ลำนำสตรียอดเซียน - ตอนที่ 145-2 เฉลิมฉลองให้กับการเข้าสู่ดินแดนจิตวิญญาณใหม่
การจลาจลของสัตว์ปีศาจเพิ่งจบลงอย่างเป็นทางการ เพราะโรงเรียนเสวียนชิงได้ทำการปิดผนึกภูเขาล่วงหน้า สูญเสียผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังและระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังไปหลายคน แต่ศิษย์ระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณส่วนมากนั้นยังอยู่รอดปลอดภัย ศิษย์หลายคนที่มีต้นทุนดีได้รับการปกป้องไว้ทั้งหมด คาดว่าในอีกห้าสิบถึงหกสิบปีต่อไปโรงเรียนน่าจะกลับสู่ความรุ่งโรจน์ตามเดิมอีกครั้ง
ในทางกลับกัน ระหว่างหกกลุ่มการฝึกตนที่ยิ่งใหญ่ โรงเรียนตานติ่งได้สูญเสียความแข็งแกร่งที่จำเป็นต้องรวมอยู่ในเจ็ดกลุ่มผู้ฝึกตนผู้ยิ่งใหญ่ อาจจะต้องใช้เวลาอย่างน้อยหลายร้อยปีในการฟื้นคืนความแข็งแกร่งของพวกเขากลับมา สำหรับสำนักเทียนเต้า พวกเขาเป็นกลุ่มการฝึกตนที่มีพละกำลังมาก ซึ่งสามารถปกป้องศิษย์ที่สำคัญเอาไว้ได้ แต่เนื่องจากการคาดการที่ผิดพลาดตั้งแต่แรกของการจลาจล ความสูญเสียของพวกเขาจึงรุนแรงมากกว่าโรงเรียนเสวียนชิง
อีกกลุ่มการฝึกตนที่ไม่ได้ทนทุกข์ทรมานจากความเสียหายใหญ่หลวงคือโรงเรียนเจิ้งฝ่า ซึ่งตั้งอยู่โซนน้ำแข็งทางด้านเหนือสุดของขั้วแห่งท้องฟ้า พวกเขาได้เปลี่ยนเป็นสำนักเจิ้งฝ่าแล้วในตอนนี้ มีเพียงสาขาเดียวในคุนอู๋ ดังนั้นถึงแม้ว่าจะทรมานจากความเสียหายบ้างแต่ก็ไม่ได้มากมายขนาดนั้น อย่างไรก็ตาม ความเป็นอยู่ในธารน้ำแข็งตอนเหนือสุดค่อนข้างยากลำบาก ถึงแม้ว่าโรงเรียนเจิ้งฝ่าจะเป็นกลุ่มผู้ฝึกตนที่ยิ่งใหญ่เพียงกลุ่มเดียวที่นั่น แต่ความยิ่งใหญ่ของพวกเขาก็ไม่สามารถเทียบได้กับการพัฒนาของสำนักเทียนเต้าหรือโรงเรียนเสวียนชิงแม้แต่น้อย หากไม่อย่างนั้นพวกเขาคงไม่ก่อตั้งสาขาในคุนอู๋
สาเหตุว่าทำไมโรงเรียนเสวียนชิงถึงอยู่อันดับรองลงมาจากสำนักเทียนเต้าก็เพราะมีผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณใหม่น้อยกว่าสำนักเทียนเต้า สำนักเทียนเต้ามีผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณใหม่อยู่ทั้งหมดเจ็ดคน ในขณะที่โรงเรียนเสวียนชิงมีเพียงแค่ห้าคน แต่เมื่อดูจำนวนของศิษย์ ทั้งสองกลุ่มนั้นไม่ได้ต่างกันมากนัก
ในตอนนี้เมื่อประมุขเต๋าเสวียนอินได้เข้าสู่ดินแดนจิตวิญญาณใหม่อย่างไร้ซึ่งอุปสรรค จำนวนผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณใหม่ของโรงเรียนเสวียนชิงจึงเพิ่มเป็นหกคน ถึงแม้ว่าประมุขเต๋าหลิงซวีดูเหมือนว่าจะสิ้นอายุขัยในอีกร้อยปีข้างหน้า แต่อาจารย์เต๋าโส่วจิ้งก็ได้เข้าสู่ขั้นสุดท้ายของดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลังอย่างเรียบร้อยแล้ว ด้วยนิสัยของเขา การเพิ่มผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่อีกหนึ่งคนในโรงเรียนเสวียนชิงภานในร้อยปีข้างหน้าไม่น่าจะเป็นปัญหา อีกอย่างยังคงมีอาจารย์เต๋าหลิงซีผู้ซึ่งเป็นอัจฉริยะที่มีรากวิญญาณเดี่ยว ในขณะนี้เขาได้อยู่ในขั้นกลางของดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลัง มันเป็นไปได้ที่เขาจะสามารถพัฒนามากขึ้นในอีกร้อยปีข้างหน้า
