ลำนำสตรียอดเซียน - ตอนที่ 133-2 ศิษย์คนสุดท้าย
โดยไม่รอให้อาจารย์เต๋าหลิวเฟิงตอบ ประมุขเต๋าจิ้งเหอหันไปพูดกับเยี่ยจิ่งเหวิน “เจ้าเด็กจิ่งเหวิน คงจะดีถ้าเจ้าบอกข้ามาว่าเกิดอะไรขึ้นตั้งแต่เริ่มแรก เช่นนั้นข้าจะได้พูดคุยเหตุผลกับเจ้าสำนักตู้ได้อย่างเหมาะสม”
เยี่ยจิ่งเหวินเหลือบมองที่ค่วงจู๋ก่อนซึ่งเขาก็พยักหน้าให้ จากนั้นสายตาของเขาหันไปมองโม่เทียนเกอ โม่เทียนเกอจึงพูดว่า “พี่ใหญ่เยี่ยแค่ต้องพูดความจริง”
เยี่ยจิ่งเหวินไม่โง่ขนาดที่จะรายงานไปตามความจริง ดังนั้นเขาจึงทำได้แค่ใช้เรื่องที่พวกเขาแต่งเรื่องกันไว้ก่อนหน้านี้ เขาประสานมือและเริ่มพูด “ท่านปรมาจารย์ ถ้าเราจะพูดกันถึงเรื่องนี้ เราต้องย้อนกลับไปยังตอนที่ศิษย์น้องโม่มาถึงที่ศูนย์สันเขาเฉียนเหมินขอรับ”
ประมุขเต๋าจิ้งเหอพูดอย่างง่ายๆ “ไม่มีปัญหา บอกข้ามาให้ละเอียด”
“หลายวันก่อน ศิษย์น้องโม่ผู้ที่หายตัวไประหว่างการต่อสู้ที่โรงเรียนต้านติงเมื่อสองปีก่อน ในที่สุดก็ฟื้นตัวจากอาการบาดจ็บของนางและมาเจอศูนย์สันเขาเฉียนเหมินเข้า ศิษย์พี่ค่วงส่งคนออกไปจัดหาสถานที่พักให้กับศิษย์น้องโม่ จากนั้นสั่งงานที่จำเป็นต้องให้นางออกไปจากศูนย์”
“เพราะศิษย์น้องโม่เป็นผู้มาใหม่และเพราะมีความเปลี่ยนแปลงหลายอย่างเกิดขึ้นระหว่างสงครามจลาจลสัตว์ปีศาจสองปีนี้ หลังจากได้รับภารกิจ ศิษย์น้องโม่จึงวางแผนที่จะไปดูรอบๆ ก่อน เพราะเหตุการณ์ในปีนั้น หลายคนในศูนย์นี้จึงไม่รู้จักศิษย์น้องโม่ ในขณะนั้นตัวข้าก็ออกไปทำภารกิจและยังไม่ได้กลับเข้ามา ดังนั้นศิษย์น้องโม่จึงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องออกจากศูนย์ไปคนเดียว และเป็นเพราะเหตุนี้เอง วั่นหงอันและศิษย์ระดับการสร้างฐานแห่งพลังขั้นกลางอีกสองคนจากสำนักกู่เจี้ยนมีเจตนาร้ายและตามศิษย์น้องโม่ออกจากศูนย์ไป”
“วันนั้นข้าบังเอิญเพิ่งทำภารกิจเสร็จและกำลังจะกลับมาที่ศูนย์ อย่างไรก็ตาม เมื่อข้ากำลังจะมาถึงศูนย์ จู่ๆ ข้าก็สัมผัสได้ว่ามีใครบางคนกำลังรุมผู้ฝึกตนจากโรงเรียนเสวียนชิง เมื่อข้ามาถึง กลุ่มของวั่นหงอันก็ล้อมรอบและรังแกศิษย์น้องโม่แล้ว…”
