ลำนำสตรียอดเซียน - ตอนที่ 130-1 การต่อสู้ระหว่างสองก๊ก
“วั่นหงอัน! เราทั้งคู่ต่างเป็นศิษย์จากเจ็ดกลุ่มการฝึกตนที่ยิ่งใหญ่ ทำไมเจ้าถึงดักโจมตีข้าเล่า! เยี่ยจิ่งเหวินจ้องเขม็งไปที่ผู้ฝึกตนสามคนด้านหน้าเขา
หัวหน้ากลุ่มของพวกเขาเป็นชายอายุราวๆ สามสิบถึงสี่สิบปี หน้าตาไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่ ทว่าหนวดสั้นทรงเขี้ยวทำให้เขาดูหยาบโลน
สายตาเขายังคงจับจ้องอยู่ที่เยี่ยจิ่งเหวินพร้อมกับยิ้มเยาะ “เจ็ดกลุ่มการฝึกตนที่ยิ่งใหญ่หรือ ฮึ่ม! อย่าพูดอะไรที่ฟังดูสูงส่งเช่นนั้นเมื่อพวกเจ้าคนจากโรงเรียนเสวียนชิงได้ผลประโยชน์มากมายจากหายนะครั้งนี้เหมือนกัน ตอนนี้เมื่อจลาจลของสัตว์ปีศาจใกล้จะถึงจุดจบ คนที่สติดีๆ คนไหนจะไม่พยายามหาประโยชน์อะไรจากมันบ้างล่ะ”
“เจ้า!!!” ใบหน้าเยี่ยจิ่งเหวินซีดเผือดแต่ไม่นานก็กลายเป็นแดงก่ำ เขารู้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างเจ็ดกลุ่มการฝึกตนที่ยิ่งใหญ่ไม่ลงรอยกัน ถึงแม้ตัวเขาเองจะไม่เคยทำอะไร แต่เขาก็รู้ดีถึงสิ่งที่ศิษย์โรงเรียนเสวียนชิงคนอื่นๆ ได้ทำไว้ เจ็ดกลุ่มการฝึกตนที่ยิ่งใหญ่เดินตามทางฝ่ายธรรมะ แต่ก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะมีศิษย์บางคนที่มีนิสัยน่ากังขาซึ่งฉวยโอกาสจากสถานการณ์นี้กระทำการอะไรบางอย่าง เพื่อเห็นแก่สถานการณ์ทั้งหมด พวกอาจารย์ทำได้เพียงหลับหูหลับตากับการกระทำของศิษย์พวกเขา ในท้ายที่สุด ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มการฝึกตนไหนก็ไม่ใช่ว่าศิษย์ทุกคนจะเป็นคนที่เที่ยงธรรม
คนผู้นั้นมองเยี่ยจิ่งเหวิน ขึ้นๆ ลงๆ พลางลูบหนวดสั้นของเขาและหัวเราะใส่สหาย “วันนี้เราหยุดกันหลังจากเสร็จสิ้นจากเจ้านี่เถอะ ท้ายที่สุดแล้วไอ้เด็กคนนี้ก็มีของดีเพียบ!”
“ได้สิ” ชายอีกคนที่กำลังจ้องเยี่ยจิ่งเหวินเผยสีหน้ามุ่งร้ายออกมา “ไอ้เด็กคนนี้ฆ่าสัตว์ปีศาจไปมากในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา คาดว่าเขาน่าจะได้มาหลายอย่างเสียจนไม่มีที่เก็บเลยล่ะ มันไม่ดีสำหรับพวกเรารึที่จะช่วยสงเคราะห์เขาและเก็บของไว้ให้แทนน่ะ”
“เจ้าพูดถูกเผง! พวกเรานี่ช่างใจดีจริง ฮ่าฮ่า…”
ชายสามคนคว้ากระบี่ของแต่ละคนออกมาและเดินเข้าไปหาเยี่ยจิ่งเหวิน
เยี่ยจิ่งเหวินเห็นการกระทำของพวกเขา ก็ทำท่ามุทราให้กระบี่ที่อยู่ด้านหลังเขาบินออกจากฝักของมัน
ผู้ฝึกตนคนที่ชื่อวั่นหงอันหันหน้าไปหัวเราะกับสหายของเขา “ดูเขาสิ! สำนักกู่เจี้ยนของเราเชี่ยวชาญในการฝึกตนสายกระบี่ แต่เขายังอยากจะเอากระบี่ของเขาออกมาต่อหน้าพวกเราอีก!”
