ลำนำสตรียอดเซียน - ตอนที่ 141-1 ดอกท้อเน่า
“ท่านอา! ท่านอา!”
เมื่อได้ยินเสียงตะโกนอย่างร่าเริงของเยี่ยเจินจี โม่เทียนเกอจึงออกจากโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนและโบกมือเพื่อเปิดกำแพงอาคมที่นางตั้งไว้ที่ห้องฝึกตน
เยี่ยเจินจีรีบวิ่งเข้ามาในห้องด้วยรอยยิ้มกว้างบนใบหน้า
“มีอะไรหรือ”
เขาวิ่งมาหาและเงยหน้าเพื่อมองนาง “ท่านอา ตอนที่ข้าไปที่โถงเหมิงเสวียวันนี้ จี้อันและกลุ่มของเขาหนีไปเมื่อพวกเขาเห็นข้า! พวกนั้นดูตลกสุดๆ เลย!”
รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของโม่เทียนเกอ นางลูบหัวเขาและพูดว่า “เจ้ามีความสุขมากเลยหรือ”
“อื้อ!” เยี่ยเจินจีพยักหน้าด้วยความตื่นเต้น “ข้าคิดเสมอว่าหลังจากข้าสร้างฐานแห่งพลังได้ ข้าจะเอาชนะพวกนั้นทุกคน พวกเขาจะได้ไม่กล้ามารังแกข้าอีก!”
สมัยนั้นเมื่อนางอาศัยอยู่ที่หมู่บ้านตระกูลโม่ โม่เทียนเกอเองก็เคยมีความคิดเช่นเดียวกับเยี่ยเจินจี นางคิดว่านางต้องเรียนให้เก่งและเชื่อฟังแม่ เพื่อที่พอนางโตขึ้นนางจะได้ทำให้เทียนจวิ้นและคนอื่นๆ ต้องอาย ในท้ายที่สุดเทียนจวิ้นก็เลิกแกล้งนางและนางเดินบนเส้นทางสายที่แตกต่างจากพวกเขาที่เหลือ
“ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่กล้ารังแกเจ้าแล้วตอนนี้ เจ้าก็ยังต้องตั้งใจสร้างฐานแห่งพลังของเจ้า ต้องไม่หวังพึ่งคนอื่นนะ เข้าใจไหม”
“อืม! ท่านอา ข้าสัญญาว่าข้าจะฝึกตนอย่างพากเพียร จะไม่ทำให้ท่านต้องขายหน้า” เยี่ยเจินจีพูดอย่างกระตือรือร้น “ข้ารู้ว่าต้นทุนของข้าไม่ดี แต่ก่อนจะมาที่คุนอู๋ อากงหัวหน้าตระกูลได้บอกข้าว่าความขยันคือวิธีที่คนคนหนึ่งใช้ทดแทนพรสวรรค์ตามธรรมชาติที่ขาดไป ตราบใดที่ข้าฝึกตนอย่างขันแข็ง ข้าก็ยังพอมีหวังในการก้าวไปสู่ดินแดนถัดไป”
“ดีมากที่เจ้าเข้าใจ” โม่เทียนเกอพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม “ในตอนแรก ต้นทุนของอายิ่งแย่กว่าของเจ้าอีก แต่สุดท้ายอาก็สามารถสร้างฐานแห่งพลังได้ สรุปก็คือ ถึงแม้ว่าจะเป็นความจริงที่ต้นทุนธรรมชาตินั้นสำคัญ แต่การลงแรงที่เจ้าทำและชะตาลิขิตที่ได้รับก็ไม่ควรถูกมองข้ามเหมือนกัน”
เยี่ยเจินจีกะพริบตาด้วยความสับสน เขาเข้าใจตรงส่วนหลังของสิ่งที่โม่เทียนเกอพูด แต่นางหมายความว่าอะไรที่บอกว่านางมีต้นทุนที่แย่กว่าเขา?
