ลำนำสตรียอดเซียน - ตอนที่ 138-2 ปัญหาที่ต่อเนี่องกับวันที่วุ่นวาย
ด้วยการเมินเฉยต่อความเสียใจและท่าทางน้ำตาคลอเบ้าของสาวใช้ ประมุขเต๋าจิ้งเหอเงยหน้าขึ้นมองโม่เทียนเกออย่างยินดี “เด็กน้อย เจ้านี่เก่งใช้ได้! ประมุขคนนี้รู้สึกสดชื่นจริงๆ ในวันนี้ ดังนั้นประมุขคนนี้จะมอบของบางอย่างให้แก่เจ้า คิดเสียว่าเป็นของที่ระลึกจากอาจารย์ของเจ้าแล้วกัน จงนำเครื่องมือเวทของเจ้าออกมาทั้งหมด ให้ข้าดูหน่อยซิว่าเจ้าขาดอะไรไปบ้าง”
เมื่อนางได้ยินประมุขเต๋าจิ้งเหอพูดดังนั้น โม่เทียนเกอรู้สึกปลาบปลื้มยินดียิ่ง มันคงจะไม่ได้มีความหมายมากมายนักหากเขาให้ยาวิเศษหรือวิชาการฝึกตนแก่นาง นางไม่ได้ขาดสิ่งเหล่านั้น แต่ถ้าเขามอบเครื่องมือเวทหรือสิ่งอื่น นั่นคงเป็นสิ่งที่ดีเยี่ยมเพราะนางไม่มีวิธีการมากนักสำหรับการโจมตี! ในเสี้ยววินาที นางหยิบเครื่องมือเวทและอาวุธเวทของนางออกมาทั้งหมด
ผ้าเช็ดหน้าไหมขาว ตะเกียงเสน่ห์ กระสวยอัปสรา ไม้หลบลี้หนีหล้า เข็มบินได้ และเช่นเดียวกันกับกระบี่บินได้ที่ศิษย์พี่เสวียนอินมอบให้เป็นรางวัลแก่นางที่ประสบความสำเร็จในการสร้างฐานแห่งพลัง หลังจากผ่านการพิจารณาอย่างใคร่ครวญ โม่เทียนเกอจึงพูด “ท่านอาจารย์ ข้ายังคงมีเสื้อเกราะไหมเมฆาโลกาสวรรค์และจี้ซ่อนวิญญาณ ข้าไม่จำเป็นต้องนำสองสิ่งนี้ออกมาใช่หรือไม่เจ้าคะ”
แทนที่จะตอบ ประมุขเต๋าจิ้งเหอเริ่มพิจารณาของที่นางวางไว้บนโต๊ะ
เขาหยิบกระบี่บินได้ขึ้นมาก่อน มันเป็นเพียงกระบี่มาตรฐานสำหรับศิษย์แห่งการสร้างฐานแห่งพลัง อย่างไรก็ตามเข็มบินได้นั้นเป็นสิ่งที่ควรจะมี มันเป็นสิ่งที่มีประสิทธิภาพต่อการซุ่มโจมตี หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็มุ่งความสนใจไปที่ไม้หลบลี้หนีหล้าและกระสวยอัปสรา คิ้วของเขาเริ่มขมวดเข้าหากัน
ไอ้เด็กเหลือขอนั่น! ถึงแม้ว่าไม้หลบลี้หนีหล้าไม่ใช่สิ่งที่เขาขัดเกลา มันก็มีร่องรอยของการครอบครองจากเขา นอกเหนือจากนั้นยังคงมีกระสวยอัปสราอีก! นี่เป็นสิ่งที่เขามอบให้ไว้กับไอ้เด็กเหลือขอนั่นเมื่อตอนที่เจ้านั่นสร้างฐานแห่งพลังของตัวเองได้สำเร็จ กลายเป็นว่าไอ้เด็กเหลือขอมอบให้กับเด็กน้อยคนนี้เอง!
เมื่อประมุขเต๋าจิ้งเหอเห็นตะเกียงเสน่ห์และผ้าเช็ดหน้าไหมขาวของนาง เขาก็ยิ่งขมวดคิ้วหนักมากขึ้นไปอีก ตะเกียงนี้ไม่ใช่สิ่งที่สำคัญอะไรนักเพราะมันไม่ได้มีประโยชน์ขนาดนั้น แต่ผ้าเช็ดหน้าผืนนี้… เขาไม่อาจบอกได้เลยว่ามันทำมาจากวัสดุอะไร!
