ลำนำสตรียอดเซียน - ตอนที่ 147-2 พิธีก่อจิตวิญญาณ
พอถึงตอนนี้ ‘เทพธิดา’ เหล่านี้ถูกเชิญให้นั่งประจำที่ พวกเทพธิดาจะไม่คุยกันเสียงดังเหมือนอย่างพวกผู้ฝึกตนชาย ดังนั้นด้านข้างโถงฝั่งนี้ทั้งหมดจึงเต็มไปด้วยเสียงเบาขณะที่พวกนางคุยกัน เสียงนั้นนุ่มนวลและเสนาะหู แต่สิ่งที่พวกนางพูดคุยกันกลับเต็มไปด้วยการเสียดสีกัน
ที่นั่งอยู่รอบโม่เทียนเกอคือผู้ฝึกตนหญิงจากกลุ่มการฝึกตนขนาดกลางสักกลุ่ม ผู้ฝึกตนหญิงที่ดูหยิ่งยโสเหลือบมองใครคนหนึ่งข้างหน้านาง จากนั้นพูดกับสหายศิษย์ที่นั่งข้างๆ นาง “ศิษย์น้อง คือ… ทำไมนะคนบางคนถึงไม่รู้ตัวเองเลยแม้แต่นิดเดียวได้ขนาดนี้ มีศิษย์หัวกะทิจากทุกกลุ่มการฝึกตนอยู่ที่นี่ ทำไมคนที่มีต้นทุนธรรมดาที่โชคดีสามารถเข้าสู่ดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังได้จากการคุ้มครองและช่วยเหลือของบรรพบุรุษของนางถึงช่างกล้าจะโผล่มาที่นี่นะ คนอาจจะหัวเราะกันจนตายก็ได้ถ้าพวกเขารู้เรื่องนี้”
ผู้ฝึกตนหญิงที่นั่งถัดจากนางพยักหน้าตามแต่โดยดี
ถึงอย่างนั้นผู้หญิงอีกคนที่ผู้ฝึกตนหญิงคนนั้นเหลือบมองเพียงแค่เยาะเย้ย “มุมมองของใครบางคนไม่เปลี่ยนไปเลยในแปดร้อยปีที่ผ่านมา นางคิดว่านางมีต้นทุนที่ดีกว่าและเกิดมาสูงศักดิ์ ดังนั้นนางมักจะรู้สึกว่านางอยู่เหนือทุกคน นางไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าคนเขานำหน้านางและทิ้งนางไว้ข้างหลังหมดแล้ว นางยังใช้มุมมองแบบเก่าเพื่อตัดสินคนอื่นอีก!”
“เจ้า–” ใบหน้าของหญิงที่ดูหยิ่งยโสบูดเบี้ยวไปด้วยความโกรธ เห็นได้ชัดว่านางเคยถูกคนอื่นๆ ตามใจ นางค่อนข้างเก่งกับการล้อคนอื่น แต่การยั้งตนเองของนางนั้นไม่ดีเอาเสียเลย
หญิงคนเดียวกันที่ล้อผู้ฝึกตนหญิงหน้าตาหยิ่งยโสยิ้มและถึงกับขยิบตาให้นาง “ศิษย์พี่หยวน ท่านไม่คิดว่าข้าพูดถูกรึ”
การขยิบตาครั้งนี้ทำให้หญิงที่ดูหยิ่งยโสโมโห นางตบโต๊ะและพูดอย่างโกรธๆ “เหอหรูเซวียน แก นางแพศยาหน้าด้าน!”