“ท่านอา คนเขาพูดกันว่าเหตุผลที่ท่านถูกท่านผู้มีอำนาจรับเข้ามาเป็นศิษย์ของเขาทั้งๆ ที่เป็นเพียงผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังก็เพราะต้นทุนธรรมชาติของท่านยิ่งดีเยี่ยมกว่ารากวิญญาณเดียวเสียอีก ทำไมท่านถึงบอกว่าต้นทุนของท่านแย่ล่ะ ถ้าต้นทุนของท่านแย่ ท่านผู้มีอำนาจก็คงไม่รับท่านเป็นศิษย์ของเขาหรอก จริงไหม”
“หืมม… จริงทั้งสอง รากวิญญาณของอาเป็นรากวิญญาณที่แปลกประหลาดมาก ก่อนข้าจะสร้างฐานแห่งพลัง ข้าคิดเสมอว่าต้นทุนของข้าด้อย หลังจากข้าสร้างฐานแห่งพลังได้ ในที่สุดข้าก็รู้ว่ามันไม่ใช่แบบนั้นเลยแม้แต่นิด”
“โอ้… แต่ในกรณีนั้น หนึ่งในเหตุผลที่ท่านอาเข้าสู่ดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังได้สำเร็จก็เป็นเพราะต้นทุนที่ดีของท่านอาไม่ใช่หรือ”
คำถามนี้ทำให้โม่เทียนเกอพูดไม่ออก ความผิดปกติที่เกิดขึ้นเมื่อนางสร้างฐานแห่งพลังทำให้นางสงสัยอยู่เป็นเวลานาน นางไม่รู้ว่าความสำเร็จในการสร้างฐานแห่งพลังของนางมีอะไรเกี่ยวกับรากวิญญาณแห่งต้นกำเนิดของนางหรือไม่ และนางก็ยังไม่แน่ใจว่าศาสตร์แห่งซู่หนี่ว์เป็นส่วนหนึ่งของสาเหตุที่ทำสำเร็จหรือไม่ ก่อนที่นางจะสร้างฐานแห่งพลัง นางไม่รู้ว่ารากวิญญาณแห่งต้นกำเนิดคืออะไรและคิดว่ามันเป็นเพียงรากวิญญาณที่เสียเปล่าเท่านั้น แต่ก็มีความเป็นไปได้ว่านางอาจได้ประโยชน์จากมันเมื่อนางบรรลุผ่านดินแดนไปสู่ดินแดนการสร้างฐานแห่งพลัง
“…ไม่เชิง เมื่อข้าอยู่ในดินแดนการหลอมรวมพลังวิญญาณ ข้าก็พยายามอย่างมากในการฝึกตน ในตอนนั้นท่านอาของข้ามักจะดูแลข้าและใช้ยาวิเศษมากมายเพื่อช่วยเสริมการฝึกตนของข้า นั่นคือเหตุผลว่าทำไมมันจึงเป็นไปได้ที่ข้าสามารถสร้างฐานแห่งพลังได้ เพราะเขารับภาระทั้งหมดและเก็บงำไว้กับตัวไม่บอกใคร”
เยี่ยเจินจีนิ่งเงียบ ปล่อยให้คำพูดของนางจมลงในจิตใจ สุดท้ายเขาก็ยิ้มและพูดว่า “ข้าเข้าใจ ท่านอา ท่านมีพี่ชายอากงคอยดูแล และข้ามีท่านคอยดูแล ข้าสัญญาว่าข้าจะฝึกตนอย่างขันแข็งและพัฒนาไปสู่ดินแดนถัดไปให้ได้เหมือนอย่างท่าน”
เด็กคนนี้เป็นเด็กฉลาดและมีไหวพริบ เขาไม่จำเป็นต้องได้รับการดูแลตลอดเวลา แค่ให้คำแนะนำเขาบ้างบางครั้งก็เพียงพอแล้ว โม่เทียนเกอยิ้มและลูบหัวเขา “ดีแล้วที่เจ้าเข้าใจเรื่องนี้ เอาล่ะ เจ้าเถลไถลมานานเกินแล้ว รีบไปฝึกตนได้แล้ว!”