ชั่วขณะหนึ่ง บรรยากาศเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะอย่างดังของทั้งสามคน
เยี่ยจิ่งเหวินยังคงใจเย็น มือกำเครื่องรางไว้มากมาย วิชาการฝึกจิตที่ฝึกในโรงเรียนเสวียนชิงคือวิชาของโรงเรียนลัทธิเต๋า อย่างไรก็ตาม ทักษะของศิษย์ในการต่อสู้ด้วยพลังเวทไม่ได้จำกัดอยู่แค่ประเภทเดียว ไม่ว่าจะเป็นเครื่องราง ยา กระบี่ ทุกสิ่งล้วนถูกฝึกฝน เยี่ยจิ่งเหวินคือหนึ่งในศิษย์ที่ฝึกวิชาการฝึกตนสายกระบี่
แม้กระนั้น สำนักกู่เจี้ยนซึ่งผู้ฝึกตนสายกระบี่ที่เก่งกาจที่สุดในคุนอู๋มารวมตัวกันก็คือกลุ่มใหญ่ที่สุดที่เชี่ยวชาญในวิชาการฝึกตนสายกระบี่โดยแท้ ค่อนข้างจะยากสำหรับผู้ฝึกตนสายกระบี่ตัวจริงที่จะก้าวหน้าไปสู่ดินแดนถัดไปมากกว่าผู้ฝึกตนธรรมดา ทว่าในการต่อสู้ด้วยพลังเวท พวกเขาแข็งแกร่งกว่าผู้ฝึกตนอื่นๆ ในดินแดนเดียวกับพวกเขานัก ยิ่งไปกว่านั้น สำนักกู่เจี้ยนฝึกศาสตร์แห่งกระบี่มาหลายชั่วอายุคน พวกเขาต้องมีวิชาลับมากมายแน่นอน เพราะเหตุผลเหล่านี้ เยี่ยจิ่งเหวินจึงไม่กล้าจะดูถูกคู่ต่อสู้ของเขา
ในหมู่ผู้ฝึกตนสำนักกู่เจี้ยนทั้งสามคนต่อหน้าเขา มีเพียงคนเดียวที่อยู่ในขั้นกลางของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงาน ในขณะที่อีกสองคนอยู่ในขั้นต้นของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงาน เขาแอบประเมินสถานการณ์อย่างลับๆ คนที่อยู่ในขั้นกลางของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงานแก่กว่าเขา ดังนั้นเห็นได้ชัดว่าเขาต้องมีประสบการณ์อัดแน่นมากกว่าอย่างแน่นอน ในกรณีที่คนผู้นั้นยังฝึกวิชาลับบางอย่างด้วย โอกาสชนะของเยี่ยจิ่งเหวินจึงน้อยนิด อย่างไรก็ตาม สองคนที่อยู่ในขั้นต้นของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงานเป็นกรณีที่ต่างไป เขายังสามารถสู้กับพวกนั้นได้อยู่
ในเวลาเสี้ยววินาที เยี่ยจิ่งเหวินตัดสินใจเรียบร้อยแล้ว เขาไม่ได้อวดดีขนาดที่จะคิดว่าเขาสามารถเอาชนะพวกนั้นทั้งหมดได้ แต่ถ้าเขาอยากหนีออกจากเงื้อมมือพวกนั้น เขาก็ยังพอมีความมั่นใจว่าเขาสามารถทำได้ ตราบใดที่เขาสามารถวิ่งกลับไปยังศูนย์สันเขาเฉียนเหมินได้ คนพวกนี้ก็ไม่กล้าจะทำอะไรแน่ ผู้จัดการที่นั่นคือศิษย์พี่ค่วงจู๋ ถึงแม้ว่าเขาแทบจะไม่ยุ่งกับเรื่องพวกนี้ แต่เขาก็ยังเป็นผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังงานขั้นท้าย นอกจากนี้ ศิษย์การสร้างฐานแห่งพลังงานคนอื่นๆ จากโรงเรียนเสวียนชิงก็อยู่ที่นั่น นี่อาจเพียงพอแล้วที่จะขัดขวางคนพวกนี้
บัดนี้เมื่อทำการตัดสินใจเช่นนี้แล้วในจิตใจ เขาไม่รอจนกระทั่งทั้งสามคนเข้ามาใกล้และเคลื่อนกระบี่ของเขาออกไปทันที ควบคุมให้มันมุ่งไปทางวั่นหงอัน ในขณะเดียวกัน เขายังแกว่งมืออีกข้างโยนเครื่องรางจำนวนหนึ่งไปทางศัตรูทั้งสามคนโดยไม่สนใจราคาของเครื่องรางพวกนั้นเลย
