ลำนำสตรียอดเซียน - ตอนที่ 146 เรื่องเก่าที่เขาอวิ๋นอู้
โม่เทียนเกอทั้งตกใจและสุขใจที่ได้เจอสหายเก่า ถึงแม้ว่านางจะหนีจากเขาอวิ๋นอู้มาในสภาพน่าเวทนาเมื่อตอนนั้น แต่บัดนี้นางเป็นศิษย์ภายในชั้นสูงของผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่จากโรงเรียนเสวียนชิง กลุ่มการฝึกตนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอันดับสองในขั้วแห่งท้องฟ้า นางไม่มีอะไรจะต้องกลัวต่อให้ตระกูลเจียงแห่งเขาอวิ๋นอู้รู้เกี่ยวกับนาง ดังนั้นนางจึงยอมรับตัวตนของนางด้วยความสงบนิ่ง
ไม่ช้าก็เร็ว นางก็ต้องจัดการกับตระกูลเจียงด้วยตัวเอง! แต่สำหรับตอนนี้ นางจะปล่อยให้ตระกูลเจียงรู้ว่านางยังมีชีวิตอยู่ ว่านางมีชีวิตอย่างดีผ่านทางหลิ่วอีเตา ทำให้พวกเขาโกรธก็ไม่ใช่ความคิดที่แย่เหมือนกัน
ทั้งสองคนไม่ได้เจอกันมาสิบสองปี หลังจากรำลึกความหลังกันอยู่พักหนึ่ง โม่เทียนเกอชวนหลิ่วอีเตาให้แวะไปที่บ้านของนาง
เมื่อเห็นว่านางอาศัยอยู่ภายในถ้ำเซียนของประมุขเต๋าจิ้งเหอแล้วยังได้ยินที่ศิษย์เฝ้าประตูเรียกนางว่าอาจารย์ลุง หลิ่วอีเตาดูประหลาดใจโดยแท้ เขาอดไม่ได้ที่จะถามว่า “ศิษย์น้องเยี่ย ทำไมพวกเขาถึงเรียกเจ้าว่าอาจารย์ลุงล่ะ”
โม่เทียนเกอยิ้มแต่ไม่ได้ตอบ สาวใช้คนหนึ่งจึงถือโอกาสตอบแทนนาง “อาจารย์ลุงโม่เป็นศิษย์ภายในชั้นสูงของท่านปรมาจารย์จิ้งเหอเจ้าค่ะ ดังนั้นพวกเราจึงต้องเรียกว่านางว่าอาจารย์ลุง”
พร้อมกับสถานะที่สูงขึ้นของโม่เทียนเกอและฐานะมั่นคงที่นางได้รับในโรงเรียนเสวียนชิง พวกสาวใช้ก็ประพฤติตัวดีขึ้นเช่นกัน ไม่เพียงแต่พวกนางจะไม่กล้าทำอะไรให้นางต้องลำบาก แต่พวกนางยังแย่งกันมาประจบสอพลอนางด้วย
คำตอบของสาวใช้ทำให้หลิ่วอีเตาตกตะลึง เมื่อเขาบังเอิญเจอ ‘ศิษย์น้องเยี่ย’ ผู้นี้ในโรงเรียนเสวียนชิง แต่เดิมเขาคิดว่านางสามารถเข้าโรงเรียนเสวียนชิงมาได้และถึงขนาดสร้างฐานแห่งพลังได้ก็เพราะโชคดี เขาไม่เคยคาดคิดเลยว่านางจะมีสถานะเช่นนี้จริงๆ!
ด้วยการโบกมือหนึ่งที โม่เทียนเกอบอกชิงฉีผู้ที่มาเพื่อส่งชาให้ออกไป จากนั้นนางเชิญหลิ่วอีเตานั่ง “ศิษย์พี่หลิ่ว เชิญนั่งสิ”
ภายในห้องนั่งเล่นเล็กๆ ทั้งสองคนนั่งลงด้วยกัน หลิ่วอีเตาใช้เวลาสักพักจดจ่ออยู่กับการดื่มชา แต่สุดท้ายเขาก็อดที่จะถามไม่ได้ว่า “ศิษย์น้องเยี่ย เกิดอะไรขึ้นกับเจ้าในหลายปีที่ผ่านมานี้ ไม่เพียงแต่เจ้าจะเข้าถึงดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังขั้นกลาง แต่เจ้ายังได้รับเข้ามาเป็นศิษย์ของผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณใหม่อีกด้วย!”