“ตกลง ข้าไปล่ะ” เยี่ยเจินจีตอบอย่างว่าง่ายแล้วจึงกลับไปฝึกตน
หลังจากนางหลับตา โม่เทียนเกอปล่อยจิตสัมผัสของนางออกมา
วิชาการฝึกตนที่เยี่ยเจินจีใช้เป็นเหมือนกับที่ศิษย์ภายในคนอื่นๆ ใช้กัน มันคือวิชาการฝึกตนที่สามัญที่สุดของโรงเรียนเสวียนชิง หนานหวาหฤทัยสูตร
ที่จริงแล้วศิษย์ภายในโรงเรียนเสวียนชิงทุกคน ไม่ว่าความสามารถ รากวิญญาณ หรือตัวตนของพวกเขาจะเป็นอย่างไร ก็ต้องฝึกหนานหวาหฤทัยสูตรเป็นอย่างแรกหลังจากเข้าโรงเรียนมาเพื่อให้มีพื้นฐาน เมื่อโม่เทียนเกอเข้าโรงเรียนมาเมื่อหลายปีก่อน แม้ว่านางจะไม่ได้เป็นศิษย์อายุน้อยที่ร่วมกลุ่มการฝึกตนเป็นครั้งแรก แต่นางก็ได้ศึกษามันพอสังเขปเช่นกัน
คัมภีร์แห่งเต๋าเล่มนี้คือวิชาการฝึกตนเบื้องต้นที่สมบูรณ์แบบ ผู้เรียนไม่จำเป็นต้องมีรากวิญญาณที่มีธาตุใดเฉพาะเจาะจง และขณะใช้ ความเร็วในการฝึกตนของคนนั้นก็จะไม่เร็วเกินไปและไม่สามารถใช้ในการต่อสู้ด้วยพลังเวทได้ ถึงอย่างนั้นมันก็ยังทำให้ผู้เรียนได้เข้าใจเต๋าแห่งสวรรค์และโลก ฝึกหัวใจที่เรียบง่ายและอบรมบ่มนิสัย ถ้าผู้เรียนฝึกหนานหวาหฤทัยสูตรจนเสร็จสมบูรณ์อย่างเหมาะสม พวกเขาจะเจออุปสรรคที่เกี่ยวข้องกับอารมณ์ของพวกเขาแค่น้อยนิดเมื่อไปฝึกกับวิชาการฝึกตนอื่นๆ ต่อไป
แม้ว่ารากวิญญาณของเยี่ยเจินจีจะไม่ได้ดีขนาดนั้น แต่เขาก็มีความเข้าใจคัมภีร์แห่งเต๋าเป็นอย่างดี ยิ่งไปกว่านั้น อารมณ์และการรับรู้ของเขาก็ไม่เลวร้าย ดังนั้นหลังจากสังเกตพฤติกรรมของเขามาพักหนึ่งและเห็นว่าเขาฝึกตนโดยไม่มีปัญหา โม่เทียนเกอจึงไม่กังวลกับเขาอีกและเข้าสู่โลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนของนางเพื่อฝึกตนต่อ
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว เมื่อนางฝึกตนเสร็จ โม่เทียนเกอก็เริ่มทำภารกิจหลายอย่างที่ตำหนักซ่างชิงตามตารางเวลาเดิมของนางแล้วจึงไปที่โถงเหมิงเสวีย หลังจากนั้นนางได้ให้คำแนะนำเล็กน้อยกับเยี่ยเจินจีแล้วจึงเข้าสู่โลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนเพื่อฝึกตน และทำซ้ำตามตารางเหมือนกันในวันถัดไป
หลังจากสองปีของวันอันแสนสงบที่ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเช่นนี้ สองเรื่องสำคัญได้เกิดขึ้นพร้อมกันที่ยอดเขาวสันต์กระจ่าง
เรื่องแรกคือท่านอาจารย์เต๋าเสวียนอินกำลังจะเข้าสู่การปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิเพื่อลองบรรลุผ่านดินแดนไปสู่ดินแดนแห่งจิตวิญญาณใหม่
