ลำนำสตรียอดเซียน - ตอนที่ 150 ต้นเหตุของความเป็นศัตรู
ใช้โอกาสจากสถานการณ์วุ่นวายหลังจากอาจารย์ซงเฟิงจากไป โม่เทียนเกอแอบออกจากโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนลับๆ จากนั้นนางวิ่งไปทางโถงหลัก แกล้งทำเป็นว่าเพิ่งรีบมา
ขณะนั้นเอง ผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังและการสร้างฐานแห่งพลังผู้ที่ไม่กล้าเข้าใกล้ก่อนหน้านี้เพราะแรงกดดันพลังทางจิตวิญญาณที่แผ่ซ่านออกมาระหว่างการต่อสู้ของผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ต่างก็รีบมาทีละคน ดังนั้นจึงไม่มีใครทันสังเกตเห็นนางปรากฏตัวออกมาจากกลางอากาศ
“ท่านอาจารย์!” โม่เทียนเกอรีบเข้าไปหาประมุขเต๋าจิ้งเหอทางด้านข้างและเห็นว่าเขาดูไร้ปัญหาและกำลังคุยอย่างรื่นเริงอยู่กับคนอื่น
ในที่สุดนางก็คลายความกังวลที่รู้สึกอยู่ในหัวใจได้ ดูจากหน้าตาท่าทางของเขาตอนนี้ อาการบาดเจ็บของเขาคงไม่หนักเท่าไหร่
พอเห็นนาง ประมุขเต๋าจิ้งเหอส่งสัญญาณให้นางเข้าไปใกล้ขณะที่แอบส่งสายตาอย่างมีนัยยะแบบลับๆ “เกิดอะไรขึ้น ทำไมเจ้าถึงเร่งรีบเช่นนี้”
โม่เทียนเกอตกใจเล็กน้อย ชั่วขณะหนึ่งที่นางสงสัยว่าสายตาของเขาหมายความว่าอะไร “ท่านอาจารย์ ข้า…”
“เจ้าอยากเจอข้าเพราะเรื่องอะไรบางอย่างหรือ”
“อืม…”
ประมุขเต๋าจิ้งเหอประสานมือไปทางผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ที่อยู่รอบตัวเขาทันทีและพูดด้วยรอยยิ้ม “สหายแห่งเต๋า อภัยให้ข้าด้วย ข้ามีบางเรื่องต้องจัดการดังนั้นข้าคงต้องขอตัวก่อน”
เมื่อเขาพูดจบ เขาเดินนำหมิงเซี่ยและหว่านชิวออกจากโถงหลักไปพร้อมกับโม่เทียนเกอ
“ท่านอาจารย์?”
ประมุขเต๋าจิ้งเหอไม่ได้พูดอะไรและแค่นำทางทั้งสามคนเพื่อบินกลับไปยังยอดเขาวสันต์กระจ่าง เมื่อพวกเขามาถึงที่ยอดเขาวสันต์กระจ่างและเดินเข้าไปในตำหนักซ่างชิง จู่ๆ ประมุขเต๋าจิ้งเหอก็หยุดกะทันหัน
“ท่านอาจารย์…” โม่เทียนเกออยากจะพูดอะไรบางอย่างแต่นางก็พูดได้แค่คำเดียวก่อนที่นางจะเห็นร่างของเขาโซเซและจากนั้นก็ล้มลงกับพื้นทันที
“ท่านอาจารย์!”
“ท่านปรมาจารย์!”
