ลำนำสตรียอดเซียน - ตอนที่ 144-2 การปฏิเสธ
ใบหน้าของไป๋เยี่ยนเฟยเปลี่ยนเป็นสีเขียว
จากนั้นนางก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว “ข้าพยายามพูดอย่างสุภาพแต่เจ้ากลับไม่เข้าใจ ดังนั้นข้าทำได้เพียงแค่พูดตามจริง ศิษย์น้องไป๋ เจ้าคิดว่าตัวเจ้ามีอะไรที่น่าทึ่งมากงั้นหรือ ถ้าไม่มีอาจารย์ลุงเจิ้นหยางแล้วเจ้าจะเป็นอะไร รากวิญญาณเดี่ยวงั้นหรือ จริงอยู่ที่ต้นทุนของเจ้าดีมาก อย่างไรก็ตาม ถ้าทุกอย่างขึ้นอยู่กับต้นทุนเพียงอย่างเดียว เราจะยังฝึกตนกันไปเพื่ออะไร เราน่าจะแบ่งระดับกันตามต้นทุนไปเสียเลย! ถูกต้องที่ศิษย์พี่โส่วจิ้งอายุมากกว่าเจ้าเป็นร้อยปี แต่ต่อให้เจ้าได้เวลาร้อยปี เจ้ามั่นใจหรือว่าเจ้าจะสามารถทำสำเร็จแบบเดียวกับที่เขาทำได้? ข้าจะพูดอย่างตรงไปตรงมา หลังจากหนึ่งร้อยปี เจ้ามั่นใจหรือว่าเจ้าจะสามารถก่อขุมพลังได้”
“แน่นอนสิ ข้าต้องทำได้!” ใบหน้าของไป๋เยี่ยนเฟยแดงก่ำ ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะโกรธหรือเพราะอับอาย “ข้ามีรากวิญญาณเดี่ยว ถึงแม้ไม่มีอาจารย์ของข้า ข้าก็สามารถทำได้แน่! ท่านเอาข้าไปเทียบกับไอ้ฉินโส่วจิ้งนั่น”
“เจ้าเองต่างหากที่เรียกร้องอยากเทียบกับศิษย์พี่โส่วจิ้ง” โม่เทียนเกอจ้องเขาและแสยะยิ้ม “ไม่เป็นไรหรอกหากเจ้าไม่อยากถูกเอาไปเปรียบเทียบกับเขา ถ้าเป็นเช่นนั้น เรามาเปรียบเทียบกันระหว่างเราสองคนดีไหมล่ะ? ข้าอาจจะไม่ใช่ ‘อัจฉริยะที่มีรากวิญญาณเดี่ยว’ แต่ข้าก็อยู่ในดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังขั้นกลางแล้วทั้งที่อายุแค่ยี่สิบเก้าปี แล้วเจ้าล่ะ ศิษย์น้องไป๋ผู้เก่งกาจ เจ้าอายุอ่อนกว่าข้าแค่ไม่กี่ปี ทำไมเจ้าถึงเพิ่งจะสร้างฐานแห่งพลังสำเร็จแค่เมื่อเร็วๆ นี้เอง”
“นั่นเพราะท่านได้รับชะตาลิขิต!” ไป๋เยี่ยนเฟยตะโกน ตัวสั่นไปด้วยความโกรธ “ท่านคิดว่าข้าไม่รู้หรือ ท่านบังเอิญเจอชะตาลิขิตทันทีหลังจากสร้างฐานแห่งพลังได้ ท่านเลยได้เข้าสู่ขั้นกลางของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังทันที!”