โม่เทียนเกอยินดีเป็นอย่างยิ่งเมื่อนางได้รู้เรื่องนี้ ศิษย์พี่เสวียนอินเป็นศิษย์คนแรกและอาวุโสที่สุดภายใต้ท่านอาจารย์ของนาง ไม่เพียงแต่เขาจะถูกรับเข้ามาเป็นคนแรกๆ แต่ความสามารถของเขายังดีที่สุดในหมู่พวกเขาด้วย ความจริงที่ว่าอายุของเขามากกว่าสี่ร้อยปีแล้วแต่ยังติดอยู่ในดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลังล้วนทำให้ทุกคนฉงน บัดนี้ที่เขาตัดสินใจเข้าสู่การปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิในที่สุด โม่เทียนเกอแอบภาวนาว่าอาจารย์ลุงหรือศิษย์พี่คนนี้ที่คอยดูแลนางมาตลอดจะสามารถสร้างจิตวิญญาณใหม่ของเขาได้อย่างราบรื่น
ถ้าศิษย์พี่เสวียนอินสร้างจิตวิญญาณใหม่ของเขาสำเร็จได้จริง นางต้องเรียกเขาว่าท่านอาจารย์ลุงเสวียนอินอีกครั้ง
ตามกฎของโลกแห่งการฝึกตน เมื่อใครสักคนก้าวเข้าไปสู่ดินแดนแห่งจิตวิญญาณใหม่ พวกเขาจะมีความอาวุโสขั้นสูงสุด ถึงแม้ว่าอาจารย์ของพวกเขาจะยังถือว่าเป็นอาจารย์ แต่ทุกคนนอกเหนือจากกลุ่มการฝึกตนของพวกเขาต้องเปลี่ยนวิธีเรียกพวกเขาไปตามระดับการฝึกตนของแต่ละคน
อีกเรื่องหนึ่งคือหลังจากสองปีของการปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิ ท่านอาจารย์เต๋าโส่วจิ้งได้ผ่านเข้าสู่ขั้นท้ายของดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลังได้อย่างราบรื่นเรียบร้อยแล้ว
พอได้ยินเรื่องนี้ โม่เทียนเกอเพียงแค่ยิ้มแต่ไม่ได้พูดอะไร เมื่อนางบังเอิญเจอหลัวเฟิงเสวี่ยตอนหลัง หลัวเฟิงเสวี่ยมีคำถามซ่อนเร้นเกี่ยวกับความคิดของโม่เทียนเกอในเรื่องนี้ ถึงอย่างนั้นโม่เทียนเกอก็สามารถจะบ่ายเบี่ยงไปได้อย่างสงบนิ่ง
พูดถึงเรื่องนี้ นางยังไม่ได้เจอ “ศิษย์พี่โส่วจิ้ง” คนนี้เลย เมื่อนางกลายเป็นศิษย์ของท่านอาจารย์อย่างเป็นทางการเมื่อสองปีก่อน ศิษย์พี่โส่วจิ้งคนนี้กำลังอยู่ในการปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิ ในวันเวลาส่วนใหญ่ เขาก็ยิ่งชอบปลีกวิเวกมากและไม่เคยออกจากถ้ำเซียนของเขา
อันที่จริงสองเรื่องนี้ก็ไม่ได้สำคัญขนาดนั้น แต่ก็ไม่ใช่เรื่องเล็กเช่นกัน หลังจากจัดการงานที่ตำหนักซ่างชิงมาตลอดสองปีที่ผ่านมา โม่เทียนเกอก็ค่อยๆ สนิทกับผู้มีอำนาจหลักของโรงเรียนเสวียนชิงและยังได้เข้าใจอะไรบางอย่าง
โรงเรียนเสวียนชิงมีผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณใหม่ห้าคนด้วยกัน ในหมู่พวกเขา ประมุขผู้อาวุโสสูงสุด ประมุขเต๋าเจิ้นหยาง อยู่ในขั้นท้ายของดินแดนแห่งจิตวิญญาณใหม่ และประมุขเต๋าจิ้งเหออยู่ในขั้นกลางของดินแดนแห่งจิตวิญญาณใหม่ อีกสามคนที่เหลือ ประมุขเต๋าหลิงซวี ประมุขเต๋าเมี่ยวอี และประมุขเต๋าหวาเหยียน ทั้งหมดอยู่ในขั้นต้นของดินแดนแห่งจิตวิญญาณใหม่
ประมุขเต๋าเจิ้นหยางเป็นที่ยอมรับว่าคือเสาหลักแห่งโรงเรียนเสวียนชิง แต่ผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณใหม่คนอื่นๆ ก็เป็นรากฐานของโรงเรียนเสวียนชิงเช่นกัน การสูญเสียพวกเขาไปแม้แต่คนเดียวจะทำให้พละกำลังของโรงเรียนลดลงเป็นอย่างมาก อย่างไรก็ตาม ตอนนี้อายุขัยของประมุขเต๋าหลิงซวีใกล้จะสิ้นสุดแล้ว ภายในหนึ่งร้อยปีเป็นอย่างมาก ประมุขเต๋าท่านนี้ก็จะต้องตายจากไป
นี่เป็นเหตุว่าทำไมในที่สุดอาจารย์เต๋าเสวียนอินจึงตัดสินใจเข้าสู่การปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิและพยายามสร้างจิตวิญญาณใหม่ของเขา และก็เป็นเหุตว่าทำไมทุกคนถึงดีใจนักที่อาจารย์เต๋าโส่วจิ้งก้าวไปสู่ขั้นท้ายของดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลังได้ ถ้าผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่หนึ่งคนตายไป ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่อีกคนจะจำเป็นต้องมาแทนที่ตำแหน่งของเขาเพื่อรักษาพละกำลังและสถานะของโรงเรียนเอาไว้ให้คงอยู่
แน่นอนว่าเรื่องพวกนี้ไม่มีอะไรเกี่ยวกับโม่เทียนเกอ ตอนนี้ยังมีอีกเรื่องที่ทำให้นางไม่แน่ใจว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
“ศิษย์พี่โม่!” โม่เทียนเกอถูกท่านอาจารย์สั่งให้ไปที่ยอดเขาหลักเพื่อจัดการเรื่องบางอย่าง นางทำตัวรอบคอบมาก แต่สุดท้ายนางก็ยังได้ยินเสียงเรียกที่ฟังดูประหลาดใจและอ่อนโยนมากดังมาจากด้านหลัง ซึ่งกระตุ้นให้นางอยากรีบขึ้นบนผ้าเช็ดหน้าไหมขาวทันทีและบินกลับไปยังถ้ำของนาง
กระนั้นนางก็ปรับสีหน้าพร้อมแสร้งรอยยิ้มอ่อนโยนและหันกลับไป “ศิษย์น้องไป๋”
ศิษย์น้องไป๋คนนี้ไม่ใช่จ้านไป๋ ถึงแม้จ้านไป๋มักจะถูกเรียกว่าเสี่ยวไป๋ อาจารย์ลุงไป๋ หรือศิษย์น้องไป๋ แต่ชื่อจริงของเขาคือจ้าน ทว่าคนผู้นี้มีแซ่ว่าไป๋โดยแท้จริง ชื่อของเขาคือเยี่ยนเฟย เขาเป็นศิษย์ของประมุขเต๋าเจิ้นหยาง ประมุขผู้อาวุโสสูงสุดแห่งโรงเรียนเสวียนชิง เขามีรากวิญญาณเดี่ยวซึ่งถือว่าหาได้ยากยิ่ง ดังนั้นทันทีหลังจากที่เขาเข้าโรงเรียนมา ประมุขเต๋าเจิ้นหยางก็ให้การยกเว้นเขาและรับเขาเข้าเป็นศิษย์ ศิษย์น้องไป๋คนนี้อายุประมาณยี่สิบห้าแล้วตอนนี้และสร้างฐานแห่งพลังของเขาได้เมื่อสามปีก่อน