ทั้งสามคนตัวซีดเผือดด้วยความหวาดกลัว
ประมุขเต๋าจิ้งเหอสามารถจะยืนตรงได้ด้วยความยากลำบาก เขาส่ายหน้าและพูดว่า “ไม่จำเป็นต้องกังวล ช่วยข้าให้อยู่ในท่านั่งก่อน”
หมิงเซี่ยและหว่านชิวพยุงเขาขึ้นไปที่ตั่งมังกร จากนั้นทั้งสามคนรออยู่ด้านข้างเขา คอยมองเขาอย่างเป็นกังวล
พวกนางไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหนก่อนที่ใบหน้าซีดขาวของประมุขเต๋าจิ้งเหอจะกลับมามีสีสันอีกครั้ง สุดท้ายเขาก็ลืมตาขึ้นและหายใจออกช้าๆ “หลังจากไม่เจอกันมาหลายร้อยปี ศาสตร์มารของตาแก่ซงเฟิงกลับยิ่งยากจะต่อกรด้วยอย่างไม่น่าเชื่อ…”
ครั้งนี้ในที่สุดโม่เทียนเกอก็เข้าใจ อาการบาดเจ็บของประมุขเต๋าจิ้งเหอไม่เล็กน้อย แต่เพราะเขาต้องการจะรักษาชื่อเสียงของเขาเอาไว้ เขาจึงส่งสายตามีนัยยะให้กับนางเพื่อนางจะได้ช่วยเขา นางรู้สึกขัดแย้งนิดหน่อยว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี ท่านอาจารย์คนนี้… เป็นคนมีคุณธรรมเช่นนี้นี่ล่ะ!
“หมิงเซี่ย หว่านชิว เจ้าทั้งสองออกไปก่อน”
หมิงเซี่ยและหว่านชิวเหลือบมองกันแล้วจึงตอบว่า “เจ้าค่ะ”
“เทียนเกอ มานี่สิ”
โม่เทียนเกอเดินไปหาเขา รู้สึกงุนงง “ท่านอาจารย์?”
“นั่งลง” ประมุขเต๋าจิ้งเหอชี้ไปยังที่ว่างข้างเขา
“นี่…”
“ข้าบอกให้นั่ง เจ้าก็แค่ต้องนั่ง!”
“ตกลง…” นางก้าวไปข้างหน้าอย่างระวังตัวและมองเขาอย่างระแวงแล้วจึงนั่งลง จะโทษนางที่มีปฏิกิริยาเช่นนี้ไม่ได้นี่ สุดท้ายแล้วประมุขเต๋าจิ้งเหอก็ทำตัวเป็นมิตรเกินไป! เหมือนคนแก่เกินไป!
“เทียนเกอ…”
“เจ้าค่ะ” โม่เทียนเกอเป็นกังวล นางสงสัยว่าท่านอาจารย์จะเล่นอุบายแบบไหนอีก
แต่ครั้งนี้ประมุขเต๋าจิ้งเหอแค่ถอนหายใจและมองนางในแบบปกติธรรมดา “บางทีเจ้าอาจจะรู้สึกว่าอาจารย์ไม่ได้สอนอะไรเจ้าเลยใช่ไหม”
“…” หลังจากคิดครู่หนึ่ง โม่เทียนเกอตอบตามตรง “เกี่ยวกับเรื่องการฝึกตน ท่านอาจารย์ไม่เคยสอนอะไรข้าเลย ดังนั้นข้าจึงค่อนข้างสับสน อย่างไรก็ตาม ข้าได้พบกับชะตาลิขิตหลายอย่าง ตอนนี้ระดับการฝึกตนของข้าอยู่สูงกว่าที่ข้าควรจะรับมือได้กับอายุปัจจุบันของข้า สิ่งที่ท่านอาจารย์สอนข้าคือสิ่งที่ข้าต้องการมากที่สุดในขณะนี้”
“ดีที่เจ้าเข้าใจ” เมื่อได้ยินคำตอบและเห็นสีหน้าจริงใจของนาง ประมุขเต๋าจิ้งเหอรู้สึกโล่งใจ เขายังคงนั่งอยู่ในท่าขัดสมาธิและหลับตา “เกี่ยวกับเรื่องวันนี้ เจ้าเห็นมากแค่ไหน”
“ศิษย์เห็นทุกอย่าง ยิ่งไปกว่านั้น ภายในโถงด้านข้าง ข้ายังได้พบกับผู้ฝึกตนหญิงที่ดูเหมือนจะมีอะไรเกี่ยวข้องกับอาจารย์ซงเฟิง”
“โอ้?”