โม่เทียนเกอหัวเราะเบาๆ “ข้าแค่โชคดีน่ะ” นางหยุดครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ “ย้อนไปตอนนั้น ทุกคนคิดว่ารากวิญญาณของข้าเป็นแค่รากวิญญาณห้าธาตุที่มีกำลังเท่าเทียมกัน แต่หลังจากข้ามาที่โรงเรียนเสวียนชิงแล้วนั่นล่ะข้าถึงรู้ว่าที่จริงมันเป็นรากวิญญาณพิเศษประเภทหนึ่ง ภายหลัง ประมุขเต๋าจิ้งเหอรับข้าเข้ามาเป็นศิษย์ลงนามของเขา หลังจากข้าสร้างฐานแห่งพลังได้ ในที่สุดข้าก็กลายเป็นศิษย์ทางการของเขา”
นางบอกเพียงแค่สรุปคร่าวๆ ของสิ่งที่นางพบเจอมา แต่หลิ่วอีเตากลับตอบด้วยการถอนหายใจยาว “ตอนนั้นเมื่อจู่ๆ เจ้าก็หายตัวไปและหัวหน้าสำนักย่อยเจียงบอกว่าเจ้าเป็นคนทรยศที่ฆ่าเจียงเฉิงเสียน ข้ายิ่งกว่าตกใจสุดขีดซะอีก ในตอนหลัง ไม่มีข่าวคราวเกี่ยวกับเจ้าเลย ดังนั้นข้าจึงคิดว่าเจ้าคง… กลับกลายเป็นว่าที่จริงแล้วเจ้ามาอยู่ที่โรงเรียนเสวียนชิง” หลังจากเขาพูดเช่นนั้น เขาถาม “เอ้อ ศิษย์น้องฉินและศิษย์น้องเจียงหายไปเวลาเดียวกันกับเจ้า ทางสำนักปิดเหตุการณ์นั้นเป็นความลับ ดังนั้นข้าจึงไม่สามารถหาข่าวคราวอะไรได้เลย ข้ามักจะเดาว่าทั้งสองคนต้องมีอะไรเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นั้นแน่ ข้าพูดถูกหรือไม่?”
หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง โม่เทียนเกอพยักหน้าในที่สุด “ใช่ ตอนนั้นข้าหนีจากเขาอวิ๋นอู้เพราะเจียงเฉิงเสียนข่มขู่และบังคับขืนใจข้า ศิษย์พี่เจียงเป็นคนที่ช่วยข้าไว้ แต่เขาต้องถูกดึงมาพัวพันในเรื่องนี้ก็เพราะข้า”
“ศิษย์น้องเจียงช่วยเจ้าไว้?” หลิ่วอีเตาพูดด้วยความประหลาดใจ แต่ปฏิกิริยาของเขาก็ไม่น่าแปลกใจนัก ในตอนนั้นเจียงซั่งหังเฉยเมยต่อพวกเขาโดยสิ้นเชิง แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยว่าเขาจะยอมทำให้ตระกูลของตัวเองไม่พอใจแค่เพื่อช่วยชีวิตนาง นอกจากนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อนางออกจากเขาอวิ๋นอู้ก็เป็นเรื่องน่าตกใจสำหรับเขา
พอเห็นนางพยักหน้า หลิ่วอีเตาก็ใช้เวลาสักพักเพื่อกลั่นกรองความจริงของสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนจะถามต่อ “ถ้าอย่างนั้นแล้วศิษย์น้องฉินล่ะ”
ครั้งนี้โม่เทียนเกอนิ่งเงียบ นานหลังจากนั้น ในที่สุดนางก็พูด “ศิษย์พี่หลิ่วแค่คิดว่าไม่มีคนเช่นนั้นอยู่ในโลกนี้แล้วกัน”
หลิ่วอีเตาตะลึงงัน “ทำไมล่ะ”
“คนคนนี้ไม่มีอยู่จริงในโลกตั้งแต่แรก” โม่เทียนเกอยิ้มแต่ไม่ได้อธิบายต่อ “จริงสิ ทำไมศิษย์พี่หลิ่วถึงไม่ได้ดูตกใจกับเพศที่แท้จริงของข้าเท่าไหร่เลย”