ตอนแรกเยี่ยจิ่งเหวินยังค่อนข้างรู้สึกผิดในการพูดโกหกเช่นนี้ แต่ ณ ตอนนี้ ขณะที่บทบาทของเขาในเรื่องถูกแทนที่โดยโม่เทียนเกอ เขาก็ยังเป็นคนที่เกี่ยวข้องอยู่ดี ดังนั้นความโกรธที่อุบัติขึ้นในใจของเขานั้นเป็นของจริง ยิ่งเขาพูดมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งอารมณ์ร้อนและขมขื่นมากขึ้นเท่านั้น เขาบรรยายด้วยวิธีที่แจ่มแจ้งและสมจริงว่าคนพวกนั้นน่ารังเกียจแค่ไหนเมื่อพวกมันข่มเหงและพยายามจะฆ่าคนอื่นเพื่อปล้นทรัพย์ของพวกเขา
ข้างกายเขา โม่เทียนเกอที่นั่งก้มหัวดูเหมือนจะยิ่งก้มต่ำลงและต่ำลงกำลังโอดครวญอยู่ในใจ พี่ใหญ่เยี่ยคนที่ถูกรุม ถูกทุบตี และอื่นๆ อีกมากมายไม่มีอะไรที่เกี่ยวข้องกับเราเลยแม้แต่นิดเดียว
พอเขาเห็นว่าทุกคนในที่นั้นเริ่มจะดูโมโห เยี่ยจิ่งเหวินรีบพูดต่อทันทีว่าโม่เทียนเกอขัดขืนและสู้กลับอย่างไร และด้วยความช่วยเหลือของเขา นางสู้สุดชีวิตกับผู้ฝึกตนสำนักกู่เจี้ยนหลายคนได้อย่างไร เรื่องที่วั่นหงอันยอมสังเวยสหายศิษย์ของเขาและหนีกลับมาที่ศูนย์ก็ถูกอธิบายอย่างชัดเจน
พอถึงเวลาที่เขาเล่ามาถึงตรงนี้ ใบหน้าของประมุขเต๋าจิ้งเหอก็มีความโกรธสุดขีด
จากวิธีที่เยี่ยจิ่งเหวินเล่าเรื่อง บางทีพวกผู้ฝึกตนสำนักกู่เจี้ยนที่ตายอยู่ในโถงหลักอาจถูกเล่าจนลดทอนให้พวกเขากลายเป็นกลุ่มคนชั่วร้ายไป ดังนั้นค่วงจู๋ที่กังวลว่าปรมาจารย์ท่านนี้จะเริ่มสังหารหมู่จึงขัดเขาขึ้นมาทันที “ส่วนสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น ขอให้ข้าได้เป็นคนพูดถึงแล้วกันนะขอรับ”
จากนั้นทุกคนได้ยินค่วงจู๋เล่าเรื่องต่อด้วยเสียงนิ่งและสุภาพของเขา “หลังจากสหายสองคนของเขาตาย วั่นหงอันกลับมาและปลุกปั่นศิษย์สำนักกู่เจี้ยนคนอื่นๆ ให้มาที่โถงหลัก ใส่ร้ายและประณามศิษย์น้องโม่ เขาถึงขนาดเสนอแนะว่าถ้าศิษย์น้องโม่ยอมแต่งงานกับเขา เขาจะรับผิดชอบความตายของสหายทั้งสองของเขาต่อหน้าผู้อาวุโสสำนักกู่เจี้ยน ก่อนหน้านี้เมื่อศิษย์น้องโม่ถูกซุ่มโจมตีนอกศูนย์ นางก็พอจะเข้าใจถึงความมุ่งร้ายของคนคนนี้อย่างแจ่มแจ้งแล้ว ดังนั้นนางจึงไม่เชื่อเขา”