โม่เทียนเกออธิบายเรื่องเกี่ยวกับผู้ฝึกตนหญิงติดกรงเล็บคนนั้นอย่างระมัดระวัง
เมื่อประมุขเต๋าจิ้งเหอได้ฟังทุกอย่าง เขาลืมตาขึ้นและคิดกับตัวเอง “จากเรื่องเล่าของเจ้า วิชาของผู้หญิงคนนี้ก็ฟังดูเหมือนจะเกี่ยวข้องกับตาแก่ซงเฟิง ในกลุ่มการฝึกตนที่ยิ่งใหญ่ทั้งเจ็ด ข้าน่าจะเข้าใจตาแก่ซงเฟิงได้ดีที่สุด ข้าไม่รู้ว่าสมัยนั้นตาแก่นั่นไปเจอเข้ากับอะไร แต่สภาพร่างกายของเขาไม่ใช่มนุษย์ ปีศาจ หรือมาร มันเหมือนกับเขาผ่านการเปลี่ยนแปลงร่างประหลาด เขาไม่ได้เป็นผู้ฝึกตนแห่งเต๋าตามแบบแผนหรือมารผู้ฝึกตน แต่เขาเรียนรู้ได้ดีที่สุดจากทั้งสองโลก ดังนั้นเขาจึงรับมือได้ยากยิ่ง ผู้หญิงคนนั้นฟังดูเหมือนผู้ฝึกตนนักสู้และวิชาของนางก็อบอวลไปด้วยพลังของมาร ถ้าเป็นเช่นนั้น ข้าคิดว่านางน่าจะเป็นศิษย์หรือศิษย์หลานของตาแก่ซงเฟิง เจ้าอาจไม่ได้แพ้นางในวันนี้ แต่ถ้าเจ้าเจอกับผู้หญิงคนนั้นอีกในอนาคต เจ้าต้องระวังตัวไว้ให้มากไม่ว่าอย่างไรก็ตาม”
“เจ้าค่ะ ข้าเข้าใจ”
ประมุขเต๋าจิ้งเหอพยักหน้าแล้วถามว่า “เจ้ารู้บ้างไหมว่าระหว่างข้ากับตาแก่ซงเฟิงมีความแค้นแบบไหนกัน”
โม่เทียนเกอส่ายหน้า “ตอนนั้นศิษย์เพียงได้ยินบทสนทนาระหว่างท่านทั้งสอง แต่ศิษย์รู้ว่ามันน่าจะเกี่ยวข้องกับศิษย์พี่โส่วจิ้ง”
ประมุขเต๋าจิ้งเหอหัวเราะเบาๆ ในสีหน้าเขามีทั้งความรู้สึกหมดหนทางและความภูมิใจ “เจ้าพูดถูก นี่เป็นหายนะที่เด็กนั่นมันก่อไว้ ตาแก่ซงเฟิงครั้งหนึ่งเคยมีผู้น้อยที่เก่งกาจมากซึ่งมีความขัดแย้งกับศิษย์พี่โส่วจิ้งของเจ้าและลงเอยด้วยการตาย ในตอนนั้นตาแก่ซงเฟิงหายตัวไปจากโลกนี้นานแล้ว ดังนั้นข้าจึงไม่ได้จริงจังกับเรื่องนี้ ข้าไม่เคยคิดเลยว่าเขาจะยังมีชีวิตอยู่และถึงกับต้องการแก้แค้นเรื่องนี้ ตาแก่นั่นอาฆาตแค้นเป็นอย่างมาก เรื่องนี้ต้องยากจะรับมือในภายหลังแน่”
“ถ้าอย่างนั้น… ท่านอาจารย์ แล้วระหว่างท่านกับอาจารย์ซงเฟิงมีความขัดแย้งกันหรือไม่”
“เรียกว่าความขัดแย้งไม่ได้หรอก เมื่อตอนที่ข้าเพิ่งเข้าสู่ขั้นกลางของดินแดนจิตวิญญาณใหม่เมื่อหลายร้อยปีก่อน ข้าและตาแก่ซงเฟิงไปที่สถานที่ลับด้วยกันและเกิดการโต้เถียงกันขึ้น” ประมุขเต๋าจิ้งเหอไม่ได้อธิบายต่อและแค่ส่ายหน้าเท่านั้น “ถึงแม้ว่าเราจะไม่ได้กลายเป็นศัตรูกัน ณ ตอนนั้น แต่เราก็ไม่ได้จากกันด้วยดี”