ดูจากการที่นางเปลี่ยนเรื่องอย่างเร็ว หลิ่วอีเตาก็เข้าใจได้ว่านางไม่อยากพูดถึงมันอีกต่อไป ในฐานะผู้ฝึกตนที่ท่องไปทั่วโลกมนุษย์ เขาจึงมีความสามารถในการเข้าใจความคิดของคนผ่านทางภาษากายและการแสดงออกทางสีหน้าของพวกเขา ดังนั้นเขาจึงหยุดถามเรื่องนั้นต่อทันที เขาแค่ยิ้มและบอกว่า “การปลอมตัวของศิษย์น้องเยี่ยในตอนนั้นสมบูรณ์แบบ ไม่มีใครเคยสงสัยว่าศิษย์น้องเป็นผู้หญิงที่แต่งตัวเป็นผู้ชาย กระนั้นมันก็หลีกเลี่ยงไม่ได้สำหรับคนที่ติดต่อพูดคุยกับเจ้าตลอดเวลาอย่างพวกเราที่จะเจอความแปลกประหลาดบางอย่างเกี่ยวกับเจ้า ในตอนนั้นศิษย์น้องสวี…” ขณะที่เขาพูดถึงสวีจิ้งจือ สีหน้าของหลิ่วอีเตาหมองลงเล็กน้อย แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยิ้มทันทีอีกครั้งและพูดต่อ “ศิษย์น้องสวีครั้งหนึ่งเคยแอบพูดกับข้า เขาสงสัยตลอดว่าทำไมเขาถึงรู้สึกว่ามีอะไรแปลกๆ เกี่ยวกับเจ้า…”
นางไม่เคยคาดคิดว่าทั้งสองคนจะพูดเกี่ยวกับเรื่องแบบนี้กันลับๆ นี่เป็นเรื่องในอดีตไปแล้ว แต่ก็ไม่ทำให้นางหายรู้สึกสงสัย “อ้อ?”
หลิ่วอีเตาส่ายหน้าพร้อมหัวเราะ “ที่จริงพวกเราทุกคนรู้สึกเช่นนั้น แต่แค่พวกเราไม่เคยคิดเกี่ยวกับมันมาก”
“จริงรึ ส่วนไหนของข้าที่แปลกล่ะ”
“ตัวอย่างเช่น ศิษย์น้อง เจ้าไม่สูงขึ้นเลย…”
โม่เทียนเกอตะลึงแต่ก็ระเบิดหัวเราะออกมาไม่นานหลังจากนั้น “นั่นเป็นสิ่งที่ข้าไม่สามารถทำอะไรได้…”
หลิ่วอีเตาพยักหน้า “ในตอนนั้นศิษย์น้องฉินแค่บอกว่าเจ้าเป็นผู้ชายที่ดูเหมือนผู้หญิงและไม่มีอะไรน่าแปลกใจ เราคิดว่าเขาพูดถูกเพราะเจ้าก็เหมือนผู้หญิงมาก เพราะเหตุนั้นการได้รู้ว่าที่จริงเจ้าเป็นผู้หญิงเลยไม่น่าแปลกใจมากสำหรับข้า”
“เขาพูดแบบนั้นจริงๆ สินะ…” โม่เทียนเกอพึมพำกับตัวเอง ไม่แปลกใจเลยทำไมเขาถึงดูไม่ตกใจแม้แต่น้อย ปรากฏว่าที่จริงเขารู้มาสักพักแล้ว… ก็ไม่แปลก มีอะไรที่ข้าสามารถปิดบังเขาได้บ้างล่ะ
สีหน้าของนางตอนนี้ทำให้หลิ่วอีเตาลังเลอยู่นาน แต่ในที่สุดเขาก็ยังห้ามตัวเองไม่ให้ถามไม่ได้ “ศิษย์น้องเยี่ย ศิษย์น้องฉินเขา…”
“เขาสบายดี” โม่เทียนเกอพูดพร้อมกับรอยยิ้ม อย่างไรก็ตาม รอยยิ้มนั้นค่อนข้างเย็นชา “เขาสบายดีเกินกว่าจะจินตนาการได้เลยล่ะ เขาดีกว่าพวกเราทั้งสองคนมาก”
คำพูดเหล่านั้นช่างเสียดแทง ความเย็นชาในรอยยิ้มของนางปรากฏขึ้นอย่างเร็วมากเสียจนหลิ่วอีเตาเกือบจะคิดว่าเขาคิดไปเอง ทันทีหลังจากนั้น เขาได้ยินนางพูดว่า “อย่าคุยเรื่องนี้กันเลยศิษย์พี่หลิ่ว เป็นเวลานานมาแล้วตั้งแต่ข้าออกจากเขาอวิ๋นอู้มา เพราะงั้นท่านบอกข้าได้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างหลังจากข้าจากมาในปีนั้น”
หลิ่วอีเตากล้ำกลืนคำถามในใจเขาและพยักหน้า “แน่นอน ได้สิ”