หญิงที่ชื่อเหอหรูเซวียนแท้จริงแล้วค่อนข้างสวย แต่สิ่งที่สำคัญกว่าคือ… นางมีเสน่ห์และหว่านเสน่ห์มากเกินไป ในทางกลับกัน ถึงแม้ว่าหญิงที่ดูหยิ่งยโสที่ชื่อศิษย์พี่หยวนจะเป็นคนสวยเหมือนกัน แต่ความเข้มงวดของนางทำให้นางขาดเสน่ห์ไป
ทั้งที่ถูกสบถใส่ แต่เหอหรูเซวียนก็ไม่โกรธ ในทางตรงข้าม นางถึงกับจงใจหัวเราะน้อยๆ ในท่าทางดัดจริตและพูดว่า “ศิษย์พี่หยวน ท่านยังโกรธข้าอยู่อีกหรือ ข้าต้องบอกท่านเรื่องนี้ เป็นศิษย์พี่เจิ้นเองนะที่ชอบข้า ข้าไม่เคยมีความรู้สึกเช่นนั้นกับเขาเลย เพราะงั้นทำไมท่านต้องโกรธข้าด้วย”
เห็นได้ชัดว่านางกำลังอธิบายแต่คำพูดของนางเต็มไปด้วยการกระแนะกระแหน ทำให้ศิษย์พี่หยวนคนนั้นโกรธจัดจนทั้งร่างสั่นสะท้าน “เหอหรูเซวียน! เจ้าคิดว่าตัวเองสูงส่งนัก! เจ้ามันก็แค่ขยะที่ชอบนอนกับคนอื่นไปทั่ว! ข้าไม่รู้จริงๆ ว่าเจ้านอนกับผู้ชายไปกี่คนแล้ว!”
ครั้งนี้สิ่งที่นางพูดช่างเปิดหูเปิดตาโม่เทียนเกอจริงๆ ปรากฏว่าแม่เทพธิดาสวยๆ พวกนี้ก็พูดคำหยาบคายที่พวกหญิงที่แต่งงานแล้วในโลกมนุษย์มักจะพูดเมื่อพวกนางทะเลาะกันเหมือนกัน พวกนางก็ไม่ได้ต่างจากผู้ฝึกตนชายเท่าไหร่นักหรอก!
เมื่อได้ยินคำพูดพวกนั้น ใบหน้าของเหอหรูเซวียนเปลี่ยนไปในที่สุด ความโกรธวาบขึ้นมาบนใบหน้านางทันที แต่นางก็รีบกลบเกลื่อนอย่างเร็วและส่งเสียงหัวเราะน้อยๆ อย่างดัดจริต “ศิษย์พี่หยวนพูดอะไรนะ ต่อให้ข้าหลับนอนไปทั่ว นั่นก็เพราะพวกเขายินดีจะนอนกับข้าต่างหาก ข้าไม่ใช่คนที่นอนเปลือยอยู่บนเตียงคนอื่นแล้วยังถูกไล่ออกมานี่นา ในฐานะผู้หญิง นั่นน่ะช่างน่า-ขาย-หน้า!” ด้วยคิ้วที่เลิกสูงและหัวที่เอียงเล็กน้อยเล็งไปทางศิษย์พี่หยวน มันชัดเจนแล้วว่านางกำลังพูดถึงใคร
แน่นอนว่าศิษย์พี่หยวนหน้าแดงก่ำ เห็นได้ชัดว่ามันเป็นความลับ นางไม่เคยคาดคิดว่ามันจะถูกเปิดเผยต่อหน้าคนตั้งมากมาย นางตะโกนทันที “เจ้าพ่นเรื่องไร้สาระอะไรออกมา!”