ประมุขเต๋าจิ้งเหอวางของกระแทกลง ทีละชิ้นซ้อนกันและตะโกน “เครื่องมือเวทสี่ชิ้น อาวุธเวทสองชิ้น และยังคงมีเสื้อเกราะอะไรบางอย่างอีกที่เจ้าพูดถึง เจ้ายังคิดว่าเจ้ามีไม่พออีกหรือ เจ้ารู้หรือไม่ว่าผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังส่วนมากมีเครื่องมือเวทแค่หนึ่งหรือสองชิ้นเท่านั้น เจ้ามีอาวุธเวทแล้วแต่เจ้าก็ยังไม่พึงพอใจ! เอาพวกมันกลับไป! ข้าจะไม่ให้อะไรเจ้าทั้งนั้น! คนผู้ที่ไม่เคยพอใจก็เหมือนกับงูที่พยายามกลืนกินช้าง! หลังจากที่เขาพูดจบ เขาก็หันกลับสะบัดแขนเสื้อด้วยความโกรธ
โม่เทียนเกอมึนงง นางรู้มานานแล้วว่าอาจารย์ท่านนี้แตกต่างจากผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณใหม่ท่านอื่นผู้ซึ่งชอบแสร้งทำเป็นลึกลับและหยั่งไม่ถึง นางรู้ว่าเขาเป็นคนอารมณ์เสียง่าย แต่การทำเช่นนี้มันไม่เกินจริงไปหน่อยหรือ เขาเป็นคนที่เสนอจะมอบของแก่นางเอง แล้วทำไมเขาจึงต้องทำเหมือนกับว่านางเป็นคนที่ไม่พอเพียงเสียเองละ นางไม่ได้ขออะไรเขาเสียหน่อย!
ประมุขเต๋าจิ้งเหอชำเลืองมองนางอีกครั้ง “เจ้าจะยืนโง่ทำอะไรอยู่ รีบไปทำภารกิจของเจ้าสิ!”
โม่เทียนเกอกัดฟันแน่นพลางสะกดกลั้นความโกรธเอาไว้ นางหยิบของทุกอย่างกลับคืน หันกลับและเดินจากไป แต่แล้วนางก็หยุดเมื่อเดินมาได้ครึ่งทางหันกลับและเดินกลับมา “ท่านอาจารย์ ศิษย์มีคำถาม สำหรับภารกิจที่จะต้องเทศนา คุณสมบัติของศิษย์มีไม่เพียงพอมิใช่หรือเจ้าคะ”
เมื่อเขาได้ยินคำถามเช่นนั้น ประมุขเต๋าจิ้งเหอตะโกนอีกครั้ง “คุณสมบัติของเจ้าไม่เพียงพอ? เจ้าเป็นศิษย์ของข้าแต่เจ้ากลับคิดว่าคุณสมบัติเจ้าไม่เพียงพอที่จะเทศนาศิษย์ระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณอย่างนั้นหรือ ไร้สาระ!”
“แต่… สิ่งที่ศิษย์กำลังฝึกอยู่ตอนนี้คือศาสตร์แห่งต้นกำเนิด มันไม่เหมือนกับเต๋าของพวกเขา!”
“แล้วอย่างไร พวกเขาไม่รู้ความแตกต่างหรอก ถ้าข้าบอกให้เจ้าไป เจ้าก็ไป!”
“… ตกลง ศิษย์ขอตัว”
เมื่อไม่สามารถคุยกับเขาได้ด้วยเหตุผลอีกต่อไป โม่เทียนเกอเดินออกมาจากตำหนักซ่างชิงในขณะที่นวดขมับตัวเอง นางเงยหน้าขึ้นเงียบๆ ไถ่ถามสวรรค์ นางทำบาปอะไรไว้จึงได้อาจารย์เช่นนี้ เขาไม่เพียงแต่ไม่ให้คำชี้แนะหรือสิ่งของใดๆ แถมยังอารมณ์แปรปรวนเสียอีก การมีเขาเป็นอาจารย์ก็เหมือนกับไม่มีอาจารย์เลยนั่นแหละ!