เขาคิดอยู่พักหนึ่งก่อนเริ่มพูด “ข้าจะเริ่มจากตอนที่เจ้าออกจากเขาอวิ๋นอู้ ในตอนนั้น ข้าได้ความดีความชอบจากท่านอาจารย์คนปัจจุบันของข้าและถูกเขารับเข้าเป็นศิษย์ ข้ายังได้รับยาสร้างฐานแห่งพลัง ดังนั้นเมื่อข้าฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ ข้าก็เริ่มปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิอยู่ครึ่งปี โดยไม่คาดคิด โชคของข้าค่อนข้างดี ข้าประสบความสำเร็จในการสร้างฐานแห่งพลัง เพียงหลังจากที่ข้าสร้างฐานแห่งพลังเสร็จและออกจากการปิดประตูแห่งจิต ข้าถึงได้รู้เรื่องพวกเจ้า ศิษย์น้องสวีตายไปในอุบัติเหตุ และเจ้าทั้งสามคนหายไปในเวลาเดียวกัน เราทั้งห้าเคยอยู่อาศัยด้วยกัน แต่สุดท้ายมีเพียงข้าคนเดียวที่ยังเหลืออยู่…” ความโดดเดี่ยวปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหลิ่วอีเตา เขาเคยเป็นผู้ฝึกตนเดี่ยว ดังนั้นเขาจึงเห็นคุณค่าของมิตรภาพมากกว่าพวกผู้ฝึกตนจากตระกูล หลังจากเหตุการณ์ไม่คาดฝันนั้นเกิดขึ้น เขายังรู้สึกเป็นกังวลอยู่นาน เป็นเพราะเหตุนี้เขาถึงตื่นเต้นมากเมื่อเขาได้เจอว่าโม่เทียนเกอยังมีชีวิตอยู่
“ส่วนการหายตัวไปของศิษย์น้องเจียงและศิษย์น้องฉิน ทางสำนักไม่ได้ให้คำแถลงการณ์ใด แต่เจ้ากลับถูกตราหน้าว่าเป็นคนทรยศ พวกเขาบอกว่าเจ้าก่ออาชญากรรมเพื่อเห็นแก่การความร่ำรวยและฆ่าศิษย์น้องเจียงเฉิงเสียน ข้าไม่เชื่อแต่ข้าก็ไม่สามารถหาเจ้าพบ ดังนั้นข้าจึงทำได้เพียงเก็บความคิดเอาไว้ ตอนนี้ที่ข้ารู้ความจริง ในที่สุดข้าก็รู้ว่าตระกูลเจียงนั้นหน้าด้านแค่ไหน โชคดีที่พวกเขาได้รับบทเรียนแล้ว!”
โม่เทียนเกอถามถึงรายละเอียดเพิ่มด้วยความสับสน “พวกเขาได้รับบทเรียนเช่นไร”
หลิ่วอีเตากล่าว “ข้าไม่รู้ว่าผู้เยี่ยมยุทธ์แบบไหนที่อาจารย์ลุงทั้งสองจากตระกูลเจียงไปทำให้ขุ่นเคืองเข้า แต่คืนหนึ่ง หัวหน้าสำนักย่อยเจียงถูกทำร้ายจนเขาบาดเจ็บสาหัส และอาจารย์ลุงเจียงอีกคนก็ไม่ได้รับการยกเว้นและบาดเจ็บสาหัสเช่นกัน ตระกูลเจียงจากนั้นค่อยๆ เริ่มตกต่ำลง ในภายหลังพวกเขาถึงขนาดต้องยอมเสียตำแหน่งหัวหน้าสำนักย่อยไปด้วยซ้ำ”
โม่เทียนเกอดูประหลาดใจแต่ไม่นานก็ดูเหมือนจะเข้าใจบางอย่าง ทำให้หลิ่วอีเตาต้องถาม “ศิษย์น้องเยี่ย หรือเจ้ารู้ว่าใครเป็นคนทำ”
“… อาจจะ” โม่เทียนเกอรีบสงบสติอารมณ์อย่างเร็ว “ศิษย์พี่หลิ่ว แล้วท่านเป็นอย่างไรบ้างในเขาอวิ๋นอู้ทุกวันนี้”
“ก็ไม่เลว” ขณะที่พวกเขาพูดกันเรื่องนี้ หลิ่วอีเตาดูมีความสุข “ท่านอาจารย์ของข้าได้ก้าวเข้าสู่ดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลังแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น ตระกูลเจียงก็ไม่ได้เป็นพวกที่มีสิทธิ์มีเสียงในเขาอวิ๋นอู้อีกต่อไป ที่จริงข้าทำได้ดีมากเลยล่ะตอนนี้”
จากหน้าตาท่าทางของเขา เขาก็ดูเหมือนจะทำได้ดีมากจริงๆ ดังนั้นโม่เทียนเกอจึงรู้สึกดีใจกับเขาเช่นกัน
บรรยากาศระหว่างทั้งสองคนกลับมาเป็นความสุขที่สหายได้กลับมารวมตัวกันอีกครั้งหลังจากแยกจากกันไปนาน หลิ่วอีเตาฉวยโอกาสนี้และถามว่า “มีอีกอย่าง ศิษย์น้องเยี่ย เจ้าต้องรู้สึกดีใจแน่หลังจากเจ้าได้ยิน”
“โอ้?”