“ไม่ว่าข้าจะพูดเรื่องไร้สาระหรือไม่ ท่านก็รู้ดีที่สุด ใช่ไหมล่ะศิษย์พี่หยวน” เหอหรูเซวียนปิดปากหัวเราะก่อนจะก้มลงจิบเหล้าองุ่นอย่างอ่อนช้อย
“เจ้า–” ศิษย์พี่หยวนดีดตัวออกจากที่นั่งด้วยความโกรธ เตรียมพร้อมเข้าสู่การต่อสู้ด้วยพลังเวทตลอดเวลา
เมื่อเห็นว่าสถานการณ์เลวร้ายลง โม่เทียนเกอหยุดดูละครตรงหน้าทันทีและยืนขึ้น “ศิษย์พี่ โปรดอภัยให้เราด้วยหากเราไม่ได้เป็นเจ้าบ้านที่ดี…”
“นี่ไม่เกี่ยวอะไรกับเจ้า!” ก่อนที่โม่เทียนเกอจะพูดจบ ศิษย์พี่หยวนคนนั้นก็ตัดบทนางแล้ว “ข้าอยากจะจัดการเรื่องระหว่างข้าและนางแพศยาหน้าด้านนี่!”
ก่อนที่โม่เทียนเกอจะทันพูดอะไร เหอหรูเซวียนแทรกเข้ามาและพูดว่า “ศิษย์พี่หยวน ตอนนี้เราอยู่ที่โรงเรียนเสวียนชิง! ท่านอาจารย์ของคนที่เพิ่งคุยกับท่านคือประมุขเต๋าจิ้งเหอ ผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณใหม่ขั้นกลางผู้สูงศักดิ์ เขาไม่เหมือนกับอาจารย์ลุงหยวนที่เป็นแค่ผู้ฝึกตนขั้นต้นของการก่อเกิดแก่นขุมพลังที่ไม่สำคัญอะไร!”
ดูเผินๆ เหมือนนางกำลังพูดถึงโม่เทียนเกอ แต่ความหมายเบื้องลึกในคำพูดของนางยังตอกย้ำถึงสถานะของศิษย์พี่หยวน บีบบังคับให้ศิษย์พี่หยวนต้องรู้สึกเสียหายอีกครั้งอย่างเงียบๆ อย่างไรก็ตาม เหอหรูเซวียนยังบอกให้รู้ว่าสถานะของโม่เทียนเกอไม่ธรรมดา ไม่เหมือนกับศิษย์ตัวจ้อยไม่มีพื้นเพที่นางเคยกลั่นแกล้งตามใจชอบในสำนักของนาง ศิษย์พี่หยวนยังมีสามัญสำนึกอยู่บ้าง ดังนั้นนางจึงแค่ส่งเสียง “ฮึ่ม” อย่างโมโหและนั่งลงกับที่
รอยยิ้มแห่งชัยชนะปรากฏขึ้นบนใบหน้าเหอหรูเซวียน
โม่เทียนเกแค่มองเฉยๆ ขณะที่การทะเลาะกันนั้นจบลง นางยิ้มให้ศิษย์พี่หยวนและพูดว่า “ดีจริงที่ศิษย์พี่หยวนเข้าอกเข้าใจเป็นอย่างดี เราจะต้องชดเชยให้ศิษย์พี่แน่ถ้าเราเป็นเจ้าบ้านที่ไม่ดี”
โชคดีที่ศิษย์พี่หยวนไม่ใช่คนโง่ เหอหรูเซวียนจงใจชี้ถึงตัวตนของนาง ดังนั้นถึงแม้ว่านางจะอับอาย แต่นางก็ยังรู้ว่าด้วยตัวตนของโม่เทียนเกอ โม่เทียนเกอไม่ใช่คนที่นางจะสามารถทำให้เคืองใจได้ นางจึงยืนขึ้นและโค้ง “ข้าเองที่บุ่มบ่ามเกินไป ข้าหวังว่าศิษย์พี่จะยินดีอภัยให้ข้าด้วย”