ผู้ฝึกตนสามคนนั้นตอนแรกกำลังหัวเราะกันอยู่ แต่ชั่วขณะที่เห็นการกระทำของเขา สีหน้าของพวกเขากลายเป็นขึงขังขึ้นมาทันที วั่นหงอันยกกระบี่ขึ้นและเริ่มสู้กับเยี่ยจิ่งเหวิน อีกสองคนรวมตัวและยืนอยู่ด้วยกันทันที ทั้งคู่ยกกระบี่ขึ้นเพื่อใช้ศาสตร์กระบี่ เกราะแสงปรากฏขึ้นจากปลายกระบี่ของพวกเขาและล้อมรอบตัวพวกเขาทันใด เมื่อเครื่องรางตกไปที่พวกเขา มันก็กระเด้งกลับออกจากเกราะแสงนั้นเอง
เมื่อเห็นเช่นนี้ เยี่ยจิ่งเหวินก็แอบรู้สึกเสียดาย วิชาวาดเครื่องรางค่อนข้างเป็นปัญหา เครื่องรางส่วนใหญ่ที่ผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังงานอย่างพวกเขามีในครอบครองก็มักจะได้รับมาจากท่านอาจารย์ ทว่าบางอันก็ทำขึ้นมาด้วยตัวพวกเขาเอง มีเครื่องรางอย่างน้อยสามถึงห้าอันในกองที่เขาเพิ่งเขวี้ยงไป แต่กระนั้นผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังงานทั้งสองคนก็สามารถหลบหลีกมันได้อย่างง่ายดาย สมแล้วที่สำนักกู่เจี้ยนมีกิตติศัพท์ในเรื่องความแข็งแกร่ง
ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังมั่นใจว่าเขาไม่ใช่คนที่จะล้อเล่นด้วยได้ง่ายๆ เขาเข้าโรงเรียนเสวียนชิงเมื่อครั้งเขายังเป็นแค่เด็ก เขาเปลี่ยนจากศิษย์ธรรมดาตัวเล็กๆ ไปเป็นศิษย์ภายในและจากนั้นก็เป็นศิษย์ภายในชั้นสูง เขาก้าวจากดินแดนการหลอมรวมพลังงานวิญญาณไปสู่ดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงาน จากนั้นเขายังฝึกตนต่อจนสามารถเข้าถึงขั้นกลางของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงานได้ในเวลาไม่นาน เขาเชื่อว่าเขาทำเต็มที่ในทุกย่างก้าว ตอนนี้ต่อให้พวกนั้นต้องการพิชิตเขา ก็คงไม่ง่ายอย่างนั้นหรอก!
หลังจากผลัดกันโจมตีหลายครั้ง วั่นหงอันตกอยู่ในสถานการณ์ค่อนข้างลำบาก การอยู่ในศูนย์เดียวกับเยี่ยจิ่งเหวิน เขาเคยเห็นเยี่ยจิ่งเหวินสู้มาก่อนอยู่แล้วเป็นธรรมดา แต่อย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้คาดคิดว่าเด็กคนนี้จะแข็งแกร่งถึงเพียงนี้และไม่ได้ด้อยไปกว่าพวกเขาผู้ฝึกตนสายกระบี่ระดับหัวกะทิของสำนักกู่เจี้ยนเลยแม้แต่น้อย!
วั่นหงอันชักกระบี่บินของเขากลับคืน แสร้งทำท่าดุดันและพูดว่า “ไอ้หนู! เอาของๆ เจ้าออกมาเร็วๆ แล้วเราจะไว้ชีวิตเจ้า!”
เยี่ยจิ่งเหวินผู้ที่แขนเสื้อเพิ่งถูกฟันขาดเพียงแค่ยิ้มบูดเบี้ยวหลังจากได้ยินสิ่งที่วั่นหงอันพูด “อะไรนะ เจ้ากลัวความตายงั้นรึ” หากเขาไม่สามารถหนีได้จริงๆ และต้องเดิมพันด้วยชีวิต ไอ้วั่นหงอันผู้นี้ก็จะไม่ได้ออกไปอย่างมีชีวิตเป็นแน่!