เมื่อถึงเวลานั้น จำนวนผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณใหม่ของโรงเรียนเสวียนชิงก็จะเพิ่มเป็นเจ็ดคน และเกือบทั้งหมดนั้นล้วนเป็นคนที่อยู่ในช่วงเวลาที่ดีที่สุดซึ่งยังไม่ได้ใช้อายุขัยของพวกเขาไปถึงครึ่งด้วยซ้ำ ตอนนี้ประมุขเต๋าเจิ้นหยางอายุพันปี ระดับการฝึกตนของเขาอยู่ในขั้นสุดท้ายของดินแดนจิตวิญญาณใหม่ ดังนั้นจึงมีโอกาสค่อนข้างสูงที่เขาจะอยู่ไปได้อีกเจ็ดร้อยถึงแปดร้อยปี ประมุขเต๋าจิ้งเหอมีอายุอยู่ที่แปดร้อยปีและระดับการฝึกตนของเขาได้อยู่จุดสูงสุดของขั้นกลางในดินแดนจิตวิญญาณใหม่แล้วในตอนนี้ ตราบใดที่เขาได้ครอบครองชะตาลิขิต เขาก็จะสามารถก้าวเข้าสู่ขั้นสุดท้ายได้ ผู้ที่มีสายตาแหลมคมน่าจะสามารถคาดเดาได้ว่าโรงเรียนเสวียนชิงจะรุ่งโรจน์ขนาดไหนในอีกไม่กี่ร้อยปีข้างหน้า
ในทางกลับกัน ถึงแม้ว่าสำนักเทียนเต้าจะมีผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่อยู่เจ็ดคน สามคนในนั้นแทบจะสิ้นอายุขัยแล้วและดูเหมือนว่าจะสิ้นชีวิตลงในอีกสองร้อยถึงสามร้อยปีข้างหน้า ยิ่งไปกว่านั้นผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังของพวกเขาก็ยังด้อยกว่ารุ่นของผู้ฝึกตนอายุน้อยที่มีความสามารถที่โรงเรียนเสวียนชิงมีเสียอีก
เพราะฉะนั้นเมื่อประมุขเต๋าเสวียนอินประสบความสำเร็จในการก้าวเข้าสู่ดินแดนจิตวิญญาณใหม่ และโรงเรียนเสวียนชิงได้ส่งคำเชิญให้กับกลุ่มการฝึกตนที่มีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน เหล่ากลุ่มการฝึกตนที่ได้รับคำเชิญต่างครุ่นคิดว่าควรที่จะส่งเครื่องบรรณาการใดมาเพื่อพัฒนาความสัมพันธ์ที่มีต่อโรงเรียนเสวียนชิงให้ลึกซึ้งขึ้น
ระหว่างพวกเขา ท่านผู้อาวุโสผู้ยิ่งใหญ่สูงสุดของสำนักเทียนเต้าเป็นผู้ที่ลังเลที่สุดเกี่ยวกับเรื่องนี้ นี่เป็นสิ่งที่บ่งบอกว่าตำแหน่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของกลุ่มการฝึกตนของพวกเขาในขั้วแห่งท้องฟ้านั้นอาจถูกคุกคาม
กระนั้นไม่ว่าใครจะคิดเช่นไร โรงเรียนเสวียนชิงก็ได้เริ่มเตรียมตัวเฉลิมฉลองในความสำเร็จของประมุขเต๋าเสวียนอินที่เข้าสู่ดินแดนจิตวิญญาณใหม่อย่างกระตือรือร้น
—
โม่เทียนเกอต้องปวดหัว… หนักหน่วงทีเดียว
แขกผู้มาเยือนมากมายมางานฉลองจิตวิญญาณใหม่ของโรงเรียนเสวียนชิงในครั้งนี้ แขกทั่วๆ ไปจะรับรองด้วยศิษย์การหลอมรวมพลังวิญญาณ แต่สำหรับแขกระดับสูง ศิษย์ระดับหัวกะทิเช่นพวกนางจะต้องเป็นคนรับรองด้วยตัวเอง
