ลำนำสตรียอดเซียน - ตอนที่ 142-2 การทะเลาะวิวาทครั้งแรกที่โรงเรียน
โม่เทียนเกอไม่รู้ว่าสิ่งที่นางฟ้องไปนั้นจะทำให้ผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณใหม่ผู้ทรงพลังสองคนของโรงเรียนเสวียนชิงต้องต่อสู้กันและทำให้ถ้ำเซียนของประมุขเต๋าเจิ้นหยางพังราบคาบ
แน่นอนว่านี่เกิดขึ้นเพราะประมุขเต๋าจิ้งเหอนั้นเก่งในการสร้างปัญหา มันเป็นเรื่องเพียงเล็กน้อย แต่เมื่อออกมาจากปากของเขา มันก็จะทำให้คนที่ได้ยินรู้สึกหัวเสียในทันที ดังนั้นการรับผิดชอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ไม่สามารถโทษโม่เทียนเกอได้
ในขณะนั้น นางเข้าไปในห้องเล็กๆ ของเยี่ยเจินจีด้วยท่าทางที่เคร่งขรึม
ในช่วงสองปีที่ผ่านมา เยี่ยเจินจีนั้นสูงขึ้นมากและก้าวหน้าในระดับการฝึกตน เขาเพิ่งเรียนจบจากโถงเหมิงเสวียไม่กี่วันก่อนและได้กลายเป็นศิษย์ทางการ การแบ่งสันปันส่วนระหว่างศิษย์ทางการกับศิษย์หัวกะทิรวมถึงการปฏิบัติต่อพวกเขานั้นแตกต่าง แต่เมื่อเยี่ยเจินจีพักอยู่ที่ตำหนักซ่างชิง โถงคนงานจึงไม่ก้าวก่ายมากนัก มันเป็นเรื่องยากที่จะป้องกันคนอื่นในการพูดถึงเรื่องนี้ ดังนั้นประมุขเต๋าจิ้งเหอจึงออกหน้าไปก่อนโดยบอกให้แบ่งเยี่ยเจินจีมาเป็นศิษย์ของอาจารย์เต๋าโส่วจิ้ง
ในตอนแรกโม่เทียนเกอไม่ได้ชอบใจในความคิดนี้นัก ทำไมเด็กคนที่นางสอนด้วยตัวเองจะต้องกลายเป็นศิษย์ของผู้อื่นด้วย โดยเฉพาะเมื่อคนผู้นั้นไม่ได้ดูแลเขาเลยแม้แต่น้อย
อย่างไรก็ตามประมุขเต๋าจิ้งเหอบอกว่าโม่เทียนเกออยู่เพียงแค่ขั้นกลางของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลัง และไม่ว่านางจะก้าวหน้าในการฝึกตนเร็วแค่ไหน นางก็ยังคงต้องการอย่างน้อยห้าสิบถึงหกสิบปีในการก่อแก่นขุมพลังของตัวนางเองได้ ในตอนนั้นเยี่ยเจินจีก็น่าจะสร้างฐานแห่งพลังได้แล้ว ยาสร้างฐานแห่งพลังจะแบ่งให้กับศิษย์ระดับหัวกะทิและศิษย์ทั่วไปแตกต่างกัน ดังนั้นนางต้องการที่จะกันเยี่ยเจินจีจากการสร้างฐานแห่งพลังของเขาเชียวหรือ
โม่เทียนเกอไม่มีทางเลือกนอกจากตกลงกับความคิดนี้ ตอนนี้เยี่ยเจินจียังคงอยู่กับนางเช่นแต่ก่อน และยังไม่เคยแม้แต่พบเจอกับผู้เป็นอาจารย์ในนามของเขาเลย
โม่เทียนเกอเดินไปทางเตียงหยก เห็นเยี่ยเจินจีนอนเหยียดยาวอยู่บนเตียง นางก็ขมวดคิ้ว จับเขาในท่านั่งหลังจากนั้นจึงวางฝ่ามือลงบนหัวของเขา สอดแทรกพลังวิญญาณเข้าสู่ร่างของเขา
หลังจากเวลาผ่านไประยะหนึ่ง เยี่ยเจินจีส่งเสียงครางออกมาเมื่อเริ่มได้สติ เมื่อเขาเห็นนาง เขากระซิบ “ท่านอา”