ตั้งแต่โม่เทียนเกอถูกรับเข้ามาเป็นศิษย์ของประมุขเต๋าจิ้งเหออย่างเป็นทางการ แทบจะทุกเรื่องที่ตำหนักซ่างชิงมักจะถูกส่งมาให้นาง แม้แต่เรื่องบางอย่างระหว่างท่านผู้อาวุโสผู้ยิ่งใหญ่ก็กลายเป็นส่วนหนึ่งในความรับผิดชอบของนาง ดังนั้นนางจึงค่อยๆ ได้ติดต่อกับพวกคนที่ได้รับพรจากสวรรค์อย่างแท้จริงในโรงเรียนนี้
คนที่ได้รับพรจากสวรรค์ในโรงเรียนนี้จัดได้ว่าเป็นคนชั้นยอดในหมู่ศิษย์ระดับหัวกะทิด้วยกัน ก่อนหน้านี้ในสำนักอวิ๋นอู้ ผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังก็ได้รับอนุญาตให้รับลูกศิษย์ลูกหาเข้ามาได้แล้ว ดังนั้นศิษย์หัวกะทิที่นั่นจึงดีกว่าศิษย์ธรรมดาเพียงเล็กน้อย สิ่งต่างๆ นั้นแตกต่างไปในกลุ่มการฝึกตนใหญ่ๆ อย่างโรงเรียนเสวียนชิง มีเพียงผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังเท่านั้นที่มีคุณสมบัติเหมาะจะรับศิษย์เข้ามา พวกคนที่นับถือผู้ฝึกตนการก่อเกิดแก่นขุมพลังในฐานะอาจารย์นั้นเก่งกว่าศิษย์ทั่วไปมากนัก ยิ่งไปกว่านั้น ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์หรือความเข้าใจของพวกเขาก็ห้ามขาดตกบกพร่อง ศิษย์หัวกะทิประเภทนี้นั้นเหนือกว่าศิษย์ธรรมดาเป็นอย่างมาก ถึงอย่างนั้นก็มีเพียงศิษย์ของผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ที่มีระดับการฝึกตนดีโดดเด่นเท่านั้นถึงจะคู่ควรกับชื่อว่าได้รับพรจากสวรรค์
ตัวอย่างเช่น ยอดเขาวสันต์กระจ่างของพวกเขามีคนหนึ่งที่มีชื่อเรียกเช่นนี้ นั่นคืออาจารย์เต๋าโส่วจิ้ง เขาเริ่มฝึกตนเมื่ออายุแปดขวบ นับถือประมุขเต๋าจิ้งเหอในฐานะอาจารย์ทันทีหลังจากเขาเข้าโรงเรียน สร้างฐานแห่งพลังของเขาได้เมื่ออายุยี่สิบปีและก่อขุมพลังเมื่ออายุเจ็ดสิบแปด เขาเป็นผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังที่มีโอกาสประสบความสำเร็จในการเข้าสู่ดินแดนแห่งจิตวิญญาณใหม่สูงที่สุด และคนส่วนใหญ่ที่โรงเรียนเสวียนชิงคาดหวังกับเขาไว้สูง