ทั้งๆ ที่อยู่ในสถานการณ์ลำบาก เขาก็ยังไม่ยอมก้มหัวให้ วั่นหงอันตกตะลึงแต่ไม่ช้าจิตใจเขาก็เต็มไปด้วยความโกรธ เขาเหลือบมองสหายทั้งสองคนของเขา
หลังจากเห็นวั่นหงอันเหลือบมอง ศิษย์สำนักกู่เจี้ยนทั้งสองคนเปลี่ยนทิศทางทันที พวกเขาแยกตัวกันและแต่ละคนต่างขยับไปคนละทาง
สีหน้าของเยี่ยจิ่งเหวินยิ่งสง่าผ่าเผยมากขึ้น จากนั้นเขาได้ยินเสียงเยาะเย้ยของวั่นหงอัน “เจ้าต้องถูกบังคับถึงจะยอมจำนนสินะ! ก็ได้ ข้าจะให้เจ้าได้ลิ้มลองม่านพลังดาวพันร่างของสำนักกู่เจี้ยนของเรา!”
ทั้งสามคนยืนอยู่ที่สามตำแหน่งแตกต่างกันรอบตัวเยี่ยจิ่งเหวิน ทั้งหมดยกกระบี่ขึ้น หลับตาและพึมพำร่ายคาถา
เยี่ยจิ่งเหวินไม่อยู่นิ่ง เขาเรียกกระบี่บินของเขากลับมาทันทีและมองสภาพรอบตัวอย่างระมัดระวัง ม่านพลังดาวพันร่างเป็นม่านพลังกระบี่ที่มีเอกลักษณ์ของสำนักกู่เจี้ยน ต้องใช้คนวางตั้งแต่สามคนถึงสิบล้านคน เมื่อมันถูกวางแล้ว ภายในม่านพลังจะเต็มไปด้วยเจตนาฆ่า ถึงอย่างนั้นม่านพลังกระบี่นี้ก็ไม่ใช่ม่านพลังที่วางได้ง่ายๆ มันจำเป็นต้องใช้พลังงานทางจิตวิญญาณจำนวนมหาศาล ดังนั้นทั้งสามคนนี้ไม่ได้ทำได้อย่างง่ายดายแน่นอน
โดยไม่รอให้ทั้งสามคนวางม่านพลังกระบี่เสร็จ เยี่ยจิ่งเหวินเหวี่ยงแขน แทงกระบี่ไปด้านหน้า กระบี่ดูเหมือนจะพุ่งไปทางด้านวั่นหงอันแต่ทันทีที่พวกเขาขยับเพื่อปัดป้องกระบี่นั้น เยี่ยจิ่งเหวินตบเครื่องรางที่เขาถืออยู่ในมือและหายตัวไปในพื้นดินในชั่วพริบตา
“หนีลงดิน! มันคือเครื่องรางหนีลงดิน!” วั่นหงอันตะโกน จากนั้นเขาเหวี่ยงกระบี่ของตัวเอง ปล่อยพลังกระบี่ที่เหมือนลำแสงยิงลงสู่พื้นดิน หลังจากนั้นพวกเขาเห็นแสงพลังงานทางจิตวิญญาณวูบวาบซึ่งสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าอย่างชัดเจนกำลังหนีไปในระยะไกลอย่างรวดเร็ว
“ไล่ตามไป!”
โม่เทียนเกอยืนอยู่บนผ้าเช็ดหน้าไหมขาวถือกระสวยอัปสราในมือนาง นางไม่ซ่อนตัวตนอีกต่อไป แรงของผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังงานจึงแพร่กระจายออกไปทันที ขณะเดียวกันนั้นเอง กระสวยอัปสราถูกปล่อยออกไปและเคลื่อนที่ไปตัดหัวของหัวหน้ากลุ่มโดยทันที
“ใคร!” คนผู้นั้นตะโกนและขยับร่างกายเพื่อเลี่ยงกระสวยอัปสรา เมื่อเขาเห็นเส้นผมที่ถูกฟันขาดมากมายลอยลงมา เขาหวาดกลัวและทั้งร่างของเขาชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อเย็นๆ ทันที
ด้วยเสียงเย็นเยือก โม่เทียนเกอพูดว่า “เจ้าเป็นใคร บังอาจรุมศิษย์พี่โรงเรียนเสวียนชิงของข้า!”