โม่เทียนเกอปล่อยตัวเขา “นี่เจ้าไม่คิดจะทานยาและรักษาบาดแผลของเจ้ารึ”
เยี่ยเจินจีหน้าแดง เขารีบหยิบยาวิเศษออกมากิน หลังจากนั้นจึงนั่งหลังตรงในท่าดอกบัว
โม่เทียนเกอมองเขาอยู่ด้านข้าง สังเกตลักษณะอาการของเขาอยู่เงียบๆ
เมื่อตอนที่นางกำลังฝึกตนอยู่เมื่อครู่นี้ นางใช้จิตสัมผัสของนางในการสำรวจสถานการณ์ภายนอก อย่างไรก็ตาม นางพบว่ามีการผันผวนของพลังวิญญาณที่นี่ เมื่อพิจารณาอย่างรอบคอบ นางก็พบว่าพลังวิญญาณภายในร่างกายของเยี่ยเจินจีนั้นสับสนอย่างไม่คาดคิด ยิ่งไปกว่านั้นเขาแสดงให้เห็นว่ากำลังประสบกับการเบี่ยงเบนของพลังวิญญาณ ย้อนกลับไปเมื่อตอนที่นางวางฝ่ามือลงบนหัวของเขา นางก็พบว่าอะไรคือปัญหา เด็กคนนี้ทานยาผสานพลังวิญญาณไปหลายเม็ด แต่พลังของยานั้นแรงเกินไปและไม่สามารถควบคุมได้ ส่งผลให้เขาเกือบที่จะต้องเผชิญกับการเบี่ยงเบนของพลังวิญญาณ
หลังจากนั้นไม่นาน พลังวิญญาณภายในร่างกายของเยี่ยเจินจีค่อนข้างนิ่งขึ้น เมื่อเขาลืมตาและเห็นว่านางยืนอยู่ด้านหน้าเขาอย่างสงบนิ่ง เขารีบก้มหัวลง “ท่านอา ข้าขอโทษขอรับ”
โม่เทียนเกอเรียกคืนสติและส่ายหัว “เจ้าจะมาขอโทษข้าทำไม”
“… ข้าทำให้ท่านต้องเป็นกังวล”
คำตอบของเขาทำให้นางต้องถอนใจ นางนั่งลงข้างเขาและพูด “แล้วอะไรที่ทำให้ข้าเป็นกังวลกัน สุดท้ายแล้วคนที่ต้องทนกับผลนั้นก็คือตัวเจ้า จำเอาไว้นะ เจ้าฝึกตนไม่ใช่เพื่อข้า แต่เพื่อตัวเจ้าเอง”
“ขอรับ” เยี่ยเจินจีตอบ เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะถาม “ท่านอา ท่านไม่ว่าข้าหรือ”
“ว่าเจ้าเพื่ออะไร”
“ข้า… ตอนนี้อุบัติเหตุเกิดขึ้นเพราะข้ากินยาผสานพลังวิญญาณตามใจตัวเองมากเกินไป ท่านไม่ว่าข้าหรือที่ทำตัวสะเพร่า”
โม่เทียนเกอหัวเราะ “ข้าจะว่าเจ้าเพื่ออะไร สิ่งสำคัญที่สุดคือเจ้าไม่ทำผิดแบบเดิมซ้ำอีกในอนาคต อืม ถ้าเจ้ายังคงรู้สึกไม่ค่อยดี เจ้าก็บอกข้าได้ ทำไมเจ้าถึงทานยาผสานพลังวิญญาณหลายเม็ดในครั้งเดียว เจ้าไม่คิดว่าจะมีสิ่งที่ผิดปกติเกิดขึ้นบ้างหรือ”
“คือ…” เยี่ยเจินจีหยุดครู่หนึ่งก่อนที่จะตอบอย่างซื่อตรง “ข้าคิดว่าระดับการฝึกตนของข้าพัฒนาช้าไป ดังนั้นข้าจึงอยากทานยาวิเศษบางอย่างเพื่อเพิ่มมัน”
“การฝึกตนพัฒนาช้าเกินไป…” โม่เทียนเกอหัวเราะอย่างช่วยไม่ได้ “เจ้าเพิ่งจะอายุสิบสอง แต่เจ้าอยู่ในขั้นสามของดินแดนการหลอมรวมพลังวิญญาณแล้ว นี่เรียกว่าช้าได้อย่างไร”
“แต่… หวาหลิงนั้นอยู่ในขั้นห้าของดินแดนการหลอมรวมพลังวิญญาณแล้วทั้งๆ ที่อายุเท่ากันกับข้า!”