หลิ่วอีเตาทำหน้าตาลึกลับ แต่ด้วยรูปร่างกำยำของเขา การทำหน้าตาเช่นนั้นก็ยิ่งน่าหัวเราะ เขาอดไม่ไหวและพูดว่า “สำนักจื่อซย่าคิดว่าการควบรวมสำนักอวิ๋นอู้และโรงเรียนจินเตาจะทำให้ความแข็งแกร่งของพวกเขาเพิ่มสูงขึ้นและจะกลายเป็นหนึ่งในกลุ่มการฝึกตนที่ยิ่งใหญ่ แต่ท้ายที่สุด ในการแข่งขันเพื่อครอบครองยาสร้างฐานแห่งพลัง ศิษย์จากทั้งสามกลุ่มต้องทนทุกข์กับความเสียหายย่อยยับ ภายหลังจากนั้นสักพัก ปรมาจารย์ระดับจิตวิญญาณใหม่ของพวกเขาก็ประสบอุบัติเหตุขณะกำลังฝึกตนอยู่ ทุกวันนี้ความแข็งแกร่งของทั้งสามกลุ่มลดลงอย่างมาก อย่าว่าแต่จะเป็นหนึ่งในกลุ่มการฝึกตนที่ยิ่งใหญ่เลย พวกเขาไม่มีแม้แต่ความสามารถที่จะควบคุมพวกเราและโรงเรียนจินเตา”
“งั้นก็หมายความว่า… สำนักอวิ๋นอู้และโรงเรียนจินเตาถือว่าได้แยกตัวออกมาจากสำนักจื่อซย่าแล้วหรือ”
“เป็นเช่นนั้นไม่มากก็น้อย” หลิ่วอีเตาพยักหน้า “สำนักจื่อซย่ากล้าปฏิบัติกับอีกสองกลุ่มการฝึกตนเช่นนั้นก็เพียงเพราะพวกเขามีผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณใหม่เป็นผู้อุปถัมภ์ ทุกวันนี้ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ของพวกเขาใกล้ตายและสูญเสียศิษย์ระดับสูงของพวกเขาไปจำนวนมาก สำนักจื่อซย่าจะมีเวลามายุ่งกับพวกเราได้อย่างไร ศิษย์น้องเยี่ย เจ้าไม่ใช่คนนอก เพราะงั้นจึงไม่สำคัญหากข้าพูดเรื่องพวกนี้กับเจ้า พวกเราร่วมมือกับโรงเรียนจินเตา เมื่อโอกาสมาถึง เราจะจัดการกับสำนักจื่อซย่าด้วยกัน!”