โม่เทียนเกอยิ้มและจบเรื่อง “แค่เรื่องเล็กน้อย อย่าได้กังวลใจนัก”
ตอนนี้เมื่อพื้นที่ตรงนั้นกลับสู่ความสงบสุข โม่เทียนเกอแอบเหลือบมองอย่างมีนัยยะไปที่เหอหรูเซวียน นางเห็นได้ชัดว่าศิษย์พี่หยวนมีนิสัยหยิ่งยโสและมุ่งมั่นแต่ก็เป็นคนเรียบง่าย ถ้าไม่ใช่เพราะเหอหรูเซวียนไปยั่วโมโหนาง นางก็คงไม่ลืมมารยาทเช่นนี้ โชคดีที่เหอหรูเซวียนเป็นคนฉลาด เมื่อนางเห็นสายตาของโม่เทียนเกอ นางก็ตอบกลับด้วยรอยยิ้ม ทำให้โม่เทียนเกอถอนใจออกมาอย่างโล่งอกได้
การทะเลาะกันที่โต๊ะนี้จบลง แต่หูของโม่เทียนเกอดันไปได้ยินเรื่องวุ่นวายของโต๊ะถัดไปเข้า
ผู้ฝึกตนหญิงสองคนกำลังเปรียบเทียบความสวยของพวกนางอยู่ ต่างล้อเลียนและเยาะเย้ยลักษณะของอีกฝ่าย
คนหนึ่งพูดว่า “พี่ใหญ่เจิน เสื้อผ้าที่ท่านสวมใส่วันนี้ใช้ได้เลยนะ แต่โชคร้ายจัง มันขาวเกินไป ขาวมากจนเหมือนกับท่านกำลังร่วมงานศพครอบครัวท่านอยู่”
อีกคนหนึ่งโต้กลับด้วยการเหน็บแนม “น้องหว่าน เสื้อผ้าของเจ้าก็ดูสวยดีเหมือนกัน แต่มันแดงเกินไป แดงมากจนคนเขาอาจจะคิดว่าเจ้ากำลังจัดพิธีฝึกตนร่วมสัมพันธ์เวลาพวกเขาเห็นเจ้าใส่ชุดนี้น่ะ!”
“ไอ้หยา! พี่ใหญ่เจินสุภาพเกินไปแล้ว ปิ่นปักผมอันนี้ของท่านดีทีเดียว สีเหลือง… ราวกับท่านกำลังติดกล้วยที่ผมก็ไม่ปาน”
“ก็ยังแย่กว่าปิ่นปักผมหยกวิหคอัคคีที่น้องหว่านมีนั่นล่ะ มองจากไกลๆ เจ้าดูเหมือนมีหัวไชเท้าสีขาวอยู่บนหัวเลย!”
ทักษะของหนึ่งในคนที่นั่งดูอยู่ไม่สูงพอ เสียงพ่นหัวเราะทางจมูก “หึ” ดังขึ้นให้ได้ยิน หญิงทั้งสองคนหน้าบึ้งอย่างโกรธๆ และจ้องคนคนนั้นพร้อมกัน “เจ้าขำอะไร! ไม่มีมารยาทเอาซะเลย!”
โชคดีที่คนที่หัวเราะรู้สึกว่าละครเรื่องนี้สนุกดี นางจึงไม่สนใจกับคำพูดของพวกนาง นางเพียงแค่โบกมือ ก้มหัวและกลั้นหัวเราะต่อไป
หญิงทั้งสองคนยังคง ‘ชม’ อีกฝ่ายต่อไปไม่หยุด
“พี่ใหญ่เจิน ท่านเปลี่ยนสร้อยข้อมือเมื่อไหร่รึ นี่ข้าคิดว่าท่านจะใส่สร้อยข้อมืออันเดิมอันนั้นจนตายเสียอีก!”