เพราะเรื่องนี้โม่เทียนเกอได้สาปแช่ง ‘ศิษย์พี่โส่วจิ้ง’ อยู่ภายในใจผู้ซึ่งอ้างว่ากำลังปิดประตูแห่งจิตเพื่อฝึกตน ทำไมเขาถึงมีอิสระจากเรื่องนี้ได้เพียงแค่คำพูดไม่กี่คำในขณะที่นางต้องพักทุกอย่างที่เกี่ยวกับการฝึกตนเพื่อทำให้ตัวเองต้องมายุ่งเกี่ยวกับการจัดการเรื่องเหล่านี้ด้วย
แต่ทั้งหมดนี้ก็เป็นความคิดของประมุขเต๋าจิ้งเหอ ดังนั้นนางจึงต้องเชื่อฟัง และทำในสิ่งที่นางโดนบอกให้ทำ
เกี่ยวกับอาจารย์ของนางคนนี้ ถึงแม้ว่านางจะไม่ได้ปฏิบัติต่อเขาด้วยความเคารพนัก นางก็เคารพเขาอย่างแท้จริงภายในใจของนาง สถานะปัจจุบันและเส้นทางที่ราบรื่นในการฝึกตนของนางนั้นเกิดขึ้นเพราะเขา
“ยินดีต้อนรับสู่ภูเขาไท่คัง สหายแห่งเต๋าที่น่ายกย่องทั้งหลาย ข้าได้รับคำสั่งให้มาต้อนรับพวกท่าน ข้าโม่เทียนเกอ ศิษย์แห่งประมุขเต๋าจิ้งเหอ”
ครั้งนี้ผู้ฝึกตนที่มาถึงมาจากกลุ่มการฝึกตนขนาดกลาง ระดับการฝึกตนของพวกเขาไม่ได้สูงแต่ก็ไม่ได้ต่ำนัก ผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังได้การรับรองจากศิษย์พี่ผู้ฝึกตนการก่อเกิดแก่นขุมพลังของนางแล้ว ดังนั้นนางจึงรับหน้าที่ดูแลต้อนรับศิษย์ที่มากับพวกเขาแทน ถึงแม้ว่านางจะต้อนรับพวกเขาด้วยตนเอง มันก็ไม่ได้แสดงถึงการไม่ให้เกียรติด้วยสถานะตำแหน่งของนาง
เป็นไปตามที่นางคาด เมื่อศิษย์ทั้งเจ็ดหรือแปดคนนี้ได้ยินตัวตนของนาง พวกเขาประหลาดใจในทันที หลังจากนั้นไม่นาน พวกเขาก็ตอบรับการทักทายของนางทีละคน สายตาของพวกเขาล้วนเต็มไปด้วยความชื่นชม
หนึ่งในนั้นเป็นคนที่ค่อนข้างมีไหวพริบและพูดอย่างคล่องแคล่ว “คารวะท่านอาจารย์ลุงโม่! ข้าชื่อเหวยซื่อเต๋อ ข้าเป็นศิษย์จากภูเขาปี้หลิง”
โม่เทียนเกอยิ้มกลับทันทีพร้อมตอบ “ศิษย์พี่ไม่จำเป็นต้องเป็นทางการนัก ระดับการฝึกตนของพวกเราไม่ได้ห่างกันแต่อย่างใด ท่านเรียกข้าว่าศิษย์น้องก็พอ”
“นั่นจะถูกต้องได้อย่างไร” ผู้นั้นยิ้มอย่างประจบสอพลอและพูด “อาจารย์ลุงเป็นถึงศิษย์ของประมุขเต๋าจิ้งเหอ หากทำเช่นนั้นจะเป็นการไม่เคารพท่านอย่างมาก”
“ศิษย์พี่สุภาพเกินไปแล้ว” โม่เทียนเกอยิ้มแต่ไม่ได้ดูภูมิใจแม้แต่น้อย “ศิษย์โรงเรียนเสวียนชิงเรียกข้าว่าอาจารย์ลุงเพราะพวกเขากลัวว่าลำดับขั้นความอาวุโสภายในโรงเรียนจะวุ่นวาย ศิษย์พี่ไม่ได้มาจากโรงเรียนเสวียนชิงดังนั้นท่านไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้นหรอก ระดับการฝึกตนของพวกเราค่อนข้างเท่าเทียมกัน พวกเราสามารถพูดคุยกันอย่างเท่าเทียมได้”
“นี่…” ผู้นั้นดูเหมือนกับจะพูดบางอย่าง แต่เสียงแค่นหัวเราะอย่างเยือกเย็นดังออกมาจากกลุ่มคน หลังจากนั้นไม่นาน ใครบางคนก็พูดขึ้นมาอย่างเหยียดหยาม “ศิษย์พี่เหวย ทำไมท่านถึงอยากเป็นผู้เข้าสังคมนัก ท่านไม่ได้มองตัวเองหน่อยหรือ คนบางคนอาจหัวเราะจนหัวแทบหลุดออกจากไหล่ได้เมื่อได้ยินเกี่ยวกับเรื่องนี้!”