ความเกลียดชังพลุ่งพล่านปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหลิ่วอีเตา ย้อนไปตอนนั้น ในหมู่ทั้งห้าคนในบ้าน เขามักจะถือว่าตนเองเป็นศิษย์พี่ผู้อาวุโสที่สุดและมักจะดูแลคนอื่นๆ เสมอ อย่างไรก็ตาม สวีจิ้งจือถูกฆ่าตายในการแข่งขันเพื่อชิงยาสร้างฐานแห่งพลัง และตั้งแต่นั้นมา ในจิตใจของหลิ่วอีเตาก็มีไฟคุกรุ่นอยู่ตลอด ตอนนี้เมื่อเขามีโอกาสได้แก้แค้น เขาก็ต้องเข้าร่วมเป็นธรรมดา
“ศิษย์พี่หลิ่ว ในกรณีที่ข้าไม่สามารถกลับไปที่คุนอู๋ตะวันออกได้ ท่านต้องแก้แค้นแทนข้าด้วย” โม่เทียนเกอพูดอย่างเย็นชา “ตอนนั้นเราทำอะไรไม่ได้เพื่อชำระแค้นให้กับศิษย์พี่สวี แต่ไม่ช้าก็เร็ว เราต้องแก้แค้นให้เขา!”
“ถูกต้อง!” ทั้งสองคนยิ้มให้กัน หลิ่วอีเตาอดไม่ได้ที่จะพูดว่า “ศิษย์น้องเยี่ย ตอนนี้เจ้าดูสวยมาก ทำไมเจ้าต้องแสร้งทำเป็นผู้ชายด้วยล่ะตอนนั้น”
โม่เทียนเกอไม่ได้ขี้อายและคนที่ชมนางก็คือหลิ่วอีเตาซึ่งนางนับว่าเป็นพี่ชายคนโตของนางเสมอ ดังนั้นนางจึงไม่รู้สึกเขินแม้แต่นิดเดียว นางเพียงแค่หัวเราะเบาๆ และพูดว่า “ตอนนั้นข้าไม่มีใครคอยหนุนหลังและต้นทุนของข้าก็ด้อย ข้ากลัวว่าข้าจะถูกบังคับให้ทำการฝึกตนร่วมสัมพันธ์หรือแม้แต่ถูกจับให้เป็นเมียน้อยของใครสักคน ข้าก็เลย…”
“อ้อ ข้าเข้าใจ…” หลิ่วอีเตาพูดด้วยความเข้าใจ “ไม่น่าแปลกใจที่เจ้ามีความคิดเหล่านั้น ผู้ฝึกตนหญิงที่ไม่มีผู้อุปถัมภ์หรือต้นทุนที่ดีเพียงพอก็ง่ายต่อการถูกจับคลุมถุงชน แม้แต่ถูกจัดให้เป็นมนุษย์เตาหลอมก็เป็นได้…”
ขณะนั้น อยู่ๆ โม่เทียนเกอก็จดจำบางสิ่งขึ้นมาได้ “อ้อ! ศิษย์พี่หลิ่ว ศิษย์พี่มู่หรง ศิษย์พี่หวังและคนอื่นๆ เป็นอย่างไรบ้าง”
เมื่อนางพูดถึงพวกนาง ความผิดหวังและความไม่พอใจจางๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหลิ่วอีเตา อย่างไรก็ตาม เขาเค้นรอยยิ้มทันทีและพูดว่า “ศิษย์น้องเยี่ยไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับพวกเขาหรอก ศิษย์น้องมู่หรงได้รับการสนับสนุนเต็มที่จากตระกูลของนาง ถึงแม้ว่านางจะล้มเหลวในการพยายามสร้างฐานแห่งพลังครั้งแรก แต่ในที่สุดนางก็ทำสำเร็จไม่นานมานี้ ส่วนศิษย์น้องหวังและศิษย์น้องเฉิน… เมื่ออดีตเจ้าสำนักแห่งสำนักจื่อซย่าตกจากอำนาจ บุตรชายของเขาประสบอุบัติเหตุ ดังนั้นศิษย์น้องเฉินจึงเป็นอิสระแล้วตอนนี้ ศิษย์น้องหวัง…ยังคงเป็นภรรยาของคนผู้นั้นอยู่ แต่เพราะนางเป็นคนมีความสามารถมาโดยตลอด นางจึงปลอดภัยอยู่ในสำนักจื่อซย่า ณ ตอนนี้ ครั้งนี้เราสามารถวางแผนตลบหลังสำนักจื่อซย่าได้จากข้างในและข้างนอกก็เพราะเราร่วมมือกับศิษย์น้องหวังและศิษย์น้องเฉิน อ้อ! พวกนางทั้งสองคนยังสร้างฐานแห่งพลังได้แล้วด้วย”
“เข้าใจล่ะ…” นี่ดีกว่าที่นางจินตนาการไว้เสียอีก คาดว่าอิสรภาพของหวังเชี่ยนอีจากความทรมานของนางก็อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมแล้ว