นาทีที่ทั้งสามคนได้มองเห็นหน้าตาของนางชัดๆ พวกเขาต่างเหลือบมองกัน ขั้นกลางของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงาน…
ตอนนี้เยี่ยจิ่งเหวินออกมาจากพื้นดินแล้ว เขาร้องเรียกด้วยความประหลาดใจและดีใจ “เทียนเกอ!”
ครั้นเห็นว่าทั้งสามคนดูเหมือนมีเจตนาจะจากไป โม่เทียนเกอก็ส่งเสียง “ฮึ่ม” ก่อนจะปล่อยกระสวยอัปสราออกไปอีกครั้ง เข็มบินได้จำนวนมากถูกซ่อนไว้ในแสงสีทองเป็นการซุ่มโจมตี นางยังขยายแก่นจิตสัมผัสของนางออกไปอย่างลับๆ ด้วย
เยี่ยจิ่งเหวินก็ตอบสนองอย่างเร็วเช่นกัน ด้วยการโบกมือ กระบี่บินของเขาเคลื่อนออกไปโจมตีอีกครั้ง ประสานเข้ากับกระสวยอัปสราของนางเพื่อขัดขวางการโจมตีกลับของผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังงานขั้นต้นสองคน
เพราะทั้งหมดนี้เกิดขึ้นแค่ในเวลาชั่วพริบตา พวกเขาไม่มีโอกาสวางม่านพลังดาวพันร่างให้สำเร็จ วั่นหงอันทำได้แค่คอยขยับตัวหลบการโจมตีที่เข้าหา แต่ไม่นานหลังจากเขาทำเช่นนั้น เขาก็ได้ยินเสียง “อ๊ากกก!” ขณะที่สหายของเขาคนหนึ่งล้มลง เขาหันกลับไปดูสหายของเขาอีกคนที่ตัวซีดเผือดสุดขีดกำลังพยายามสกัดกั้นกระบี่บินของเยี่ยจิ่งเหวิน
วั่นหงอันคลำรอบเอวของเขา คว้าเครื่องรางมาและติดเข้าที่ตัว ทันใดนั้นเองเขาก็หายตัวไป หนีไปโดยไม่คำนึงถึงชีวิตสหายของเขาแม้แต่น้อย
แทนที่จะไล่ตามเขา โม่เทียนเกอและเยี่ยจิ่งเหวินยังคงโจมตีผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังงานขั้นต้นคนนั้นต่อ เมื่อต้องเผชิญกับการจู่โจมคู่จากผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังงานขั้นกลางสองคน เขาเสียสติทันที เมื่อไม่มีโอกาสจะสู้กลับ เขาถูกฆ่าตายอย่างง่ายดายตรงนั้นเอง
เมื่อการต่อสู้จบลง เยี่ยจิ่งเหวินเพียงแค่เหลือบมองไปทางที่วั่นหงอันหนีไป ก่อนจะชักกระบี่กลับมา จากนั้นเขามองมาที่โม่เทียนเกอและพูดว่า “เทียนเกอ เจ้ามาลงเอยที่นี่ได้อย่างไร? ข้าได้ยินว่าเจ้าหายตัวไประหว่างการต่อสู้ในโรงเรียนต้านติงเมื่อสองปีก่อน เจ้าสบายดีไหม”
โม่เทียนเกอพยักหน้าให้เขาและหัวเราะ “พี่ใหญ่เยี่ยดูข้าสิ ข้าดูเหมือนคนที่ไม่สบายงั้นหรือ”
เยี่ยจิ่งเหวินพูดไม่ออก หลังจากเขามองโม่เทียนเกอขึ้นลง เขาถามด้วยความประหลาดใจ “เจ้าเข้าสู่ขั้นกลางแล้วรึ”
คำถามของเขาทำให้นางค่อนข้างงุนงง “ข้าเข้าสู่ขั้นกลางเมื่อสองปีก่อน พี่ใหญ่เยี่ยไม่รู้หรือ”
“หา” เยี่ยจิ่งเหวินสับสนอย่างจริงจัง เกิดอะไรขึ้น?
โม่เทียนเกอกวาดตามองศพที่อยู่บนพื้นและบอกว่า “พี่ใหญ่เยี่ย ค่อยคุยกันหลังจากเรากลับไป”
“… ตกลง”
หลังจากจัดการกับศพของศิษย์สำนักกู่เจี้ยนทั้งสอง ทั้งคู่ก็เหาะกลับไปอย่างช้าๆ