ลำนำสตรียอดเซียน - ตอนที่ 142-1 การทะเลาะวิวาทครั้งแรกที่โรงเรียน
“ผู้เฒ่าเต๋าเจิ้นหยาง!” ประมุขเต๋าจิ้งเหอรีบเข้าไปที่ถ้ำเซียนของประมุขเต๋าเจิ้นหยางพร้อมกับตะโกนเยี่ยงเขาเป็นศัตรู “ออกมาข้างนอกเดี๋ยวนี้!”
ถ้ำเซียนของประมุขเต๋าเจิ้นหยางนั้นเรียบง่ายเหมือนกับผู้ฝึกตนทั่วๆ ไป แต่มีทุกสิ่งที่จำเป็นต้องมี การเป็นหนึ่งในสี่หรือห้าของผู้ฝึกตนขั้นสุดท้ายในดินแดนจิตวิญญาณใหม่ของขั้วแห่งท้องฟ้าและเป็นผู้ที่ครองอำนาจสูงสุดในโรงเรียนเสวียนชิง ถ้ำเซียนของประมุขเต๋าเจิ้นหยางนั้นได้รับการป้องกันอย่างหนาแน่นด้วยกำแพงอาคมต่างๆ นับไม่ถ้วน ถ้ามีศัตรูปรากฏออกมา พวกเขาจะต้องไม่มีทางที่จะเข้าไปได้อย่างแน่นอน อย่างไรก็ตาม คนที่กำลังเข้ามาในตอนนี้คือประมุขเต๋าจิ้งเหอดังนั้นศิษย์ผู้เฝ้าประตูจึงปล่อยให้เขาเข้าไปอย่างไร้ข้อจำกัด
ประมุขเต๋าเจิ้นหยางผู้ซึ่งกำลังฝึกตนลืมตาขึ้นมา เพียงแค่การโบกมือ เขาได้เคลื่อนย้ายกำแพงอาคมที่เขาวางไว้บนร่างของเขาออกและอนุญาตให้ประมุขเต๋าจิ้งเหอเข้ามาด้านใน
ในขณะที่ประมุขเต๋าจิ้งเหอสวมเสื้อผ้าที่แสดงให้เห็นถึงความโอ่อ่าราวกับผู้ควบคุม ประมุขเต๋าเจิ้นหยางกลับแต่งกายในชุดคลุมแห่งเต๋าแบบเรียบง่ายของโรงเรียนและมวยผมขึ้นในทรงผมแบบลัทธิเต๋า ผมของเขาเป็นสีขาวแต่ยังมีลักษณะของผิวที่อ่อนเยาว์ เขาดูสงบและเยือกเย็น เพียงแค่การมองในครั้งแรก ทุกคนก็รู้ได้ในทันทีว่าท่านเป็นอาจารย์ที่หลุดจากทางโลกโดยแท้ เขาเป็นผู้หนึ่งที่มีพฤติกรรมโดดเด่นดั่งเซียน
เมื่อเห็นประมุขเต๋าจิ้งเหอพุ่งพรวดเข้ามาในถ้ำของเขา เขาลืมตาขึ้นแต่ก็หลับลงไปอีกครั้ง น้ำเสียงของเขาดูสงบและเยือกเย็น “เกิดอะไรขึ้น”
“เกิดอะไรขึ้นงั้นรึ!? เจ้ายังมาถามข้าอีกหรือว่าเกิดอะไรขึ้น?!” ประมุขเต๋าจิ้งเหอตะโกนด้วยเสียงตำหนิ “ข้าพูด… ผู้เฒ่าเต๋าเจิ้นหยาง บางทีเจ้าอาจจะบังเอิญทราบว่าข้ารับศิษย์ผู้เป็นดั่งของขวัญจากสวรรค์ เจ้าก็เลยรู้สึกอิจฉาข้าแต่ไม่กล้าที่จะพูดออกมา”