“ก็จริง แต่ชะตาลิขิตก็เป็นส่วนหนึ่งของจุดแข็งของคนเช่นกัน” รอยยิ้มของโม่เทียนเกอไม่หายไป “ต่อให้เราเทียบการพัฒนาของเราจากดินแดนการหลอมรวมพลังวิญญาณไปถึงดินแดนการสร้างฐานแห่งพลัง มันจะมีความแตกต่างมากงั้นหรือ ศิษย์น้องไป๋ เจ้าสร้างฐานแห่งพลังเมื่ออายุยี่สิบสองปี แต่ศิษย์พี่โส่วจิ้งสร้างฐานแห่งพลังของเขาเมื่ออายุยี่สิบปี ศิษย์พี่หลิงซีแห่งยอดเขาหยาดน้ำค้างหวานถึงขนาดทำได้ตอนเขาอายุแค่สิบเจ็ดปี เห็นไหม เจ้ายังเอาชนะพวกเขาไม่ได้เลย! งั้นมาพูดถึงตัวข้ากัน ข้าสร้างฐานแห่งพลังเมื่อข้าอายุยี่สิบสามปี ในตอนนั้นข้ายังเป็นคนโชคร้ายที่มีรากวิญญาณห้าธาตุ แต่ข้าช้ากว่าเจ้าไปแค่ปีเดียว เจ้าแน่ใจหรือว่าเจ้าสามารถเอาชนะพวกเราทั้งหมดได้”
ไป๋เยี่ยนเฟยไม่สามารถพูดอะไรได้ เขาสังเกตเห็นว่าโม่เทียนเกอจ้องเขาเหมือนเขาเป็นเด็กไม่รู้เรื่องรู้ราวขณะที่นางพูด “เจ้าควรจะฝึกตนให้ดี ถ้าเจ้าใช้พลังทั้งหมดของเจ้าไปกับเรื่องอย่างการฝึกตนร่วมสัมพันธ์ เจ้าก็ไม่สามารถใช้ชีวิตให้คู่ควรกับชื่อ ‘อัจฉริยะที่มีรากวิญญาณเดี่ยว’ ได้ในร้อยปีหรอก”
“ศิษย์พี่โม่!” ไป๋เยี่ยนเฟยไล่ตามนางอีกครั้ง ไม่แน่ชัดนักว่าเป็นเพราะเขารู้สึกยังคุยกันไม่จบหรือเพราะโกรธกันแน่
ถึงอย่างนั้นครั้งนี้โม่เทียนเกอไม่ได้หยุดอีก นางแค่เหวี่ยงแขนเสื้อ สร้างคลื่นพลังวิญญาณที่กั้นทางเขา เพราะอย่างนั้นไป๋เยี่ยนเฟยทำได้แค่มองอย่างหมดหนทางขณะที่นางก้าวขึ้นบนผ้าเช็ดหน้าไหมขาวและเหาะออกไป
เขายืนนิ่ง รู้สึกทั้งไม่พอใจและอับอาย เขาไม่เคยคิดเลยว่าศิษย์พี่โม่คนนี้จะดูถูกเขาเข้าจริงๆ อย่างไรก็ตาม วิธีที่ศิษย์พี่โม่สกัดกั้นเขาได้อย่างง่ายดายด้วยการเคลื่อนไหวง่ายๆ เมื่อครู่นี้ทำให้เขาเข้าใจ… ว่าเขาไม่เก่งเท่านางจริงๆ
ไม่สิ แน่นอนว่ามันไม่ใช่อย่างนี้! ด้วยความรำคาญ เขาโบกและปล่อยคาถาออกไป ระเบิดพื้นดินเบื้องล่างเขาจนเป็นแอ่งใหญ่ ข้าคืออัจฉริยะที่มีรากวิญญาณเดี่ยว! ข้าคือศิษย์คนสุดท้ายของประมุขเต๋าเจิ้นหยาง! ไม่มีทางที่ข้าจะห่วยกว่าคนอื่น! พวกเขาก็แค่โชคดีก็เท่านั้น!
