับห้าคนเดียวได้อย่างไร
อย่างไรก็ตาม นางทำได้เพียงหลบหลีกและหาโอกาสที่จะหนีเท่านั้น
ผ้าเช็ดหน้าไหมขาวสามารถใช้เพื่อป้องกันและบิน สำหรับการป้องกัน มันสามารถขัดขวางการโจมตีจากเหล่าสัตว์ปีศาจได้หลายครั้ง แต่นี่ไม่ใช่ทางแก้ไข นางทำได้เพียงหลบหลีกการโจมตีที่มาทางนางต่อไปขณะที่ใช้กระสวยอัปสราเพื่อก่อกวนอินทรีสองหัวด้วยความพยายามที่จะถ่วงเวลาในการใช้ไม้หลบลี้หนีหล้า
นางคำนวณผิดพลาดอีกอย่างหนึ่ง
ในการต่อสู้กับสัตว์ปีศาจระดับสูงครั้งนี้ นางไม่สามารถแบ่งเวลาเพียงน้อยนิดในการใช้ไม้หลบลี้หนีหล้าได้เลย
“เทียนเกอ!” หลัวเฟิงเสวี่ยเรียกนางอย่างเป็นกังวล อย่างไรก็ตาม ครู่ต่อมานางเห็นโม่เทียนเกอบินขึ้นลงสลับไปมา สักพักนางหลบไปทางซ้ายและก็หลบมาทางขวา การเคลื่อนไหวของนางนั้นช่างดูเหมือนก้อนเมฆและว่องไวอย่างสายลม นางเกือบจะมองไม่เห็นร่างของโม่เทียนเกอเลย เห็นได้อย่างชัดเจนว่านางหลบการโจมตีของสัตว์ปีศาจ แต่ก็ดูเหมือนว่านางพยายามหลอกล่อสัตว์ปีศาจเสียเอง
หลัวเฟิงเสวี่ยตะลึงงัน นางรู้อยู่แล้วว่าศิษย์น้องคนนี้นั้นแตกต่างจากศิษย์ระดับหัวกะทิคนอื่นของกลุ่มผู้ฝึกตนที่โตขึ้นมาอย่างปลอดภัยแบบพวกนาง นางผ่านการเดินทางของชีวิตที่ยากลำบาก ย้ายถิ่นฐานไปมา เผชิญหน้ากับเรื่องราวหนักหนาสาหัส และมีประสบการณ์ต่อสู้และความทุกข์ทรมานมานับไม่ถ้วน อย่างไรก็ตามนางไม่เคยคาดคิดว่าศิษย์น้องคนที่เพิ่งสร้างฐานแห่งพลังไม่นาน จะครอบครองพลังการต่อสู้แบบนี้และสามารถต่อกรกับสัตว์ปีศาจระดับห้าได้ การมองโม่เทียนเกอทำให้นางระลึกได้ว่านางจะต้องพยายามอย่างหนักที่จะพัฒนาตัวเอง
“เฟิงเสวี่ย! เจ้ากำลังฝันกลางวันอะไรอยู่!” เสียงตะโกนแทรกเข้ามาที่หูของหลัวเฟิงเสวี่ย มันคือเสียงของเว่ยจยาซือคนที่ขัดขวางการโจมตีที่มาทางหลัวเฟิงเสวี่ย เว่ยจยาซือถลึงตาใส่และพูด “ดูแลตัวเองก่อน!”
“แต่…” ก่อนที่หลัวเฟิงเสวี่ยจะพูดจบ นางก็เห็นเว่ยจยาซือควบคุมกระบี่บินได้ของนางไปทางอินทรีสองหัวระดับห้า
อินทรีสองหัวระดับห้ากำลังหงุดหงิดจากการที่โม่เทียนเกอหลบหลีกสำเร็จ มันพยายามตบอย่างแรงด้วยกรงเล็บของมันอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้เกิดเป็นสายฟ้าปะทะเข้าหานาง
ความจริงแล้วโม่เทียนเกอรู้สึกเป็นกังวลมาก คนอื่นอาจมองไม่เห็นแต่ทั่วทั้งร่างของนางตึงเครียดอย่างหนัก ทำไมการโจมตีของสัตว์ปีศาจระดับห้าถึงหลบหลีกได้ง่ายดายนัก? ถ้านางไม่มีอาวุธเวทอย่างผ้าเช็ดหน้าไหมขาว นางก็คงลงไปกองอยู่กับพื้นจากการโจมตีนานแล้ว!
ทันใดนั้น เว่ยจยาซือเข้ามาถึง นางโจมตีอินทรีสองหัว แกว่งกระบี่ของนางเพื่อตัดปีกของมัน ถึงแม้ว่าการโจมตีของนางจะไม่สามารถสร้างความเสียหายกับปีกที่แข็งของมันได้ แต่มันก็ยังพอช่วยให้โม่เทียนเกอได้มีเวลาหายใจบ้าง อย่างไรก็ตาม โม่เทียนเกอตะโกนออกไปในทันที “ศิษย์พี่เว่ย อย่าสนใจข้า! ข้ามีวิธีที่จะหนีอยู่!”