ต้องเทศนา… ต้องเทศนา… โม่เทียนเกอมุ่งตรงไปยังโถงคนงานในขณะที่ท่องคำพวกนี้วนไปมา
“ศิษย์… อาจารย์ลุงโม่” หลัวเฟิงเสวี่ย ผู้ที่ต้อนรับนางให้เข้าไปยังห้องโถง ยังคงไม่ค่อยคุ้นเคยกับการเรียกนางด้วยตำแหน่งใหม่
เมื่อเห็นท่าทางของหลัวเฟิงเสวี่ย โม่เทียนเกอเข้าใจว่านางหมายความว่าอะไรและตามนางเข้าไปยังห้องโถง
ในเมื่อไม่มีใครอยู่ด้านใน หลัวเฟิงเสวี่ยจึงเปลี่ยนวิธีที่เรียกนาง “เทียนเกอ มีปัญหาอะไรหรือ”
รอยยิ้มขมขื่นปรากฏบนหน้าของโม่เทียนเกอ นางพูด “อาจารย์ให้ข้ามาเทศนา”
“อ้อ…” หลัวเฟิงเสวี่ยเข้าใจปัญหาของนางในทันที “เจ้าอยู่ดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังแล้วตอนนี้ มันเป็นเรื่องปกติอยู่แล้วถ้าเจ้าถูกบอกให้มาเทศนา”
“มันก็เป็นอย่างที่มันควรเป็น ข้าไม่เคยเทศนามาก่อน…”
“ไม่เกี่ยวหรอก” หลัวเฟิงเสวี่ยพูด “ในเมื่อเจ้าสร้างฐานแห่งพลังได้แล้ว เจ้าก็มีข้อมูลเชิงลึกและประสบการณ์มากกว่าศิษย์ระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณ เจ้าก็เพียงแค่พูดเกี่ยวกับอะไรก็ได้ที่เจ้าต้องการ ท่านปรมาจารย์ชี้แนะเจ้าว่าอย่างไรบ้าง”
“อือ… ท่านอาจารย์บอกให้ข้ามาเทศนาสองชั่วยาม ตอนเก้าโมงเช้าทุกวัน”
“หา?!” การได้ยินเช่นนี้ทำให้หลัวเฟิงเสวี่ยมึนงง “ท่านปรมาจารย์คิดอะไรอยู่ โรงเรียนเสวียนชิงของเราเทศนาศิษย์สามวันครั้ง และนั่นก็ถือได้ว่าถี่มากแล้ว ถึงแม้ว่าท่านจะบอกให้เจ้าเทศนาทุกวัน เราก็ไม่มีช่วงเวลามากขนาดนั้นในตารางเวลาของเรา!”
นี่จึงเป็นสาเหตุที่โม่เทียนเกอคิดว่าประมุขเต๋าจิ้งเหอจงใจทรมานนาง สองชั่วยามต่อวัน? เขาคงอยากให้นางผูกขาดการเทศนาที่โรงเรียนเสวียนชิงกระมัง
“แต่…” หลัวเฟิงเสวี่ยพูดต่อ “ถ้าเจ้าคิดว่าเรื่องนี้ยากลำบาก ข้าสามารถจัดให้เจ้าสอนศิษย์ที่เพิ่งรับเข้ามาได้นะ ด้วยวิธีนี้ก็จะง่ายกับเจ้ามากกว่า และเจ้าก็จะสามารถพูดได้ด้วยว่าเจ้าทำภารกิจสำเร็จแล้ว”
โม่เทียนเกอครุ่นคิดถึงคำแนะนำของนางครู่หนึ่ง คิดว่านี่ก็ฟังดูดีไม่น้อย นางจึงรีบยิ้มและพูด “ถ้าเป็นเช่นนั้น ข้าต้องรบกวนเจ้าช่วยจัดการให้ข้าแล้ว ข้าไม่สามารถปฏิเสธภารกิจที่ท่านอาจารย์มอบให้ได้ ดังนั้นถ้าจะทำให้มันสำเร็จได้คงทำให้ข้าปวดหัวจริงๆ!”