“ข้าเชื่อว่าในทุกคนที่ศูนย์สันเขาเฉียนเหมิน บางคนคงรู้แล้วว่าวั่นหงอันไม่ใช่คนมีศีลธรรมอันดี หลังจากสันดานดิบของเขาถูกเผยออกมาว่าเป็นคนที่ทอดทิ้งสหายศิษย์ของเขา ศิษย์พี่คนอื่นจากสำนักกู่เจี้ยนจึงหยุดช่วยเหลือเขา อย่างไรก็ตาม พอเห็นว่าเรื่องถูกเปิดเผยและเขาถูกกล่าวโทษเรื่องความตายของศิษย์ทั้งสองคน เขาจึงใช้ม่านพลังอสูรพันร่างตั้งใจจะฆ่าพวกเราและศิษย์พี่จากสำนักกู่เจี้ยนอีกหลายคนที่อยู่ในโถงหลัก”
“เมื่อพวกเขาเข้ามาในโถงหลัก ศิษย์พี่พวกนั้นวู่วามเกินไปและลงเอยด้วยการเริ่มต่อสู้เล็กๆ น้อยๆ กับเรา เพราะเหตุนี้ พวกเขาจึงถูกดึงเข้าไปในแผนของวั่นหงอันและถูกเลือกให้เป็นสื่อกลางเลือด ถ้าไม่ใช่เพราะเมฆบำบัดของข้าบังเอิญช่วยป้องกันม่านพลังอสูรพันร่างที่เสร็จสมบูรณ์ไว้ได้ ข้าเกรงว่าตอนนี้ศูนย์สันเขาเฉียนเหมินคงจะต้องกลายเป็นแดนที่เต็มไปด้วยผีที่มีความแค้นแน่นอน น่าเสียดายจริงที่ศิษย์พี่พวกนั้นจากสำนักกู่เจี้ยนต้องตายไปพร้อมกับข้อกล่าวหาผิดๆ ที่ใส่ร้ายพวกเขา” ค่วงจู๋ถอนหายใจยาวที่ฟังดูราวกับว่าเขาเสียใจ
เพราะเยี่ยจิ่งเหวินไม่ได้วางแผนจะปล่อยวั่นหงอันไป และค่วงจู๋ก็ไม่ได้ใจอ่อน พวกเขาจงใจยั่วให้ผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังของสำนักกู่เจี้ยนโกรธจริง อย่างไรก็ตาม เกี่ยวกับผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังของสำนักกู่เจี้ยนคนอื่นที่ตายในโถงหลัก ที่จริงพวกเขาก็ตายอย่างค่อนข้างไม่ยุติธรรม เพราะอย่างนั้นคำพูดของค่วงจู๋ถือได้ว่าช่วยคืนความเป็นผู้บริสุทธิ์ให้กับพวกเขา
เมื่อประมุขเต๋าจิ้งเหอที่มักโกรธง่ายอยู่เสมอได้ยินเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด เขาส่งเสียง “ฮึ่ม” อย่างเย็นชาและยกมือขึ้น ก่อให้เกิดระเบิดขึ้นอีกครั้ง เกิดหลุมขนาดใหญ่ตรงที่ซึ่งเคยเป็นโถงหลักก่อนที่มันจะถูกทำลายราบจากการระเบิดของวั่นหงอัน
แรงที่ยังหลงเหลืออยู่จากการระเบิดนั้นทำให้ทุกคนตัวสั่นงันงก ศิษย์การหลอมรวมพลังวิญญาณบางคนที่ระดับการฝึกตนค่อนข้างต่ำถึงขนาดเลือดไหลออกจากมุมปากด้วยซ้ำ
ขณะเดียวกันนั้น ประมุขเต๋าจิ้งเหอพูดด้วยความโกรธที่พ่นออกมา “ศิษย์คนสุดท้าย [1] ของข้า ประมุขเต๋าจิ้งเหอ คือคนที่พวกเจ้าจะล่วงเกินได้ตามใจชอบอย่างนั้นหรือ!?”