ไม่จำเป็นที่จะต้องพูดถึงภายในโรงเรียนเสวียนชิง แต่แม้กระทั่งทั่วทั้งขั้วแห่งท้องฟ้า อาจจะมีเพียงประมุขเต๋าจิ้งเหอที่กล้าพูดเช่นนั้นกับประมุขเต๋าเจิ้นหยาง ที่ผ่านมาประมุขเต๋าเจิ้นหยางนั้นเป็นที่รู้จักว่าเป็นอัจฉริยะ เขาก้าวเข้าสู่ดินแดนจิตวิญญาณใหม่ในช่วงอายุสองร้อยปีและเข้าสู่ขั้นสุดท้ายของดินแดนแห่งจิตวิญญาณใหม่ในช่วงอายุหกร้อยปี หลังจากนั้นเป็นต้นมาเขาก็พัฒนาอย่างต่อเนื่องมาเป็นเวลาหลายร้อยปี น่าจะมีผู้ฝึกตนขั้นสุดท้ายของดินแดนแห่งจิตวิญญาณใหม่เพียงแค่สี่คนที่เทียบเท่ากันกับเขา สาเหตุที่ทำไมถึงไม่แน่ใจว่ามีผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณใหม่สามหรือสี่คนเพราะหนึ่งในนั้น ตาเฒ่าป่าเถื่อนผู้ซึ่งระดับการฝึกตนอยู่ในขั้นสุดท้ายของดินแดนแห่งจิตวิญญาณใหม่ได้เก็บตัวสันโดษอยู่เป็นเวลานานมากแล้ว ไม่มีใครรู้ได้ว่าเขายังคงมีชีวิตอยู่หรือไม่
สำหรับประมุขเต๋าจิ้งเหอ ไม่ว่าจะภายในโรงเรียนเสวียนชิงหรือในขั้วแห่งท้องฟ้า เขาไม่สามารถพิจารณาได้ว่าเป็นผู้ที่ดีที่สุดเมื่อดูจากประสบการณ์การฝึกตนของเขา อย่างที่ดีสุดเขาก็ถือว่าว่าโดดเด่นเท่านั้น อย่างไรก็ตามประมุขเต๋าจิ้งเหอเป็นเพียงคนเดียวที่สามารถพูดเช่นนั้นโดยที่ประมุขเต๋าเจิ้นหยางไม่ตอบโต้กลับ
มันยังคงมีเหตุผลสำหรับเรื่องนี้ เหตุผลแรกถึงแม้ว่าระดับการฝึกตนของประมุขเต๋าจิ้งเหอจะอยู่ในขั้นกลางของดินแดนแห่งจิตวิญญาณใหม่ เขาเป็นคนที่อารมณ์รุนแรงและชอบที่จะต่อสู้ ยิ่งไปกว่านั้นความเข้าใจในการต่อสู้ด้วยพลังเวทนั้นล้ำลึกและเขายังคงมีสมบัตินับไม่ถ้วนรวมถึงวิชาลับต่างๆ แม้กระทั่งผู้ฝึกตนขั้นสุดท้ายของดินแดนแห่งจิตวิญญาณใหม่ที่ยอดเยี่ยมก็ยังไม่มั่นใจว่าจะสามารถเอาชนะเขาได้ง่ายดาย เหตุผลที่สอง อารมณ์ที่หุนหันพลันแล่นของเขาเป็นเช่นนี้ ประมุขเต๋าเจิ้นหยางเข้าใจในเรื่องนี้เป็นอย่างดีดังนั้นทำไมเขาจะต้องเสียอารมณ์ไปต่อสู้กับเขาเพราะเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เช่นนี้ด้วย
เพราะฉะนั้นถึงแม้ประมุขเต๋าจิ้งเหอจะโวยวาย ประมุขเต๋าเจิ้นหยางก็ยังคงสงบนิ่ง ความจริงแล้วเขาไม่ได้มองไปยังประมุขเต๋าจิ้งเหอด้วยซ้ำ
“เจ้ารับศิษย์เข้ามารึ แต่ข้ามีศิษย์ของข้าอยู่แล้ว ทำไมข้าจะต้องอิจฉาเจ้าด้วย”
“เจ้าไม่อิจฉารึ” ประมุขเต๋าจิ้งเหอยิ้มอย่างเหน็บแนม “ถ้าเจ้าไม่ได้อิจฉาข้า ทำไมเจ้าถึงปล่อยให้ศิษย์ของเจ้ามาล่อลวงศิษย์ข้า”
คำถามนี้ทำให้ประมุขเต๋าเจิ้นหยางงงเล็กน้อย ในที่สุดเขาก็ลืมตาและมองไปที่ประมุขเต๋าจิ้งเหอ “ล่อลวง?”