หลัวเฟิงเสวี่ยหัวเราะเบาๆ แล้วเดินไปยังโต๊ะก่อนหยิบหยกบันทึกเปล่าที่วางอยู่ด้านบนขึ้นมา หลังจากที่นางบันทึกบางอย่างลงไปที่หยกบันทึก นางก็มอบให้กับโม่เทียนเกอและพูด “ถ้าข้าให้เจ้าเทศนากับศิษย์ระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณทั้งหมด เจ้าจะต้องไปที่ยอดเขาหลัก ดังนั้นตัวเลือกเดียวที่เจ้าเหลืออยู่ตอนนี้คือสอนศิษย์ภายใน นำสิ่งนี้ไปที่โถงเหมิงเสวียที่ด้านข้างเขา จะมีคนอธิบายรายละเอียดกับเจ้าที่นั่น”
เพราะความคิดของหลัวเฟิงเสวี่ย โม่เทียนเกอจึงจากมาด้วยความพึงพอใจ นางถอนใจอย่างโล่งอก หยิบหยกบันทึกและมุ่งสู่ด้านข้างเขาที่หลัวเฟิงเสวี่ยบอกนาง
โรงเรียนเสวียนชิงมีสามหลักการในการเลือกศิษย์ หลักการแรกนั้นเหมือนกับกลุ่มการฝึกตนใหญ่ๆ กลุ่มอื่น ในทุกๆ สิบปีพวกเขาจะเปิดอารามและรับสมัครผู้คนจากตระกูลผู้ฝึกตนหรือผู้ฝึกตนเดี่ยวผู้ซึ่งครอบครองรากวิญญาณยอดเยี่ยมหรือมีความสามารถที่เก่งกาจ
อีกหลักการหนึ่งเป็นหลักการเดียวกับที่โม่เทียนเกอได้สมัครเข้า หลังจากที่ได้รับการแนะนำจากผู้ฝึกตนระดับดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังหรือสูงกว่า คนที่ผ่านการทดสอบจะได้รับการยอมรับ อย่างไรก็ตามนางถูกพามาที่โรงเรียนโดยผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลัง ดังนั้นนางจึงไม่ต้องผ่านกระบวนการทดสอบ
หลักการสุดท้ายคือการที่ศิษย์จากโรงเรียนเข้าไปที่โลกมนุษย์ เลือกมนุษย์ผู้ที่ครอบครองรากวิญญาณดีเยี่ยมและพากลับมาที่โรงเรียน
ส่วนมากศิษย์ที่รับเข้ามาจากหลักการสุดท้ายจะมีรากวิญญาณที่ยอดเยี่ยม ดังนั้นพวกเขาจึงจะได้รับการยอมรับจากผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังเป็นศิษย์ทันทีหลังจากเข้ามาที่โรงเรียน นั่นเป็นกรณีของหลัวเฟิงเสวี่ย ย้อนกลับไปตอนนั้น พี่ใหญ่ของนางยกย่องอาจารย์เต๋าเสวียนอินเป็นดั่งอาจารย์ของเขา หลังจากที่เขาล้มเหลวในการที่จะข้ามผ่านดินแดนถัดไปและได้ตายลง อาจารย์เต๋าเสวียนอินได้เดินทางไปยังโลกมนุษย์เพื่อจัดการเรื่องงานศพ ในช่วงเวลานั้นเขาได้บังเอิญพบว่าหลัวเฟิงเสวี่ยนั้นก็ครอบครองรากวิญญาณเช่นกัน ดังนั้นเขาจึงพานางกลับมาและยอมรับนางเป็นศิษย์ของเขา
นอกเหนือไปจากศิษย์ประเภทที่สามผู้ซึ่งได้รับการยอมรับโดยตรงจากผู้ฝึกตนระดับสูง ศิษย์ประเภทอื่นๆ จะต้องเริ่มที่โถงเหมิงเสวียถ้าระดับชั้นการฝึกตนอยู่ต่ำกว่าระดับห้าของดินแดนการหลอมรวมพลังวิญญาณ
เพราะเหตุนี้จึงมีศิษย์สองประเภทอยู่ที่โถงเหมิงเสวีย ประเภทแรกรวมเด็กที่มีรากวิญญาณสามธาตุหรือดีกว่า พวกเขาได้รับการยอมรับเพราะต้นทุนทางธรรมชาติของพวกเขาดีมากพอดังนั้นพวกเขาจึงไม่จำเป็นต้องกำหนดระดับการฝึกตน ศิษย์อีกประเภทเป็นกลุ่มศิษย์ได้รับการมองว่ามีแววแม้จะมีต้นทุนทางธรรมชาติที่ค่อนข้างด้อยกว่า ศิษย์เหล่านี้มักจะเป็นผู้สืบทอดของผู้ฝึกตนในโรงเรียน ดังนั้นโรงเรียนจึงผ่อนปรนคุณสมบัติที่ต้องการในการสมัครเข้า