คำพูดของเขาทำให้โม่เทียนเกอเงยหน้าขึ้นด้วยความประหลาดใจ หลังจากที่นางมองประมุขเต๋าจิ้งเหอสั้นๆ นางก็รีบตวัดสายตาไปทางเยี่ยจิ่งเหวิน
เยี่ยจิ่งเหวินที่ดูตกใจอย่างที่สุดก็หันหน้ามามองโม่เทียนเกอเช่นกัน เขารู้มานานแล้วว่าโม่เทียนเกอคือศิษย์ลงนามของท่านประมุขเต๋าจิ้งเหอ แต่ความแตกต่างระหว่างศิษย์คนสุดท้ายกับศิษย์ลงนามนั้นเหมือนกับความแตกต่างระหว่างสวรรค์กับโลกเลยก็ไม่ปาน
ศิษย์ลงนามจะได้รับความสนใจบ้างอย่างดีที่สุดก็เมื่อพวกเขาบังเอิญเป็นที่จดจำ ถึงแม้ว่าพวกเขาจะมีข้อได้เปรียบบางอย่างเมื่อเทียบกับศิษย์ทั่วไป แต่ท้ายที่สุดแล้วพวกเขาก็ยังขาดการแนะนำจากท่านอาจารย์ พวกเขาต้องพัฒนาตัวเองหนักมากบนเส้นทางแห่งการฝึกตน
การได้เป็นศิษย์คนสุดท้ายไม่ง่ายเหมือนการเป็นศิษย์ทางการ เพราะท่านอาจารย์รู้สึกว่าการรับศิษย์คนสุดท้ายเพียงพอแล้ว ศิษย์คนสุดท้ายส่วนใหญ่จึงเป็นศิษย์โดยตรงด้วยเช่นกัน ในการดูแลศิษย์คนสุดท้ายของเขา ท่านอาจารย์มักจะใส่ใจกับการสั่งสอนมากเป็นพิเศษ โดยไม่ต้องสงสัยเลยว่าทุกสิ่งที่มอบให้กับศิษย์คนสุดท้ายนั้นล้วนแล้วแต่เป็นสมบัติลับทั้งนั้น หลังจากได้ยินเช่นนั้นจากประมุขเต๋าจิ้งเหอ การพูดว่าโม่เทียนเกอโชคดีเหมือนได้รับรางวัลก็ไม่ใช่การพูดเกินจริงแต่อย่างใด
ขณะนั้นเอง ประมุขเต๋าจิ้งเหอกำลังเผชิญหน้ากับเจ้าสำนักของสำนักกู่เจี้ยน ขณะที่ปล่อยแรงกดดันของพลังวิญญาณขนาดมหึมา เขาพูดด้วยความโกรธว่า “เขาต้องการใช้ชีวิตคนเพื่อขู่กรรโชกศิษย์ผู้หญิงจากโรงเรียนข้าเพื่อให้แต่งงานกับเขา! ต่อให้เขาตายอีกหลายครั้งก็ไม่เพียงพอกับการลงโทษเขา! ในเมื่อเขาตายไปแล้ว ข้าจะไม่ฆ่าใครอีกในวันนี้ แต่ท้ายที่สุด เป็นเพราะมาตรฐานทางศีลธรรมของสำนักกู่เจี้ยนของเจ้าไม่เข้มงวดพอ ตู้หลิวเฟิง จงกลับไปและบอกชาวเต๋าเฒ่าฝูหลิงด้วย ถ้าเขาไม่ต้องการให้ข้าฆ่าใครในอารามของเจ้า พวกเจ้าทุกคนต้องมีคำแถลงการณ์เกี่ยวกับเรื่องนี้ให้ข้า!”
เมื่อพูดจบ ประมุขเต๋าจิ้งเหอหันกลับและเหลือบมองอย่างเข้มงวดมาที่โม่เทียนเกอ “เทียนเกอ!”
แม้ว่าโม่เทียนเกอจะยังไม่ตื่นจากความตกใจ นางไม่มีทางขอให้ท่านประมุขเต๋าจิ้งเหออธิบายว่าเขาหมายความว่าอะไรต่อหน้าทุกคนเด็ดขาด ดังนั้นนางจึงรีบก้มหน้าและตอบว่า “ศิษย์อยู่นี่เจ้าค่ะ”
“การเผชิญกับคนไร้ยางอายและไร้ศีลธรรมเช่นนี้ เจ้าควรจะฆ่ามันให้มันตายไปโดยเร็ว! เมื่อสองปีก่อนเจ้ากล้าล่อสัตว์ปีศาจระดับห้าออกไปด้วยตัวเอง แต่เจ้ากลับไม่กล้าจะฆ่าไอ้คนชั่วช้าอย่างนี้ทันที! ในฐานะศิษย์ของข้า เจ้าทำให้ข้าอับอายยิ่งนัก! วันนี้เจ้าต้องตามข้ากลับไปที่ภูเขาและเข้าสู่การปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิ!”