หวาหลิงเป็นศิษย์ของอาจารย์เต๋าหมิงเจิน ซึ่งเป็นศิษย์อาวุโสลำดับสองของประมุขเต๋าจิ้งเหอ เพราะเขาอายุเท่ากันกับเยี่ยเจินจี เขาก็สามารถมองได้ว่าเป็นสหายของเจินจี
โม่เทียนเกอพูดด้วยรอยยิ้ม “หวาหลิงมาจากครอบครัวของท่านอาจารย์ลุงหมิงเจิน รากวิญญาณของเขาดีกว่าเจ้า และเขาได้รับการสอนอย่างรอบคอบมาตั้งแต่ยังเด็ก เจ้าจะไปเทียบกับเขาได้อย่างไร”
เยี่ยเจินจียู่ปากและก้มมองต่ำ “ข้ารู้ว่าความสามารถของข้าไม่ได้ดีเท่าเขา แต่นั่นก็หมายความว่าข้าก็จะด้อยกว่าเขาไปตลอดหรือ”
“ไม่แน่นอนอยู่แล้ว” โม่เทียนเกอพูดขณะที่ลูบหัวเยี่ยเจินจี “ความถนัดเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอต่อเส้นทางของการฝึกตนหรอก เจ้าอาจจะยังไม่สามารถเทียบกับเขาได้ในตอนนี้ แต่ตราบใดที่เจ้าฝึกตนอย่างจริงจัง เจ้าจะต้องสามารถก้าวนำเขาได้ในวันหนึ่งอย่างแน่นอน อีกอย่างเจ้าก็ได้ก้าวข้ามถึงสองขั้นจากขั้นแรกมาขั้นที่สามภายในสองปี ในขณะที่หวาหลิงผู้ซึ่งฝึกตนมาก่อนเจ้า เพิ่งก้าวเข้าสู่ขั้นห้าด้วยความยากลำบากไม่กี่วันที่ผ่านมานี้เอง แล้วเจ้าจะต้องกลัวอะไร”
เยี่ยเจินจียังคงก้มหัวต่ำและสงบนิ่ง เมื่อเห็นเช่นนั้น โม่เทียนเกอรู้ว่าเขายังคงไม่มั่นใจ ดังนั้นนางจึงยิ้มและพูดว่า “งั้นทำอย่างนี้แล้วกัน เจ้าจะต้องฝึกตนอย่างจริงจังเป็นเวลาสิบปีหลังจากนั้นจึงเทียบกับเขา ดูซิว่าเจ้าหรือเขาจะสร้างฐานแห่งพลังได้ก่อนกัน เจ้าคิดว่าอย่างไร”
เยี่ยเจินจีครุ่นคิดถึงคำพูดของโม่เทียนเกอ คิดว่าโอกาสที่จะประสบความสำเร็จในการสร้างฐานแห่งพลังภายในสิบปีนั้นค่อนข้างมากและเป็นไปได้ รอยยิ้มดั่งดอกไม้บานเผยออกมาบนใบหน้าเขาทันที “อือ!”
“อย่างไรก็ดี พวกเราก็ควรจะทำให้ชัดเจนตั้งแต่ตอนนี้ เจ้าจะต้องไม่บุ่มบ่ามทำอะไรที่ทำให้เจ้าต้องเป็นอย่างวันนี้! การฝึกตนจะต้องทำไปทีละขั้นตอน ถ้าเจ้าไม่ระมัดระวังและต้องเจอกับการเบี่ยงเบนทางพลังวิญญาณ การก้าวหน้าของเจ้าก็จะล่าช้าไปเป็นปี สิ่งที่ได้มาในระยะเวลาอันสั้นนั้นไม่เท่ากับที่ต้องเสียไป”
“ตกลง ข้าจะทำตามที่ท่านอาพูดขอรับ”
อีกด้านหนึ่ง เมื่อประมุขเต๋าจิ้งเหอเสร็จสิ้นการต่อสู้ ชุดคลุมสุดหรูวิบวับสีทองลายมังกรถูกเผาและกลายเป็นสีเทาไหม้เกรียม หน้าตาของเขาก็สกปรกไปด้วยหลายสิ่ง ทั้งขี้เถ้าและฝุ่นในนั้น แม้กระทั่งเคราที่สวยงามของเขาก็ถูกเผาไปครึ่งหนึ่ง โดยรวมเขาดูโทรมอย่างโหดร้ายและช่างน่าสงสาร
เขาบินกลับมาที่ยอดเขาวสันต์กระจ่างบ่นพึมพำมาตลอดทาง “ผู้เฒ่าเต๋าเจิ้นหยาง ข้า พ่อของเจ้าทิ้งเจ้าอย่างมีศักดิ์ศรีในวันนี้! ถ้าข้าใช้วิชาสลายพลังหยาง ถึงแม้เจ้าจะไม่ตาย แต่เจ้าก็จะต้องสูญพลังชีวิตของเจ้าไปครึ่งหนึ่ง! ฮึ่ม! เพราะพวกเรามาจากโรงเรียนเดียวกันหรอกนะ ข้าถึงปล่อยเจ้าไปตอนนี้!”