คำพูดของคนผู้นั้นเต็มไปด้วยการเหยียดหยามและเยาะเย้ย ทำให้ท่าทางของเหวยซื่อเต๋อเปลี่ยนไปในทันที เขาหันกลับไปจ้องมองชายหนุ่มในกลุ่มคน “ต่งต้าเฟิง ข้าจะไม่ลดตัวเองลงไปต่อปากต่อคำกับคนที่ไร้ซึ่งมารยาทเช่นเจ้า!”
ชายหนุ่มคนนั้นยิ้มเยาะ “เจ้าจะไม่ลดตัวลงมาเถียงกับข้า หรือเจ้ากลัวที่จะต้องถูกหัวเราะจากศิษย์น้องแห่งโรงเรียนเสวียนชิงกันแน่”
“เจ้า…”
ขณะที่เห็นทั้งสองคนดูเหมือนกำลังจะต่อสู้กัน โม่เทียนเกอจึงรีบพูดขึ้นในทันที “ศิษย์พี่ทั้งสอง!”
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม นางก็ยังคงเป็นเจ้าบ้าน ดังนั้นเมื่อพวกเขาได้ยินเสียงนาง ทั้งสองคนจึงหยุดพูดและหันแยกจากกันไป
โม่เทียนเกอยิ้ม “ศิษย์พี่ ในเมื่อทั้งสองท่านมาที่โรงเรียนเสวียนชิงเพื่อแสดงความยินดีต่อท่านอาจารย์ลุงเสวียนอิน เอาเป็นว่าทั้งสองแสดงความเคารพต่อท่านด้วยการจบเรื่องนี้แต่เพียงเท่านี้ดีหรือไม่”
ในเมื่อนางอ้างถึงประมุขเต๋าเสวียนอิน ทั้งสองคนจึงไม่มีทางเลือกนอกจากหยุดการโต้เถียงกัน ทั้งสองคนต่างประกบมือให้นางเพื่อแสดงความขอโทษ “ศิษย์น้องพูดถูกต้องแล้ว” บางทีอาจเป็นเพราะเขาได้ยินชายหนุ่มนั้นเรียกนางว่า ‘ศิษย์น้อง’ เหวยซื่อเต๋อจึงเปลี่ยนวิธีที่เขาเรียกนางเนื่องด้วยเขาไม่ต้องการให้ชายหนุ่มนั้นได้เปรียบไปมากกว่าเขา
โม่เทียนเกอถอนใจอย่างโล่งอก “ทุกท่านเพิ่งเดินทางมาถึงภูเขาไท่คัง ข้าคิดว่าทุกท่านคงเหนื่อยกันมากแล้ว คิดอย่างไรหากข้าพาทุกท่านชมที่พักกันในตอนนี้”
พวกเขาต่างไม่ปฏิเสธใดๆ หลังจากนั้นไม่นาน ศิษย์การหลอมรวมพลังวิญญาณก็ได้นำกลุ่มผู้ฝึกตนเหล่านั้นไปโดยมีโม่เทียนเกอตามหลังเพื่อช่วยจัดการเรื่องที่พัก
เมื่อนางจัดการทุกสิ่งเรียบร้อยแล้วและกำลังจะจากไป ผู้ฝึกตนคนหนึ่งตามนางออกมาจากสวนขนาดเล็ก
โม่เทียนเกอเดินอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่นางจะหยุดในทันทีและเรียกด้วยเสียงอันดัง “นั่นใคร!”