ทันใดนั้น หน้าผาที่รกร้างขยับเปิดออก ไป๋เยี่ยนเฟยสะดุ้งโหยงและตื่นจากภวังค์ความคิด
เมื่อเขาหันกลับไป เขาเห็นชายคนหนึ่งยืนอยู่ตรงหน้าประตูของประตูหินที่เปิดอยู่ กำลังจ้องอย่างเย็นชามาที่เขา “ศิษย์น้องไป๋ เจ้ามาที่ยอดเขาวสันต์กระจ่างของเราในฐานะแขก ทำไมเจ้าถึงต้องทำลายและทำให้เกิดหลุมบนถ้ำเซียนของข้าด้วยเล่า”
ไป๋เยี่ยนเฟยจ้องอย่างเหม่อลอยไปที่คนผู้นั้นชั่วขณะหนึ่ง แต่ไม่นานก็ดึงสติกลับมาได้ พอถึงเวลาที่เขาได้เห็นชัดๆ ว่าชายคนนั้นคือใคร ความโกรธของเขาก็ยิ่งเพิ่มขึ้นอีกครั้ง “ฉินโส่วจิ้ง! ทั้งหมดเป็นเพราะเจ้า! ข้าจะสู้กับเจ้า!!!”
ไป๋เยี่ยนเฟยเอาอาวุธเวทที่อาจารย์มอบให้เขาออกมาอย่างไม่มีเหตุผลและรีบพุ่งไปข้างหน้าด้วยความเดือดดาล เขาไม่ได้คิดเลยว่าเขาไม่สามารถจะเอาชนะคู่ต่อสู้ของเขาได้แน่จากระดับการฝึกตนของเขา
ฉินซีเพียงแค่ยกมือขึ้น ปล่อยแรงกดดันพลังวิญญาณของเขาออกไปซึ่งตกลงที่ไป๋เยี่ยนเฟยทันที
การเคลื่อนไหวพลังวิญญาณของไป๋เยี่ยนเฟยกลายเป็นเชื่องช้าและยากมากสำหรับเขาที่จะขยับเขยื้อน เขาไม่พอใจ เขาจึงพยายามเคลื่อนพลังวิญญาณของตัวเองด้วยพละกำลังทั้งหมดที่มีเพื่อพยายามสู้กลับ อย่างไรก็ตาม แรงกดดันพลังวิญญาณนี้แข็งแกร่งเกินไป “อุก–” ไป๋เยี่ยนเฟยกระอักเลือดออกมาและล้มลงที่พื้น
ฉินซีถอนพลังวิญญาณของเขาออกและพูดอย่างเรียบเฉย “ศิษย์น้องไป๋ ในเมื่อเจ้าไม่มีความเคารพต่อผู้อาวุโส อย่าโทษข้าที่สั่งสอนเจ้าแทนอาจารย์ลุงเจิ้นหยาง!”
“จ-เจ้า…” ไป๋เยี่ยนเฟยนอนอยู่บนพื้น ไม่สามารถพูดอะไรได้ เขาไม่รู้ว่าเป็นเพราะเขาถูกเอาชนะหรือเพราะเขาโกรธ แต่ขณะที่เขาคิดถึงสิ่งที่เขาเพิ่งเจอมา จู่ๆ ความเศร้าก็ท่วมท้นขึ้นมากะทันหันทำให้เขาร้องไห้ออกมาทันที ทำไมชีวิตของเขาถึงขมขื่นนัก เขาเพิ่งถูกคนคนหนึ่งบอกปฏิเสธ และตอนนี้ศัตรูความรักของเขาก็กำลังให้บทเรียนกับเขา ยิ่งไปกว่านั้น เขายังต้องตกอยู่ในสถานะเช่นนี้ น่าขายหน้าที่สุด!