ความหมายนั้นหยาบคาย แต่ประมุขเต๋าจิ้งเหอยังคงพล่ามต่อไป “อย่าบอกข้าว่าเจ้าไม่รู้ เจ้ามักจะปฏิบัติต่อศิษย์ที่มีรากวิญญาณเดี่ยวของเจ้าคนนั้นอย่างกับเป็นสมบัติพิเศษของเจ้า ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเจ้าจะไม่รู้อะไรเกี่ยวกับ ‘ปัญหาใหญ่นี้’ ศิษย์ของเจ้าล่อลวงศิษย์ของข้า!”
ในขณะที่ประมุขเต๋าจิ้งเหอเจตนาย้ำถึง ‘ปัญหาใหญ่’ เขาเลิกคิ้วพร้อมชำเลืองมองไปยังประมุขเต๋าเจิ้นหยาง ความหมายของเขานั้นหมายถึง อย่าพยายามหลอกข้า!
“เจ้าพูดถึงเยี่ยนเฟย?” ประมุขเต๋าเจิ้นหยางเงยหน้าขึ้น มีศิษย์เพียงไม่กี่คนที่มีรากวิญญาณเดี่ยวในโรงเรียนเสวียนชิง ดังนั้นแค่นึกเพียงเล็กน้อยเขาก็รู้ได้ว่าประมุขเต๋าจิ้งเหอพูดถึงใคร
“ขอบคุณสวรรค์ที่เจ้ายังไม่ชรานัก!” ประมุขเต๋าจิ้งเหอพูดอย่างเยาะเย้ย หลังจากนั้นไม่นานเขาพูดอย่างจริงจัง “ผู้เฒ่าเต๋าเจิ้นหยาง ข้าจะบอกเจ้านะ ศิษย์ของข้านั้นเก่งจริงๆ แต่เจ้าจะต้องขอข้าก่อนที่จะให้ศิษย์เจ้ามาล่อลวงนาง หากไม่อย่างนั้นมันจะไม่แย่หรือถ้ามันจะมาทำลายความสัมพันธ์อันดีระหว่างเรา”
ประมุขเต๋าเจิ้นหยางไม่ได้ถูกหลอกได้โดยง่ายและถามกลับไปว่า “นี่เกิดอะไรขึ้นกันแน่ เจ้าควรจะอธิบายให้ชัดเจนหรือไม่ก็หยุดทำให้ข้าเสียเวลาสักที”
ทั่วทั้งโรงเรียนเสวียนชิง คนที่สามารถพูดแบบนั้นกับประมุขเต๋าจิ้งเหอได้มีเพียงประมุขเต๋าเจิ้นหยางเท่านั้น
เมื่อได้ยินคำพูดที่ตรงไปตรงมาเหล่านั้น ประมุขเต๋าจิ้งเหอก็รู้ว่าประมุขเต๋าเจิ้นหยางกำลังหมดความอดทน ใครคนใดคนหนึ่งต้องหยุดเมื่อมีคนล้ำหน้า ดังนั้นประมุขเต๋าจิ้งเหอจึงเลิกชักแม่น้ำทั้งห้า “ศิษย์คนนั้นของเจ้า… ข้าไม่รู้ว่าทานยาอะไรเข้าไป แต่เขาพยายามเข้าใกล้ศิษย์ของข้าอย่างไม่หยุดหย่อน ศิษย์ของข้าไม่กล้าแม้แต่จะออกมาข้างนอกตอนนี้ อะไรกัน นี่เจ้าไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้หรือ”