ในขณะที่ประมุขเต๋าเจิ้นหยางกำลังสั่งให้ศิษย์บางคนจัดการเก็บกวาดถ้ำของเขาด้วยท่าทางที่หม่นหมอง หลังจากนั้นไม่นาน เขาเรียกศิษย์หนุ่มของเขาให้เข้าไปหา ทันทีที่พวกเขาเข้าไปยังห้องหินที่ไม่เสียหายและขังตัวเองไว้ภายใน เขาด่าศิษย์ของเขาด้วยความโกรธ “ไอ้เจ้าเด็กเหลือขอ! เจ้าคงว่างมากจนเสียสติไปแล้วสินะ ใช่ไหม แทนที่จะฝึกตนอย่างเหมาะสม เจ้ากลับไปเกี้ยวพาราสีศิษย์ของจิ้งเหอ ไอ้เฒ่าสัตว์ป่านั่น!? เจ้าสามารถเลือกใครก็ได้ แต่เจ้ากลับเลือกศิษย์ของมันเนี่ยนะ! ไอ้เฒ่าสารเลวนั่นมันพวกคดโกง! ถ้าลำแสงเบื้องบนไม่ตรง ลำแสงที่อยู่เบื้องล่างก็คดเคี้ยวเช่นกัน! คิดว่าศิษย์จะดีกว่ามันอย่างนั้นหรือ ระวังความประพฤติของตัวเองและลืมนางซะ!”
ไป๋เยี่ยนเฟยงง “แต่ท่านอาจารย์ ข้าบอกท่านเกี่ยวกับเรื่องนี้ไปก่อนแล้ว…”
ด้วยความประหลาดใจ ประมุขเต๋าเจิ้นหยางพูด “เจ้าบอกหรือ เจ้าบอกข้าเมื่อไหร่”
“ครั้งล่าสุดเมื่อตอนที่ท่านกำลังฝึกตน ข้าบอกท่านว่าข้าต้องการใครสักคนในการฝึกตนร่วมสัมพันธ์ ท่านบอกข้าว่าข้าสามารถทำในสิ่งที่ปรารถนาได้ในเรื่องนี้…”
หลังจากคิดอย่างถี่ถ้วนและรู้สึกว่าจะเป็นเช่นนั้นจริง ประมุขเต๋าเจิ้นหยางรู้สึกละอายใจในทันที อย่างไรก็ตาม เสี้ยววินาทีต่อมา เขายังคงสาปแช่งต่อไปด้วยความโกรธ “ข้าบอกว่าแล้วแต่ที่เจ้าปรารถนา ดังนั้นเจ้าเลยทำในสิ่งที่เจ้าปรารถนาอย่างนั้นเลยหรือ มีผู้ฝึกตนหญิงระดับสูงๆ สวยงามในโรงเรียนของเราตั้งหลายคน เจ้าไปถูกใจกับศิษย์ของไอ้เฒ่าสารเลวนั่นได้อย่างไร ในครั้งนี้เขาไม่ได้ต้องการที่จะพูดคำว่า ‘ฉินจิ้งเหอ’ และตั้งใจที่จะเรียก ‘ไอ้เฒ่าสารเลว’ โดยตรง
ไป๋เยี่ยนเฟยรู้สึกผิดยิ่งขึ้นไปอีก “ข้าพูดไปแล้วว่าข้าจะเลือกศิษย์ของท่านอาจารย์ลุงหลายๆ คน และท่านก็บอกว่าตกลง หลังจากที่พิจารณาพวกนาง มีเพียงแค่ศิษย์พี่โม่เท่านั้นที่เหมาะสมที่สุด…”
“เจ้าไม่ได้บอกคนที่เจ้าเลือก!” ประมุขเต๋าเจิ้นหยางคิดครู่หนึ่งหลังจากนั้นพูดด้วยความโกรธที่พลุ่งพล่าน “อาจารย์ลุงเมี่ยวอีของเจ้าก็มีศิษย์ผู้หญิงอยู่ภายใต้การดูแลของนางไม่ใช่รึ จากที่ข้าจำได้ นางยังไม่ได้อายุมากนัก นางค่อนข้างเหมาะสมกับเจ้า ทำไมเจ้าถึงไม่เลือกนาง”