หลังจากได้ประมุขเต๋าจิ้งเหอมาเป็นอาจารย์ของนาง โม่เทียนเกอเองก็ถือได้ว่ามีชื่อเรียกเช่นนั้นได้ นางยังอายุน้อยมากแต่ระดับการฝึกตนของนางอยู่ในขั้นกลางของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังแล้ว ท่านอาจารย์ของนางใส่ใจนางและตั้งความหวังกับนางไว้สูง การเข้าสู่ดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลังต้องเกิดขึ้นแน่ไม่ช้าก็เร็ว อันที่จริงมีโอกาสสูงมากที่นางจะสามารถสร้างจิตวิญญาณใหม่ได้
ไป๋เยี่ยนเฟยคนนี้ก็เหมือนกัน เกี่ยวกับสถานะของเขา เขาเป็นศิษย์คนสุดท้ายของประมุขผู้อาวุโสสูงสุด ประมุขเต๋าเจิ้นหยาง ส่วนระดับการฝึกตนของเขา เขาสร้างฐานแห่งพลังเมื่ออายุยี่สิบสองปี ตอนนี้เขาเพิ่งอายุยี่สิบห้า ดังนั้นอนาคตของเขาจึงสดใสมาก
ถ้าเป็นเมื่อก่อน โม่เทียนเกอคงไม่กล้าเชื่อว่านางจะสามารถสมาคมกับคนที่มีสถานะเช่นนี้ได้เแน่ ตอนนี้ อย่างไรก็ตาม นางมีแต่ความปวดหัว
นี่คือเรื่องว่าความปวดหัวของนางเริ่มขึ้นได้อย่างไร ปัจจุบันนางเป็นคนเดียวที่ทำธุระต่างๆ ให้อาจารย์ของนาง วันก่อนนางบังเอิญไปที่ถ้ำเซียนของประมุขเต๋าเจิ้นหยางเพื่อจัดการบางอย่างแทนในนามท่านอาจารย์ของนาง นางไม่รู้ว่ามีอะไรผิดปกติกับศิษย์น้องไป๋ผู้นี้ แต่เมื่อเขาเห็นนาง เขาก็ทำตัวเป็นกันเองเกินเหตุ และจากนั้นเป็นต้นมาเขามักจะชวนนางให้มาเจอกันอยู่บ่อยๆ
ตอนแรกโม่เทียนเกอคิดว่าไม่น่ามีอันตรายอะไรในการคบค้ากับคนประเภทนี้ แต่ใครจะไปคิดว่าหลังจากเดินทางมาไม่กี่ครั้ง โม่เทียนเกอจะรู้สึกได้ว่าเรื่องต่างๆ มันค่อนข้างแปลก? เห็นได้ชัดว่าศิษย์น้องไป๋ผู้นี้ไม่ตั้งใจจะพูดคุยกับนางในแบบศิษย์พี่น้องด้วยกัน เขาคุยกับนางด้วยความตั้งใจจะตามจีบนางแทน
หลังจากนางรู้ตัว นางก็ใช้ทุกเหตุผลเพื่อปฏิเสธไป๋เยี่ยนเฟยทุกครั้งที่เขาเชิญนางมาเจอกัน อย่างไรก็ตาม นางไม่รู้เลยว่านายไป๋เยี่ยนเฟยคนนี้เป็นอะไร ยิ่งนางปฏิเสธเขามากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งอารมณ์ดีมากขึ้นเท่านั้น เกือบจะทุกครั้งที่นางออกเดินทางไปนอกยอดเขาวสันต์กระจ่าง คนผู้นี้จะใช้ทุกวิถีทางเพื่อให้ได้รู้ว่านางอยู่ที่ไหน แกล้งทำเป็นว่าเขาบังเอิญเจอนางและเกาะติดนางตลอด มันแย่มากเสียจนโม่เทียนเกอไม่กล้าออกไปข้างนอกในช่วงหลังๆ นี้
แต่ถึงแม้นางจะไม่กล้าออกไปข้างนอก สุดท้ายนางก็ต้องไปอยู่ดี เฮ้อ นางต้องจัดการเรื่องบางอย่างแทนท่านอาจารย์ ดังนั้นถ้านางไม่ระวังตัวและเจอเข้ากับไป๋เยี่ยนเฟย นางก็ทำได้เพียงแค่เสแสร้งว่านางไม่รู้เรื่องอะไรขณะที่หาทางสลัดเขาให้หลุดเท่านั้น