“ข้าจะไปรู้เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ได้อย่างไร” เมื่อเขาได้ยินเรื่องราวทั้งหมด ประมุขเต๋าเจิ้นหยางก็รู้สึกปวดหัวอย่างช่วยไม่ได้ จิ้งเหอคนนี้ช่างเหลือทน! นี่เขาคิดจริงๆ หรือว่าศิษย์ที่ต้องการเข้าใกล้ผู้หญิงจะต้องรายงานอาจารย์ของตัวเองก่อน มีใครช่างไร้เหตุผลเช่นเขาบ้าง เขาอยู่ในดินแดนแห่งจิตวิญญาณใหม่แล้ว แต่เขายังคงมาหาข้าด้วยตัวเองเพียงแค่เรื่องเล็กน้อยว่าศิษย์ของตัวเองถูกล่อลวง? อย่างไรก็ตามประมุขเต๋าเจิ้นหยางยังคงถามยืนยันเรื่องนี้ด้วยท่าทีที่ไม่รีบร้อนนัก “เจ้ากำลังพูดว่าเยี่ยนเฟยกำลังไล่ตามศิษย์ของเจ้า? อ่า ศิษย์น้อยคนนั้นที่เจ้าเพิ่งรับน่ะหรือ ใช่ไหม”
“คนนั้นแหละ!” ประมุขเต๋าจิ้งเหอพูดพร้อมพยักหน้า หลังจากนั้นเขาตบไหล่ประมุขเต๋าเจิ้นหยางและพูดอย่างจริงจังอีกครั้ง “ศิษย์พี่เจิ้นหยาง อย่าหาว่าข้าไม่ได้เห็นแก่ท่าน ศิษย์ของข้านั้นเยี่ยมยอดจริงๆ แต่ข้าก็ไม่อาจมอบนางให้กับศิษย์ท่านได้ กรุณาบอกศิษย์ของท่านว่าอย่าได้สร้างปัญหาเลย ตกลงไหม”
ประมุขเต๋าเจิ้นหยางพูดอย่างงงๆ “ศิษย์ของข้ายังไม่ได้แต่งงานและศิษย์ของเจ้าก็เช่นกัน แล้วจะมีปัญหาอะไร เรื่องเล็กๆ น้อยๆ นี้ทำให้เจ้าต้องมาหาข้าที่นี่ด้วยตัวเองเชียวหรือ”
เมื่อประมุขเต๋าจิ้งเหอได้ยินเช่นนั้น เขาพูดด้วยความขุ่นเคือง “เรื่องเล็กๆ น้อยๆ?! ข้าบอกเจ้าอย่างหนึ่งนะ นี่ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ!” เขาหันมองทางซ้ายและขวาด้วยท่าทางลับๆ ล่อๆ ก่อนที่จะขยับเข้าไปใกล้ประมุขเต๋าเจิ้นหยาง เขากระซิบ “ศิษย์คนนี้ถูกพากลับมาโดยเจ้าเด็กเหลือขอของครอบครัวข้า เจ้าก็รู้ว่าเด็กเหลือขอคนนั้นเป็นอย่างไร นึกภาพว่าหายากขนาดไหนที่เจ้าเด็กเหลือขอนั่นพาเด็กผู้หญิงกลับมา! ตอนนี้เขากำลังกังวลเกี่ยวกับการสร้างจิตวิญญาณใหม่ ดังนั้นเขาก็ไม่สามารถจัดการเรื่องนี้ได้ด้วยตัวเอง ถ้าข้าไม่ดูแลเรื่องนี้ให้เขา เขาจะต้องโกรธข้าแน่เมื่อเขาทำได้สำเร็จผล!”
หลังจากที่ประมุขเต๋าจิ้งเหอพูดจบ เขาก็เสริมต่อ “เจ้าควรบอกศิษย์ของเจ้าให้หยุดมาวุ่นวายรอบๆ ศิษย์ข้าได้แล้ว บอกเขาว่าอย่าแม้แต่จะคิด!”