ไป๋เยี่ยนเฟยชำเลืองมองที่อาจารย์ของเขาอย่างระมัดระวัง “ศิษย์พี่อู๋คนนั้น… นางค่อนข้าง…”
ไป๋เยี่ยนเฟยไม่ทันได้พูดจบ แต่ประมุขเต๋าเจิ้นหยางจะไม่เข้าใจได้อย่างไร เขามองอย่างหงุดหงิดและพูด “เจ้า… ในฐานะของผู้ฝึกตน เจ้าให้ค่าอะไรกับรูปลักษณ์ภายนอก ไม่ว่าพวกนางจะดูสวยหรือน่าเกลียด พวกนางก็เป็นเพียงแค่กระดูกสีขาวภายใต้เนื้อหนัง! อีกอย่างผู้ฝึกตนจะน่าเกลียดได้แค่ไหนกันเชียว ศิษย์ของไอ้เจ้าสารเลวนั่นก็ไม่ได้สวยมากนักเหมือนกัน!”
เมื่อเห็นว่าท่านอาจารย์ของเขาโกรธมากเพียงใด ไป๋เยี่ยนเฟยจึงปิดปากเงียบอยู่อย่างนั้น ตอนนี้ท่านอาจารย์ของเขาเพิ่งจะทะเลาะกับอาจารย์ลุงจิ้งเหอ ถ้าเขาพูดอีก เขาก็เหมือนกับเติมน้ำมันลงบนกองไฟเท่านั้น
ประมุขเต๋าเจิ้นหยางเดินกลับไปมาภายในห้องอยู่หลายรอบก่อนที่เขาจะพูดขึ้นอีก “นี่ถือว่าจบเรื่องนี้แล้วนะ เจ้าจะต้องไม่นึกถึงนางคนนั้นอีกต่อไป ไอ้เฒ่าสารเลวนั่นได้เลือกนางไว้ให้กับเด็กของเขาแล้ว เจ้าไม่มีทางที่จะได้นาง!”
“หา?” ไป๋เยี่ยนเฟยตกใจ “ท่านอาจารย์ ท่านหมายความว่าอย่างไร”
“ข้าหมายความว่า หญิงผู้นั้นเป็นของฉินโส่วจิ้ง เข้าใจไหม”
ข้อมูลนี้ทำให้ไป๋เยี่ยนเฟยตะลึงงัน แต่หลังจากนั้นเขาก็ตะโกน “นี่มันเกี่ยวอะไรกับเขา ข้าสืบเรื่องศิษย์พี่โม่มาก่อน นางไม่มีทีท่าที่จะสนใจในการฝึกตนร่วมสัมพันธ์แม้แต่น้อย!”
“นั่นมันก็ไม่ใช่เรื่องของเจ้า” ประมุขเต๋าเจิ้นหยางจ้องที่ศิษย์ของเขาและยิ้มเยาะ “ไอ้เด็กเหลือขอ จงฉลาดขึ้นมาอีกสักนิดนะ ข้า อาจารย์ของเจ้า เพิ่งทะเลาะกับไอ้เฒ่าสารเลวนั่น ถ้าเจ้ายังคงไล่ตามศิษย์ของเขา นั่นไม่เหมือนกับตบหน้าข้าเลยรึ ลืมนางซะ ถ้าเจ้าต้องการที่จะฝึกตนร่วมสัมพันธ์ เจ้าก็เลือกคนอื่นไป!” เมื่อเขาพูดจบ เขาก็สะบัดแขนเสื้อและออกไปจากห้องหิน
ถึงแม้ว่าเขาจะเข้าใจว่าท่านอาจารย์ไม่ได้ยิ้มเยาะเขา ไป๋เยี่ยนเฟยก็ยังคงเต็มไปด้วยความโกรธเคือง