เว่ยจยาซืองุนงง นางลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่เพราะโม่เทียนเกอจ้องนางอย่างมีความหมายบางอย่าง นางจึงถอนกระบี่ของนางและบินหนีไป
อินทรีสองหัวพยายามที่จะจับโม่เทียนเกอด้วยกรงเล็บของมันอีกครั้งหนึ่ง โม่เทียนเกอกระโดดและเริ่มที่จะหลบหนีอีกครั้ง ครั้งนี้ในขณะที่นางหลบ นางก็ค่อยๆ นำมันให้ห่างออกมาจากสนามรบ
เมื่อนางหนีได้ อินทรีสองหัวตัวนี้จะต้องหงุดหงิดยิ่งกว่าเดิมและเริ่มโจมตีผู้คนเป็นแน่ ถึงแม้ว่านางไม่ได้ใส่ใจเกี่ยวกับผู้คนมากนัก หลัวเฟิงเสวี่ยและคนอื่นก็ยังอยู่ในพื้นที่ใกล้เคียง นางไม่อยากจะผลักปีศาจตัวนี้ให้กับพวกนาง
ยิ่งไปกว่านั้น หลังจากที่นางเริ่มคุ้นชินกับจังหวะของสัตว์ปีศาจตัวนี้ การหลบหนีมันก็เป็นเรื่องที่ง่ายขึ้น สุดท้ายแล้วสัตว์ปีศาจก็ยังคงเป็นแค่สัตว์ปีศาจ มันไม่สามารถใช้เครื่องรางหรืออาวุธเวทได้ มันสามารถใช้ได้เพียงแค่ร่างกายและเวทมนตร์ในการโจมตีเท่านั้น มันจะสามารถฉลาดกว่ามนุษย์ผู้ฝึกตนได้อย่างไร
ในขณะที่เวลาผ่านไป โม่เทียนเกอผ่อนคลายลงมากพอที่จะใช้กระสวยอัปสราในการล่อลวงให้มันโจมตีนางเพื่อที่นางจะได้เปลี่ยนทิศทางของมันได้
อย่างฉุนเฉียว อินทรีสองหัวกระพือปีกของมันและบินสูงขึ้นไปบนท้องฟ้า มันมองโม่เทียนเกอจากด้านบนหลังจากนั้นจึงเปิดจะงอยปากและพ่นสายฟ้าขนาดใหญ่ลงมา
โม่เทียนเกอตกใจ ในตอนแรกอินทรีตัวนี้ดูโง่และหลอกลวงได้ง่าย นางไม่คาดคิดว่ามันจะปล่อยพลังของมันในทันทีเช่นนี้! ไม่มีเวลาให้คิดอีกแล้ว นางกลิ้งลงบนพื้นและหยิบผ้าเช็ดหน้าไหมขาว วินาทีถัดมา นางก็โบกมือและโยนผ้าเช็ดหน้าไหมขาวขึ้นไปส่งผลให้มันเปลี่ยนเป็นกำแพงก้อนอิฐหนาซึ่งช่วยป้องกันสายฟ้าที่ตรงมาที่หัวของนาง
กระนั้นนางก็ยังคงอยู่เพียงแค่ระดับกลางของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลัง ถึงแม้ว่าผ้าเช็ดหน้าไหมขาวผืนนี้จะเป็นอาวุธเวท นางก็ไม่สามารถดึงพลังสูงสุดของมันออกมาได้ ดังนั้นถึงแม้นางจะถูกปกคลุมด้วยกำแพงอิฐ แต่นางก็ยังรู้สึกได้ถึงความกดดันของพลังวิญญาณขนาดมหึมาที่กดนางจากทางด้านบน
ร่างกายนางกำลังจะทรุดลง นางไม่สามารถทนต่อไปได้อีก พลังสายฟ้าของสัตว์ปีศาจระดับห้าแทรกผ่านกำแพงอิฐและกดนางลง นางรู้สึกได้ถึงความสั่นไหวของเส้นลมปราณภายในร่างกาย ซึ่งสร้างความเจ็บปวดทั้งภายในและภายนอกร่างกายนางอย่างมาก ตานเถียนของนางถูกกดลงส่งผลให้พลังวิญญาณของนางถูกบีบอัดจนแทบจะไม่เหลือ
บางทีอาจเป็นเพราะอำนาจจิตของนาง หรือบางทีอาจะเป็นเพราะความสามารถภายในของนางถูกปลุกให้ตื่นขึ้นแต่โม่เทียนเกอยังไม่ล้มลงถึงแม้ว่าจะมีเลือดไหลออกมาจากมุมปาก สิ่งเดียวที่อยู่ในจิตใจของนางตอนนี้คือนางไม่อยากตายที่นี่
สายฟ้าค่อยๆ อ่อนกำลังลงจนในที่สุดก็หายไป