เมื่อได้ยินคำอธิบายส่วนแรกของประมุขเต๋าจิ้งเหอ ประมุขเต๋าเจิ้นหยางก็เข้าใจในเรื่องนี้ แต่เพราะประมุขเต๋าจิ้งเหอเพิ่มคำเตือนเข้ามา เขาจึงไม่พอใจในทันที “ศิษย์ของเจ้ามีความแข็งแกร่งในตัวเอง แต่ศิษย์ของข้ามีรากวิญญาณเดี่ยวซึ่งหาได้ยากในช่วงศตวรรษ เขายังหนุ่ม มีแวว และเขาจะต้องมีอนาคตที่สดใสในภายหลังแน่นอน เขาจำเป็นที่จะต้องไปวุ่นวายกับศิษย์ของเจ้าด้วยหรือ ข้าคิดว่าเขาคงเบื่อ ดังนั้นเขาจึงอยากคุยกับศิษย์ของเจ้า คนหนุ่มสาวเขาคุยกัน เจ้าไม่น่าจะต้องไปคิดมากนัก”
“ข้าคิดมากเกินไป?” ประมุขเต๋าจิ้งเหอตะโกน “ถ้าข้าคิดมากเกินไป แล้วทำไมศิษย์ของเจ้าจึงชวนศิษย์ของข้าออกไปบ่อยนัก ผู้เฒ่าเต๋าเจิ้นหยาง เจ้าไม่ควรที่จะทำเป็นตาบอดปกป้องศิษย์ของเจ้า ข้าต้องบอกว่า ถึงแม้ว่าศิษย์ของเจ้าจะครอบครองรากวิญญาณเดี่ยว เขาก็ไม่สามารถเทียบกับศิษย์ของข้าได้แม้แต่น้อย! เจ้าอยากรู้ไหมว่าต้นทุนธรรมชาติของศิษย์ข้าคืออะไร หึๆ ข้าไม่บอกเจ้าหรอก!”
เมื่อเห็นคำพูดอวดดีและโอ้อวด ประมุขเต๋าเจิ้นหยางท่าทางขึงขังมากขึ้น “อย่างนั้นก็ได้! หยุดทำเหมือนกับว่าศิษย์ของเจ้าเป็นทรัพย์สมบัติเสียที! ถ้าศิษย์ของข้าต้องการที่จะฝึกตนร่วมสัมพันธ์ก็มีคนสมัครใจหลายคนที่จะเป็นคู่เขา ทำไมเขาจะต้องพยายามอะไรมากมายเพื่อที่จะเข้าใกล้ศิษย์ของเจ้าด้วย เจ้ากังวลอย่างไร้เหตุผลจริง!”
“นี่… ผู้เฒ่าเต๋าเจิ้นหยาง ข้าจะบอกให้นะ เจ้าก็แค่อิจฉา! อิจฉา!”
“ข้าน่ะรึอิจฉา? ข้ามีศิษย์ที่ครองรากวิญญาณเดี่ยว ข้ายังจำเป็นจะต้องอิจฉาเจ้าด้วยรึ? ด้วยเรื่องเล็กน้อยแค่นี้ เจ้าถึงกับต้องมาหาข้าด้วยตัวเองเชียวหรือ กลับไปซะ!” การที่ศิษย์ของเขาโดนดูแคลนอย่างต่อเนื่องทำให้ประมุขเต๋าเจิ้นหยางรู้สึกรำคาญอย่างมาก เขาสะบัดแขนเสื้อด้วยความโกรธ สั่งให้ประมุขเต๋าจิ้งเหอกลับไปอย่างไม่มีพิธีรีตอง
“เจ้าคิดว่ามาบอกให้ข้ากลับ แล้วข้าจะกลับรึ” ประมุขเต๋าจิ้งเหอโต้ตอบ “ข้าจะบอกเจ้าให้นะ ศิษย์ของข้าครอบครองรากวิญญาณแห่งต้นกำเนิด! เจ้ารู้ว่ารากวิญญาณแห่งต้นกำเนิดคืออะไรใช่ไหม นางยังครอบครองศาสตร์แห่งต้นกำเนิดอีกด้วย! นางอายุยังไม่ถึงสามสิบปีเลย แต่นางก็อยู่ในขั้นกลางของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังแล้ว ศิษย์ของเจ้าทำได้อย่างนั้นหรือเปล่า สำหรับคนที่มีรากวิญญาณเดี่ยวและต้องการขอความรักจากศิษย์ข้า เขายังห่างไกลนัก!”
“รากวิญญาณแห่งต้นกำเนิด?” ประมุขเต๋าเจิ้นหยางกำลังอยู่ในอารมณ์โกรธ แต่เมื่อได้ยินเช่นนั้น เขาก็หยุดครู่หนึ่ง “ศิษย์ของเจ้าครอบครองรากวิญญาณแห่งต้นกำเนิดในสมัยอดีตกาลงั้นหรือ”
“ถูกต้อง!” ประมุขเต๋าจิ้งเหอเชิดหน้าขึ้น
กระนั้นวินาทีต่อมา ประมุขเต๋าเจิ้นหยางยิ้มเยาะอีกครั้ง “นางครอบครองรากวิญญาณแห่งต้นกำเนิดแล้วอย่างไร มันหายสาบสูญไปมากกว่าหมื่นปีแล้ว พวกเราก็ไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วเป็นอย่างไร! อย่างไรก็ตาม ศิษย์ของข้าครอบครองรากวิญญาณเดี่ยวอย่างแท้จริง ถึงแม้ว่าเขาจะบกพร่องไป แต่เขาก็ไม่ได้บกพร่องมากนัก!”