“นั่นก็เพราะว่าน้องหว่านแทบไม่เคยสนใจเลยน่ะสิ สร้อยข้อมือที่ดีต้องเข้าได้กับเสื้อผ้าหลายชุด ข้าแค่ลองอันใหม่บ้างนานๆ ที ไม่เหมือนกับน้องหว่านหรอกที่เปลี่ยนใหม่ทุกวัน แย่หน่อยนะที่สร้อยข้อมือของน้องหว่านเป็นแค่ของจากโลกมนุษย์ซึ่งไม่อาจถือได้ว่าเป็นเครื่องมือวิญญาณน่ะ”
“แม้ว่าของจากโลกมนุษย์จะราคาถูก แต่การตามหามันก็ต้องใช้ความพยายามมาก ที่นี่คือโลกแห่งการฝึกตน มีเครื่องมือวิญญาณและของอื่นๆ ตั้งมากมาย สินค้าที่ผลิตจำนวนมากด้วยคุณภาพต่ำก็ไม่ได้ดีไปกว่าของจากโลกมนุษย์สักเท่าไหร่ งานฝีมือหยาบๆ เยี่ยงนั้นไม่สามารถเข้ากับชุดใดได้หรอก! อ๋า! พี่ใหญ่เจิน เสื้อผ้าพวกนี้ของท่านคงจะทำจากผ้าทอเมฆสินะ ใช่ไหม หายากจัง… น่าเสียดาย มันดูไม่เหมือนผ้าทอเมฆที่สามารถทำเป็นเครื่องมือวิญญาณได้เลย คุณภาพของมันต่ำกว่าปกติมาก ถ้าคนเขาไม่ได้ดูให้ดี เขาคงคิดว่าเสื้อผ้าท่านทำจากหนังปลาเป็นแน่!”
“มันจะแย่ไปกว่าเครื่องประดับมุกที่น้องหว่านมีอยู่ได้อย่างไรกัน ข้าสงสัยจริงว่าไข่มุกเก่าพวกนี้มาจากปีไหนกันนะ มันมัวหมองมากจนไม่มีความเงางามอะไรเลย ดูเหมือนกับเกล็ดปลา! ข้าว่า… น้องสาว ถ้าเจ้าขาดแคลนไข่มุก เจ้าแค่บอกข้าก็ได้นะ เราบังเอิญมีทะเลสาบอยู่รอบบ้านของเราซึ่งเป็นเลิศในการผลิตไข่มุกที่มีพลังทางจิตวิญญาณ ไข่มุกพวกนั้นสามารถทำเป็นเครื่องมือวิญญาณและเครื่องมือเวทได้!”
โม่เทียนเกอมองน้ำแกงปลานึ่งที่อยู่บนโต๊ะและหายอยากอาหารขึ้นมาทันที
“ข้าไม่กล้ารบกวนพี่ใหญ่หรอก!” ตระกูลของเราไม่ใหญ่โตเท่าตระกูลพี่ แต่เราก็ตั้งสาขาของร้านค้าอยู่ทุกที่ ไม่ว่าจะเป็นสินค้าแปลกพิสดารแบบไหนที่พี่ใหญ่เจินต้องการ ท่านบอกข้าได้ ไม่จำเป็นต้องเกรงใจ!”
พอถึงตอนนั้น ทั้งสองคนดูราวกับพวกนางจะพ่นไฟออกจากตาได้เมื่อพวกนางต่างจ้องกันและกัน
“ตระกูลของเรามีทุกอย่างอยู่แล้วน่ะ น้องหว่านไม่จำเป็นต้องมากังวลเกี่ยวกับเราเช่นนี้หรอก!”