ตอนนี้นางไม่รู้สึกถึงแรงกดดันอีกแล้ว นางรู้สึกได้ทันทีว่าขาของนางอ่อนแรงและล้มลงที่พื้น กำแพงอิฐเปลี่ยนกลับมาเป็นผ้าเช็ดหน้าไหมขาวและบินกลับไปที่มือนางอีกครั้ง หลังจากที่ทรุดลงที่พื้นนางรู้สึกว่านางมองภาพได้ไม่ชัด เห็นได้อย่างชัดเจนว่านางอ่อนล้าจากการใช้พลังของนางไปทั้งหมด
การเผชิญกับความโกรธจัดของสัตว์ปีศาจระดับห้า… เราคิดว่าคงไม่มีผู้ฝึกตนขั้นกลางของการสร้างฐานแห่งพลังนอกเหนือไปจากเราจะกล้าทำเช่นนี้ จริงไหม ในขณะที่โม่เทียนเกอนอนลงที่พื้น นางก็รับรู้ได้ทันทีว่านางยังคงมีพลังเหลือพอที่จะคิดเรื่องนี้ได้
อินทรีสองหัวดูเกรี้ยวกราดยิ่งขึ้นเมื่อนางขัดขวางการโจมตีของมันได้สำเร็จ มันร่อนลงมาอยู่ด้านหน้านางแต่แทนที่จะรีบฆ่านาง กลับส่งเสียงอย่างภาคภูมิใจ
สัตว์ปีศาจระดับห้านั้นเท่ากับผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังขั้นต้น มันมีความสามารถที่จะเริ่มคิดได้ หลังจากที่โดนเราหลอกแบบนั้น มันก็คงเจ็บแค้น…
ด้วยความคิดเช่นนั้น โม่เทียนเกอหัวเราะอย่างช่วยไม่ได้และกำหมัดของนางแน่น
สัตว์ปีศาจเอียงหัวอย่างไม่คาดคิดเมื่อเห็นว่าโม่เทียนเกอหัวเราะ มันจ้องมองอย่างเต็มไปด้วยความสงสัย
เมื่อโม่เทียนเกอเห็นเช่นนั้น นางพึมพำ “อยากรู้เกี่ยวกับอารมณ์ของมนุษย์หรือ ยังเร็วเกินไปสำหรับแก!”
หลังจากที่นางพูดจบ อินทรีสองหัวดูเหมือนจะเข้าใจในเสียงหัวเราะเจ้าเล่ห์จากสายตาของนาง อย่างไรก็ตาม ก่อนที่มันจะกระโจนไปด้านหน้า มันเห็นว่าเจ้าแมลงตัวเล็กที่อยู่ตรงข้างหน้ามันอยู่ดีๆ ก็หายไป
“แค่ก!” ที่ไหนสักที่หนึ่งห่างไกลมากว่าพันลี้ โม่เทียนเกอไอออกมาเป็นเลือด นางรีบหลับตาและท่องคาถาบางอย่าง
ถือว่านางโชคดีนัก เพราะอินทรีตัวนั้นไม่ได้รีบฆ่านาง ในที่สุดนางจึงหาเวลาที่จะใช้ไม้หลบลี้หนีหล้าได้ อย่างไรก็ตามสำหรับสัตว์ปีศาจระดับห้า การเดินทางข้ามระยะพันลี้อาจจะใช้เวลาเพียงไม่กี่วินาที มันจะยังคงเป็นอันตรายกับนางถ้าสัตว์ปีศาจตัวนั้นตามกลิ่นของนางมาที่นี่ ดังนั้นนางควรที่จะต้องรีบเข้าไปที่โลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
เมื่อนางท่องคาถา แสงขนาดเท่าถั่วเล็กๆ ก็ปรากฏขึ้นระหว่างคิ้วของนาง แสงนั้นสว่างขึ้นเรื่อยๆ ไปพร้อมกับคาถาของนาง และค่อยๆ เปลี่ยนเป็นไข่มุกขนาดใหญ่ซึ่งกลืนนางเข้าไปด้านในทันที
ในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนโม่เทียนเกองอตัวและกระอักออกมาเป็นเลือดอีกครั้งหนึ่ง ทันใดนั้น บางสิ่งเล็กๆ วิ่งตัวสั่นเข้ามาหานาง มันเคลื่อนไปอยู่ด้านข้างและเริ่มส่งเสียงร้องคราง
โม่เทียนเกอบังคับตัวเองให้ลืมตา สิ่งเล็กๆ ที่อยู่ข้างนางความจริงแล้วเป็นสัตว์วิเศษไฟนรกที่นางจับได้มาก่อนหน้านี้
นางพยายามฝืนยิ้ม “ข้าไม่มีเวลาที่จะให้อาหารเจ้าวันนี้…” ยังไม่ทันสิ้นคำ นางก็รู้สึกว่ามือนางนั้นหนักอึ้ง ครั้นแล้วนางก็ล้มฟุบลงกับพื้น