ขณะที่เขาร้องไห้โฮออกมา ฉินซีถึงกับตกใจ ถึงแม้ว่าเขาจะไม่เคยแสดงความรู้สึกออกทางสีหน้า แต่เขาก็ยังอดไม่ได้ที่จะรู้สึกสับสนระหว่างจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี เขาเห็นศิษย์น้องไป๋คนนี้มานานหลายปี ตอนนี้เขาโตแล้วแต่อารมณ์ของเขายังคงเหมือนเด็ก
หลังจากร้องไห้อยู่พักหนึ่ง ในที่สุดไป๋เยี่ยนเฟยก็เช็ดหน้าและคลานขึ้นจากพื้นพร้อมกับสะอึกสะอื้น ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยคราบน้ำตาและน้ำมูก รวมกับเลือดที่เขากระอักออกมาเปรอะอยู่ทั่วใบหน้า รูปลักษณ์ของคุณชายผู้สง่างามหายไปในทันทีและกลายเป็นแมวหลากสีเลอะเทอะแทน
เขาต้องการยืดตัวเพื่อเขาจะได้ปัดฝุ่นบนชุดคลุมออกและจัดผมให้เรียบร้อยจะได้กลับบ้านในสภาพที่เกลี้ยงเกลา อย่างไรก็ตาม ทันทีที่เขายืนตรง เขาเห็นฉินซีอีกครั้งและรู้สึกโกรธขึ้นมาอีกรอบ “ทำไมเจ้ายังอยู่ที่นี่!”
ฉินซีพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ที่นี่คือถ้ำเซียนของข้า แน่นอนว่าข้าต้องอยู่ที่นี่”
“เจ้า…” เมื่อนึกได้ว่าเขาเพิ่งทำตัวเองขายหน้าต่อหน้าฉินซีมาสักพักแล้ว ทันใดนั้นไป๋เยี่ยนเฟยก็รู้สึกอับอายมากจนเขาอยากตาย เขาจ้องฉินซีอย่างดุดัน แต่ฉินซีแกล้งทำเป็นมองไม่เห็นการจ้องของเขาและเพียงแค่พูดด้วยน้ำเสียงสงบนิ่งและเรียบเฉยเหมือนเดิม “ศิษย์น้องไป๋ ถ้าไม่มีอะไรแล้ว เจ้าควรรีบกลับไปที่ยอดเขาอาทิตย์รุ่งอรุณซะ ข้าจะไม่รั้งตัวเจ้าไว้นานกว่านี้”
“ข้า…” ใครจะอยู่ต่อ!
ฉินซีไม่รอให้เขาพูดจนจบประโยค เขาหันกลับและเข้าไปในถ้ำ ประตูหินปิดลงอีกครั้งและม่านพลังมายาถูกเปิดใช้งาน เปลี่ยนภาพทิวทัศน์กลับไปเป็นยอดเขาที่ปกติธรรมดา
ไป๋เยี่ยนเฟยที่ถูกทิ้งให้อยู่คนเดียวยืนงุนงง ลมพัดใบหน้าที่เหมือนกับแมวหลากสีเลอะเทอะของเขา โดยรวมแล้วเขาช่างเป็นภาพที่น่าสังเวชใจที่ได้เห็น
—
เมื่อโม่เทียนเกอเปิดกำแพงอาคมที่บ้านพักหมิงชินด้วยความโกรธ ภาพที่ปรากฏให้นางเห็นคือเยี่ยเจินจีและเพื่อนของเขา หวาหลิง กำลังหยอกล้อและเล่นกับเสี่ยวหั่วสัตว์วิเศษไฟนรกในสนาม เมื่อเห็นนางเดินเข้ามาด้วยสีหน้าเย็นชา ทั้งสองคนก็ยืนขึ้นทันที
“ท่านอา!”
“อาจารย์ลุง!”
พอสังเกตเห็นว่าพวกเขาดูกลัวแค่ไหน โม่เทียนเกอรีบฝืนยิ้มน้อยๆ “โอ้ หวาหลิงนี่เอง เจ้าทั้งสองกำลังเล่นอะไรกันอยู่?”
“ไม่ ไม่” เยี่ยเจินจีพูดทันที “เราไม่ได้เล่นเสี่ยวหั่ว เรากำลังเล่นกับเสี่ยวหั่ว!”