นางถือกระสวยอัปสราและผ้าเช็ดหน้าไหมขาวไว้ในมือ เตรียมพร้อมที่จะต่อสู้เมื่อนางสัมผัสได้ถึงสิ่งผิดปกติ แต่ใครจะรู้ว่าเมื่อนางหันกลับไปนางก็ต้องตกตะลึง
ผู้ฝึกตนที่ตามหลังนางมานั้นอยู่ในระดับต้นของการสร้างฐานแห่งพลังในชุดคลุมสีดำ เขาสูงมาก นางอยู่สูงเพียงแค่ระดับคางของเขาเท่านั้นเอง
“ศิษย์น้อง… เยี่ย?” ผู้ฝึกตนนั้นพูดอย่างสงสัย “เจ้าคือศิษย์น้องเยี่ยใช่หรือไม่?”
เพียงพริบตา โม่เทียนเกอรีบสงบจิตใจของนาง นางหัวเราะเบาๆ “ศิษย์พี่หลิ่ว ไม่ได้พบกันนานทีเดียว”
ผู้นั้นคือหลิ่วอีเตา หนึ่งในสหายเพียงไม่กี่คนที่นางยังคงมีเหลืออยู่ที่สำนักอวิ๋นอู้
เมื่อได้ยินคำตอบของนาง รอยยิ้มกว้างก็ปรากฏออกมาบนใบหน้าของหลิ่วอีเตา เขาก็หัวเราะเช่นกัน เมื่อเขาหยุด ดวงตาของเขามีน้ำคลอเบ้าไปครึ่งหนึ่ง “ศิษย์น้องเยี่ย เจ้ายังมีชีวิตอยู่! เจ้ายังมีชีวิตอยู่จริงๆ! มหัศจรรย์!”
โม่เทียนเกอไม่คาดคิดว่าเขาจะเป็นคนที่อารมณ์อ่อนไหวเช่นนี้ นางจากสำนักอวิ๋นอู้มาแล้ว ดังนั้นมันจึงเป็นเวลานานมากแล้วที่นางนึกถึงพวกเขาครั้งล่าสุด ในเวลานั้น นางหนีไปเพื่อชีวิตของตัวเอง ดังนั้นนางจึงไม่กล้าที่จะอำลาพวกเขาเหล่านั้นแม้แต่น้อย อีกอย่างผู้คนที่นางใส่ใจนั้นล้วนแล้วแต่มีครอบครัวหรือตระกูลอย่างเช่นมู่หรงเหยียน หรือมีอนาคตที่พอคาดเดาได้อย่างหลิ่วอีเตา ดังนั้นนางจึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องกังวลเกี่ยวกับพวกเขา ตอนนี้เห็นได้จากความเป็นจริงว่าหลิ่วอีเตาได้เป็นผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังและยังได้มาร่วมแสดงความยินดีในฐานะตัวแทนของสำนักตัวเองอีกด้วย เขาเป็นไปด้วยดีทีเดียว โม่เทียนเกอรู้สึกมีความยินดีมาก แต่เพราะนี่เป็นสิ่งที่นางคาดการณ์ไว้นางจึงสงบลงได้อย่างรวดเร็ว
หลังจากนั้นไม่นาน หลิ่วอีเตารีบดึงสติกลับคืน “ศิษย์น้องเยี่ย อย่าได้ถือโทษโกรธข้า ได้พบกับสหายเก่าทำให้ข้าลืมตัวไปหน่อย”
“ศิษย์พี่หลิ่วรู้สึกยินดีกับข้า ข้าจะถือโทษโกรธท่านเพราะเรื่องนั้นหรือ” เมื่อเห็นหน้าตาท่าทางของหลิ่วอีเตา โม่เทียนเกอนั้นยินดีแต่นางก็รู้สึกงุนงงเล็กน้อย “ศิษย์พี่หลิ่วท่านจำข้าได้อย่างไร”
หลิ่วอีเตาหัวเราะเบาๆ “ข้าถูกจัดให้พักที่นั่น” เขาชี้ไปยังที่พักของแขกไม่ไกลจากพวกเขานัก “เมื่อข้าเห็นเจ้าเข้ามาเมื่อครู่นี้ ข้าคิดว่าข้ามองไม่ผิด คนสองคนจะดูเหมือนกันมากขนาดนั้นได้อย่างไร ถึงแม้ว่าการแต่งตัวของเจ้าในตอนนี้นั้นแตกต่างอย่างสิ้นเชิง ใบหน้าของเจ้าก็ดูคลับคล้ายคลับคลา ดังนั้นข้าจึงตามเจ้ามาเพื่อต้องการการยืนยันอย่างช่วยไม่ได้ โชคดีที่ข้าตามมาถามเจ้า และมันก็เป็นเจ้าจริงๆ!”