“พี่ใหญ่เจินมีเสื้อผ้าเปลี่ยนวนอยู่แค่ไม่กี่ชุดในหนึ่งปี และมันก็ดูเป็นแบบที่ล้าสมัยจากเมื่อหลายปีก่อน น้องก็ต้องกังวลอยู่แล้วเป็นธรรมดาหลังจากได้เห็น”
ใบหน้าของพวกนางขยับเข้าใกล้กันเข้าไปทุกทีขณะที่พูด สายตาของพวกนางเต็มไปด้วยความเกลียดชังอย่างลึกซึ้ง
ผู้ฝึกตนหญิงทั้งสองคนที่นั่งอยู่ที่โต๊ะนี้คือศิษย์ระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณ ดังนั้นคนที่รับหน้าที่ต้อนรับพวกนางจึงเป็นแค่ศิษย์ผู้หญิงธรรมดา ศิษย์ผู้หญิงคนนั้นยังอายุน้อยมาก เพราะงั้นเมื่อเห็นผู้ฝึกตนหญิงสองคนต่างสนใจอยู่กับอีกฝ่ายจนไม่นึกถึงคนอื่น นางก็ตัวสั่นเทาและไม่กล้าเข้าไปโน้มน้าวให้ทั้งสองคนหยุดทะเลาะกัน
โม่เทียนเกอที่เห็นเช่นนั้นจึงยืนขึ้น เดินไปทางเด็กสาวจากโรงเรียนเสวียนชิงและวางแก้วสุราองุ่นของนางลงบนโต๊ะอย่างนุ่มนวล
เมื่อสังเกตเห็นว่านางเข้ามา ผู้ฝึกตนหญิงสองคนจึงหยุดเขม่นกันในที่สุด เมื่อพวกนางรู้ว่านางเป็นผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลัง ทั้งคู่ก็รีบยิ้มทันที “อาจารย์ลุง”
โม่เทียนเกอยกมือเพื่อบอกให้พวกนางไม่ต้องยืนขึ้นและพูดพร้อมรอยยิ้ม “สุภาพสตรีทั้งหลาย โปรดอภัยให้เราด้วยที่ไม่ได้เป็นเจ้าบ้านที่ดี ขอให้ข้าได้ดื่มอวยพรให้เจ้าทั้งสองด้วยเหล้าองุ่นแก้วนี้ด้วย”
พวกนางจะกล้าปฏิเสธการดื่มอวยพรที่เสนอโดยผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังได้อย่างไร ทั้งคู่รีบยืนขึ้นทันทีและดื่มสุราองุ่นของตัวเอง
โม่เทียนเกอหัวเราะและตบบ่าเด็กสาวคนที่ยืนข้างนาง บอกใบ้ให้นางนั่งลงและพูดว่า “ท่านสุภาพสตรี ขอประทานโทษด้วย ศิษย์ของข้าคนนี้พูดไม่ค่อยเก่ง ข้าหวังว่าพวกท่านจะมีเมตตาและคอยดูแลนางด้วย ขอขอบคุณล่วงหน้า”
นางดื่มเหล้าในแก้วจนหมด พยักหน้าครั้งสุดท้ายให้กับผู้ฝึกตนหญิงทั้งสองคน และหันกลับเพื่อเดินจากมา เสียงแผ่วเบาของเด็กสาวลอยตามหลังนางมา “ขอบคุณท่านปรมาจารย์มากเจ้าค่ะ”
ผู้ฝึกตนหญิงสองคนเผยให้เห็นความสงสัยบนใบหน้าเมื่อได้ยินนางเรียกโม่เทียนเกอว่า “ท่านปรมาจารย์” ท้ายที่สุดพวกนางก็หยุดพูดเยาะเย้ยกันและกระซิบกับเด็กสาวคนนั้นเพื่อถามเกี่ยวกับตัวตนของโม่เทียนเกอ
เมื่อโม่เทียนเกอกลับมานั่งที่ของตัวเอง นางนวดหลังคอของนาง เทพธิดาพวกนี้… พวกนางก็ไม่ต่างจากมนุษย์ผู้หญิงเท่าไหร่ การพยายามเป็นมิตรกับพวกนางนี่ช่างน่าเหนื่อยหน่ายเสียจริง!
——
[1] ตรีวิสุทธิเทพ (三清) ยังแปลได้ว่าตรีวิสุทธิ์คูหาเทวาหรือสามบริสุทธิ์อีกด้วย คือเทพเจ้าสูงสุดทั้งสามองค์ตามความเชื่อของลัทธิเต๋า เป็นผู้ปกครองสูงสุดแห่งจักรวาล เป็นต้นกำเนิดสรรพสิ่งต่างๆ ของลัทธิเต๋า