แม้ว่าคำพูดของเขาจะฟังดูรุนแรง แต่เขาบิดเบือนความจริงที่ว่านางทำไม่ได้ไปเป็นนางไม่กล้าทำ เขาพูดถึงสัตว์ปีศาจระดับห้าอย่างโจ่งแจ้งเพื่อทำให้คนเชื่อว่าโรงเรียนเสวียนชิงออมมือให้ขณะที่สำนักกู่เจี้ยนนั้นก้าวร้าว เมื่อเทียบกับเรื่องเล่ายืดยาวของเยี่ยจิ่งเหวิน คำพูดตรงเข้าประเด็นของประมุขเต๋าจิ้งเหอนั้นน่าเชื่อถือกว่ามาก
จากนั้นนางได้ยินประมุขเต๋าจิ้งเหอพูดอย่างตำหนิอีกครั้ง “เยี่ยจิ่งเหวิน เจ้าออกจากภูเขามาตั้งนาน แต่เจ้าไม่ได้ก้าวหน้าขึ้นเลยแม้แต่น้อย ข้าคิดว่ามันถึงเวลาสำหรับเจ้าแล้วที่จะกลับไปและฟังคำแนะนำของท่านอาจารย์เจ้า”
ทันทีที่เขาพูดจบ มือซ้ายของเขาคว้าผู้ฝึกตนคนหนึ่งและมือขวาของเขาคว้าอีกคน ทั้งสองคนถูกเขาจับตัวและพาขึ้นรถเมฆไป
ขณะที่รถเมฆลอยขึ้นสู่ท้องฟ้าช้าๆ พวกเขาได้ยินประมุขเต๋าจิ้งเหอเยาะเย้ย “เจ้าสำนักตู้ เรื่องนี้ได้รับการอธิบายอย่างชัดเจนแล้ว แต่ศิษย์พี่น้องของเจ้าก็ยังไม่มา พอคิดอีกที พวกเขาอาจจะไม่สามารถมาได้ เจ้าสำนักตู้ ถ้าเจ้าไม่อยากเก็บศพพวกเขา เจ้าควรจะกลับไปช่วยชีวิตพวกเขาซะ”
สีหน้าของอาจารย์เต๋าหลิวเฟิงเปลี่ยนไป เดิมเขาเคยคิดว่าคำพูดที่คาดไม่ถึงว่า “วันนี้ข้าจะไม่ฆ่าใคร” ของประมุขเต๋าจิ้งเหอผู้กระหายเลือดนั้นแปลก แต่อย่างไรเสียมันก็คือพรจากสวรรค์ บัดนี้กลับกลายเป็นว่าเขาพูดเช่นนั้นเพราะเขาได้ระบายอารมณ์ตอนขาไปที่นั่นเรียบร้อยแล้ว
ตอนแรกเขามาเพื่อจัดการเรื่องผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังไม่กี่คน ถ้าเพราะเรื่องนี้สำนักกู่เจี้ยนต้องจบลงด้วยการสูญเสียผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังหลายคนไป บางทีโชคชะตาของพวกเขาอาจจะน่าสังเวชเหมือนกับโรงเรียนต้านติงที่สูญเสียคนของพวกเขาไปเนื่องจากสัตว์ปีศาจก็เป็นได้
อาจารย์เต๋าหลิวเฟิงไม่กล้าจะอ้อยอิ่งอยู่ที่นั่นต่อไป พอถึงเวลาที่ประมุขเต๋าจิ้งเหอพูดจบ เงาของเขาก็หายลับไปไม่เหลือให้เห็นแล้ว
เมื่อรถเมฆอยู่บนท้องฟ้า พวกเขาได้ยินเสียงตะโกนของประมุขเต๋าจิ้งเหออีกครั้ง “ค่วงจู๋”
ค่วงจู๋รีบตอบ “ศิษย์อยู่นี่ขอรับ”