ครั้งนี้คำตอบของเขาทำให้รอยยิ้มที่แท้จริงปรากฏขึ้นบนใบหน้าของโม่เทียนเกอ ตอนนี้เสี่ยวหั่วเป็นสัตว์วิเศษที่เทียบเท่ากับผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังขั้นต้นแล้ว ด้วยนิสัยเชื่องๆ ของมัน มันจึงกลายเป็นของเล่นของเด็กสองคนนี้ พวกเขามักจะขอเสี่ยวหั่วให้ช่วยพวกเขาทำนั่นทำนี่ พวกเขาคิดว่านางไม่รู้ แต่นางจะไม่รู้ได้อย่างไร แต่พวกเขาเข้าใจขีดจำกัดและไม่เคยเล่นอะไรเกินเลย ดังนั้นนางจึงปล่อยให้พวกเขาทำตามใจ อีกอย่าง พอมีเสี่ยวหั่วอยู่เป็นเพื่อน นางก็ไม่ต้องกลัวว่าพวกเขาจะไปมีอุบัติเหตุอะไร
“เอาล่ะ เจ้าสองคนเล่นต่อไปเถอะ” นางพูดพร้อมลูบหัวเยี่ยเจินจี หลังจากปล่อยให้เด็กชายทั้งสองคนเล่นกันเอง นางก็เดินไปยังห้องฝึกตนต่อ
ภายในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิมก่อนหน้านี้ สายลมเย็นยังคงพัดอย่างอ่อนโยน ท้องฟ้ายังคงสดใส และน้ำก็ยังใสแจ๋ว
โม่เทียนเกอนั่งอยู่ภายในกระท่อมเล็กๆ นางต้องการสงบอารมณ์ที่ยุ่งเหยิงของตัวเอง ดังนั้นนางจึงหยิบเอกสารมาม้วนหนึ่ง อย่างไรก็ตาม หลังจากจ้องอย่างเหม่อลอยอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นนางก็โยนหนังสือและจดหมายทั้งหมดในกระท่อมออกไป
หนังสือและจดหมายที่ทำจากวัสดุหลายอย่างเหล่านั้นตกลงทีละเล่มบนกระดานไม้ไผ่ภายนอกและเกิดเสียงกระทบกันดัง
นางหอบหายใจอย่างหนัก ไม่นานหลังจากนั้น นางนั่งลงและซุกหน้าอยู่ภายในข้อพับแขนของนาง รู้สึกหดหู่ใจอย่างมาก
อาจารย์ลุงจิ้งเหอบอกว่าฉินโส่วจิ้งพาท่านกลับมาเพราะเขาต้องการท่านเพื่อตัวเขาเอง!
อาจารย์ลุงจิ้งเหอบอกว่าฉินโส่วจิ้งพาท่านกลับมาเพราะเขาต้องการท่านเพื่อตัวเขาเอง!
จิตใจของนางเอาแต่ทวนสิ่งที่ไป๋เยี่ยนเฟยพูดซ้ำๆ และไม่ยอมหยุด
ถึงแม้ว่านางจะแสร้งว่าคำพูดเหล่านั้นไม่สำคัญและยังคงท่าทีที่ดีเกี่ยวกับเรื่องนี้ในตอนนั้น แต่นางก็ยังไม่อาจอดกลั้นอารมณ์โกรธที่อยู่ในจิตใจไว้ได้
ที่จริงนางรู้ว่าประมุขเต๋าจิ้งเหอพูดอย่างนั้น ไม่ว่าไป๋เยี่ยนเฟยจะก้าวร้าวแค่ไหน แต่เขาคงไม่บ้าโกหกคำพูดเช่นนั้นหรอก ถึงอย่างนั้นนางก็ไม่รู้เลยว่าคำพูดจริงๆ แล้วพูดว่าอย่างไร ดังนั้นนางจึงไม่รู้ความหมายที่แท้จริงเบื้องหลังมันเหมือนกัน นางอดไม่ได้ที่จะเริ่มเดาไปเรื่อย พวกเขามีแผนเช่นนั้นจริงๆ หรือ
ด้วยโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนของนาง นางไม่กลัวต่อให้คนอื่นคิดร้ายกับนาง แต่เพียงแค่… นางรู้สึกไม่ชอบใจถ้าคนคนนั้นมีเจตนาชั่วร้ายกับนางจริง