“ผู้เฒ่าเต๋าเจิ้นหยาง!” เมื่อได้ยินสิ่งที่ประมุขเต๋าเจิ้นหยางพูด ประมุขเต๋าจิ้งเหอผู้ที่ยังคงรอให้เขายอมรับในความพ่ายแพ้นั้นหัวเสีย “จะมีรากวิญญาณเดี่ยวไปเพื่ออะไร ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่อย่างเราที่มีรากวิญญาณเดี่ยวก้าวหน้าไปได้กี่คนกัน ผู้เฒ่าซงเฟิงครอบครองรากวิญญาณสามธาตุ แต่เจ้าก็ยังแพ้เขา!”
เมื่อได้ยินสิ่งที่ประมุขเต๋าจิ้งเหอพูดขึ้นมา ประมุขเต๋าเจิ้นหยางโกรธอย่างรุนแรง “ข้าแพ้เขาเมื่อไหร่กัน พวกเราเพียงแค่ไม่เคยเห็นผลลัพธ์สุดท้ายในการต่อสู้ของพวกเราเท่านั้น!” ทันทีหลังจากนั้น เขาพูดอย่างเย้ยหยัน “เจ้าไม่ใช่รึที่มักจะรู้สึกขยะแขยงผู้เฒ่าซงเฟิง แล้วทำไมเจ้าถึงพูดแทนเขาในตอนนี้เล่า อีกอย่าง เจ้าก็มีรากวิญาณเดี่ยว รากวิญญาณเดี่ยวนั้นแย่ๆ จริงหรือ แล้วเจ้าเข้าสู่ดินแดนนี้ได้อย่างไร”
“นั่นก็เป็นเพราะข้ามีรากวิญญาณเดี่ยวที่ข้าเองก็ไม่ได้เห็นว่ามันจะมีอะไรดีนัก! รากวิญญาณเดี่ยวนั้นเยี่ยมยอดแค่ไหนกัน มีคนที่ครองรากวิญญาณเดี่ยวกี่คนที่ไม่สามารถฝึกตนจนถึงดินแดนจิตวิญญาณใหม่ได้” ประมุขเต๋าจิ้งเหอดูจะไร้ซึ่งเหตุผล
ประมุขเต๋าเจิ้นหยางโกรธมากจนหัวเราะออกมาในทันที “ฉินจิ้งเหอ สหายเก่า เจ้าคงต้องการความพ่ายแพ้สินะ เจ้าถึงจงใจมาหาข้าที่นี่ ใช่ไหม ชายแก่ผู้นี้จะทำให้เจ้าสมหวังเอง!” ขณะที่เขาพูด เขาคลำไปรอบๆ และหยิบบางสิ่งออกมา เมื่อเขาเปิดมือที่เกี่ยวกันไว้อยู่ บางสิ่งบางอย่างก็พุ่งออกมาด้านหน้า
ประมุขเต๋าจิ้งเหอหลบออกไปจากทางที่ยืนอยู่ เพียงเสี้ยววินาทีคลื่นพลังวิญญาณระเบิดกำแพงหินด้านหนึ่งจนเป็นผุยผงส่งผลให้เขาโกรธยิ่งขึ้นไปอีก เขาหยิบผลน้ำเต้าออกมาและยกมือขึ้นไฟแท้จริงพุ่งออกมาจากผลน้ำเต้า เขาตะโกน “ผู้เฒ่าเจิ้นหยาง! ถ้าข้าไม่สั่งสอนเจ้า เจ้าก็คงคิดว่าจะกลั่นแกล้งข้าได้ง่ายๆ สินะ!”
แทนที่จะตอบ ประมุขเต๋าเจิ้นหยางกลับเรียกอาวุธเวทออกมาและพุ่งโจมตีอีกครั้ง