“นี่คือของขวัญสำหรับเจ้า ถ้าพวกหน้าด้านจากสำนักกู่เจี้ยนมาที่นี่อีก ทำร้ายมันแล้วโยนมันออกไป เจ้าห้ามปรานีเด็ดขาด!” ทุกคนเห็นหนึ่งในผู้ฝึกตนหญิงที่อยู่ข้างรถเอาของที่เหมือนโกร่งออกมาจากภายในรถ จากนั้นนางก้าวขึ้นไปบนตระกร้าดอกไม้และลอยลงมาอยู่ข้างค่วงจู๋ นางมอบโกร่งให้กับเขาก่อนจะลอยอย่างอ่อนช้อยกลับขึ้นไปที่ข้างรถเมฆ
เสียงของประมุขเต๋าจิ้งเหอซึ่งตอนนี้ไม่มีความโกรธเคืองเจือปนอยู่แม้แต่น้อยแผ่ออกมาจากภายในรถ “โกร่งนี้รู้จักกันว่าเป็นโกร่งบดสวรรค์ ส่วนสากในนั้นเรียกว่าสากกะเทาะโลก สิ่งหนึ่งใช้สำหรับโจมตีและอีกสิ่งใช้สำหรับป้องกัน พวกมันเติมเต็มซึ่งกันและกัน มันยังมีผลในการเพิ่มคุณสมบัติทางยาในยาครอบจักรวาลทางจิตวิญญาณด้วย พวกมันเหมาะกับเจ้ามากกว่า”
ไม่นานหลังจากนั้น พวกเขาเห็นผู้ฝึกตนหญิงที่อยู่ข้างรถหยิบกระโปรงออกมาจากภายในรถ ประมุขเต๋าจิ้งเหอกล่าว “กระโปรงร้อยกรุ่นกลิ่นบุปผานี้สำหรับเสี่ยวไป๋จากครอบครัวของเจ้า เด็กผู้หญิงต้องมีรูปลักษณ์แบบผู้หญิงสิ ใส่เสื้อผ้าผู้ชายทั้งวันทั้งคืนจะไปสนุกอะไรล่ะ? ประมุขคนนี้ไม่ชอบการที่ไข่มุกต้องถูกฝุ่นบดบังอย่างนี้ที่สุด”
ศิษย์โรงเรียนเสวียนชิงทั้งหมดเบิกตากว้างด้วยความตกใจ ในชั่วพริบตา ทุกคนพุ่งความสนใจไปที่จ้านไป๋
ครั้งนี้ทุกคนเห็นสีหน้าที่มักจะเฉยเมยเสมอของศิษย์พี่ค่วงจู๋หม่นหมองลง
ผู้ฝึกตนหญิงที่อยู่ข้างรถเมฆส่งกระโปรงร้อยกรุ่นกลิ่นบุปผาให้กับจ้านไป๋แล้วจึงออกจากศูนย์สันเขาเฉียนเหมินไปพร้อมกับรถเมฆของประมุขเต๋าจิ้งเหอ
ขณะที่พวกเขาจ้องมองปรมาจารย์จิ้งเหอจากไป ศิษย์โรงเรียนเสวียนชิงหันมาและมองสำรวจจ้านไป๋ตามสัญชาตญาณ อย่างไรก็ตาม จู่ๆ พวกเขาก็ได้ยินศิษย์พี่ค่วงจู๋ผู้ที่ไม่เคยเป็นคนเอะอะเสียงดังคำรามลั่น “มองอะไรกัน!? กลับไปได้แล้ว!”
จากนั้นเขาก็ออกไปพร้อมกับดึงจ้านไป๋ไปกับเขาด้วย
——
[1] ศิษย์คนสุดท้าย: ความหมายตรงตัวว่าศิษย์คนสุดท้ายที่รับเข้ามาโดยท่านอาจารย์ ดังนั้นท่านอาจารย์จึงพิถีพิถันมากในการเลือกศิษย์พวกนี้ โดยทั่วไปพอเวลาผ่านไปพวกเขาจะกลายเป็นศิษย์คนโปรดของท่านอาจารย์ ดังนั้นสถานะของพวกเขาในหมู่ศิษย์ด้วยกันจึงค่อนข้างพิเศษ