เมื่อโม่เทียนเกอถึงที่โถงเหมิงเสวียและผู้ฝึกตนที่ดูแลเห็นนาง เขาจึงรีบทักทายนางด้วยความเคารพ “ท่านปรมาจารย์โม่ ข้าไม่คาดคิดว่าท่านจะให้เกียรติมาด้วยตัวเองเช่นนี้ โปรดอภัยในความไร้มารยาทของพวกข้าด้วย”
ปรมาจารย์… ถูกเรียกเช่นนี้ทำให้โม่เทียนขนลุก ผู้จัดการของโถงเหมิงเสวียเป็นผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลัง แต่คนที่ปกติจะดูแลเรื่องต่างๆ ณ สถานที่นี้จะเป็นศิษย์ระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณ ตอนนี้นางเป็นศิษย์ภายในชั้นสูงของผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณใหม่ผู้ที่มีอำนาจสูงสุด ดังนั้นระดับความอาวุโสของนางจึงเทียบเท่ากับปรมาจารย์การก่อเกิดแก่นขุมพลัง จึงไม่ได้เป็นปัญหานักในการเรียกนางว่าปรมาจารย์ อย่างไรก็ตาม ไม่ได้เป็นเวลานานนักหลังจากที่นางเข้าสู่ดินแดนการสร้างฐานแห่งพลัง ก่อนหน้านี้นางเป็นเพียงแค่ศิษย์ระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณที่ไม่ได้สำคัญอะไร เหมือนกับคนพวกนี้ แต่ตอนนี้อยู่ๆ นางก็ได้เป็นปรมาจารย์ ความแตกต่างนั้นมากเกินไป! อีกอย่าง คนที่เรียกนางว่าปรมาจารย์เป็นชายชราผมขาว นี่ยิ่งทำให้นางรู้สึกคุ้นชินได้ยากขึ้นไปอีกเมื่อถูกเรียกเช่นนั้น
“ไม่จำเป็นที่จะต้องสุภาพเช่นนี้นักก็ได้ สาเหตุที่ข้ามาที่นี่เขียนไว้อย่างชัดเจนแล้วในหยกบันทึกนี้ ถ้ามีสิ่งใดที่ข้าต้องทำ เจ้าบอกข้าได้เลย”
“แน่นอน แน่นอนขอรับ” ผู้ฝึกตนการหลอมรวมพลังวิญญาณ ผู้ซึ่งอายุขัยเหลือเพียงน้อยนิดแต่ก็ไม่มีทีท่าที่จะพัฒนาเข้าสู่ดินแดนถัดไปได้เลยนั้นเกรงกลัวที่จะแสดงท่าทางที่ไม่เคารพนางออกไป ดังนั้นเขาจึงค้างอยู่ท่าโค้งคำนับครึ่งหนึ่งอย่างนั้นในขณะที่พูด “ในหยกบันทึก อาจารย์ลุงหลัวบอกว่าท่านปรมาจารย์มาเพื่อสอนศิษย์ใหม่ อย่างไรก็ตาม อาจารย์ลุงหลัวอาจจะไม่ทราบว่าศิษย์ที่โถงเหมิงเสวียมีอาจารย์ที่ดูแลรับผิดชอบสอนพวกเขาหมดแล้ว ข้าเกรงว่าท่านปรมาจารย์…”
เช่นนั้นหรือ โม่เทียนเกอประหลาดใจ หลังจากนั้นนางจึงพูด “ถ้าเช่นนั้นเจ้าหาอะไรให้ข้าทำก็ได้”
“นี่ๆ …”
นางบอกให้เขาหาภารกิจ แต่ชายชราคนนี้ยังคงนิ่งเงียบและลังเล โม่เทียนเกอไม่พอใจ “นี่ข้าไม่ได้รับอนุญาตให้ทำงานที่นี่หรือ”
ชายชรารีบส่ายหัว “ข้ามิอาจกล้าคิดเช่นนั้นขอรับ ข้าไม่กล้าขอรับ ท่านปรมาจารย์ ด้วยความสัตย์จริง ผู้ฝึกตนระดับสูงที่สุดที่เรามีที่นี่อยู่แค่ระดับเก้าของดินแดนการหลอมรวมพลังวิญญาณ ท่านสอนพวกข้าได้โดยตรงหากท่านต้องการ ทำไมท่านถึงจำเป็นต้องเทศนาศิษย์ใหม่ด้วยขอรับ?”
นี่นางจะสามารถไม่ชอบที่มีระดับการฝึกตนสูงได้ไหม? โม่เทียนเกอพยายามที่จะไม่กลอกตาไปมา นางแค่ต้องการฆ่าเวลา ทำไมชายชราคนนี้ถึงไม่เข้าใจ?
“ข้าบอกเจ้าแล้ว เจ้าแค่ให้ภารกิจสุ่มๆ อะไรก็ได้กับข้า เข้าใจไหม? ถ้าไม่มีอะไรจริงๆ เจ้าก็แค่ให้ข้าถูพื้นก็ได้?”
“นี่… พวกข้าไม่อาจกล้ารบกวนท่านปรมาจารย์ด้วยภารกิจเช่นนั้นหรอกขอรับ…”
โม่เทียนเกอหมดซึ่งหนทาง “งั้นข้าจะไม่ทำอะไร และข้าจะนั่งอยู่ที่นี่สองชั่วยาม ไม่เป็นไรใช่ไหม”