ด้วยลักษณะนิสัยอาจารย์ของนาง มันคงจะเป็นเรื่องมหัศจรรย์ถ้าเขาสามารถเข้ากันได้ดีกับชายผู้มีอารมณ์แปลกประหลาดอย่างอาจารย์ซงเฟิง! ความประทับใจของอาจารย์ซงเฟิงที่มีต่ออาจารย์ของนางก็แย่พออยู่แล้ว แต่แล้วศิษย์ที่รักของเขายังถูกฆ่าโดยฉินโส่วจิ้งอีก ความเกลียดชังของเขาคงจะหยั่งรากลึกมากขึ้นเป็นธรรมดา
เมื่อโม่เทียนเกอคิดมาถึงตรงนี้ นางก็อดที่จะปวดหัวไม่ได้ ไม่มีใครรู้ว่าคนที่ฝึกตนจนถึงขั้นสุดท้ายของดินแดนจิตวิญญาณใหม่จะมีชีวิตอยู่นานแค่ไหน อาจารย์ของนางอายุมากกว่าแปดร้อยปีแล้ว ดังนั้นอาจารย์ซงเฟิงก็น่าจะอายุมากกว่าหนึ่งพันปี ถ้าอาจารย์ของนางไม่สามารถก้าวเข้าสู่ดินแดนถัดไปได้ เขาก็จะตายก่อนอาจารย์ซงเฟิงแน่ เมื่อถึงตอนนั้น ศิษย์โดยตรงของท่านอาจารย์อย่างนางจะไม่กลายเป็นเป้าหมายการแก้แค้นของอาจารย์ซงเฟิงหรอกหรือ แน่นอนว่าถ้านางอยู่ภายในโรงเรียนเสวียนชิง นางก็จะไม่เป็นอะไร…
“เทียนเกอ… ถ้าเจ้าออกไปข้างนอกด้วยตัวเองในอนาคต มันจะดีกว่าที่เจ้าจะไม่เปิดเผยตัวตนว่าเป็นศิษย์ของข้าต่อหน้าคนอื่น นอกเสียจากว่าตาแก่ซงเฟิงตายไปแล้วหรือเจ้าสร้างจิตวิญญาณใหม่ได้แล้ว เข้าใจไหม”
โม่เทียนเกอตะลึง ประมุขเต๋าจิ้งเหอมักจะหยิ่งยโสและชอบกดขี่อยู่เสมอ แต่กระนั้นเขากลับพูดเช่นนี้กับนาง เห็นได้ชัดว่าเขาต้องการปกป้องนางจากหายนะครั้งนี้! นางรู้สึกซาบซึ้งมากจนนางถึงกับเรียกเขาว่าท่านอาจารย์ด้วยความจริงใจอย่างที่สุด “เจ้าค่ะ ท่านอาจารย์”
เมื่อได้เห็นสภาพตอนนี้ของนาง ประมุขเต๋าจิ้งเหอหัวเราะขึ้นโดยไม่คาดคิด “เจ้าเด็กคนนี้นี่! วันนี้น่าจะเป็นครั้งแรกที่เจ้าเรียกข้าว่าท่านอาจารย์อย่างจริงใจ ใช่ไหม”
โม่เทียนเกอก้มหัวคำนับและหัวเราะเบาๆ ถึงแม้ว่าอาจารย์ของนางจะไม่น่าเชื่อถือ แต่เขาก็ฉลาดเฉียบแหลมมาก อีกอย่าง ถึงแม้ว่าโดยปกตินางจะเรียกเขาว่าท่านอาจารย์โดยไม่ได้เคารพมากนัก แต่นางก็รู้สึกเสมอกว่านางโชคดีมากที่มีอาจารย์เช่นนี้
เมื่อประมุขเต๋าจิ้งเหอหัวเราะจนพอใจ เขาก็พูดว่า “หลังจากข้าสร้างจิตวิญญาณใหม่ ข้าก็รับศิษย์มาห้าคน คือเสวียนอิน ชิงหย่วน [1] หมิงเจิน ซู่ซิน และฉางคง ศิษย์พี่รองดั้งเดิมของเจ้า ชิงหย่วน ตายก่อนวัยอันควรไปอย่างน่าเสียดาย ดังนั้นเมื่อข้ารับศิษย์อีกคนเข้ามา ข้าจึงมอบชื่อ ‘ชิงหยวน [2] ’ เป็นชื่อชาวลัทธิเต๋าของเขา”
“เดิมข้าตั้งใจจะหยุดรับศิษย์ แต่เมื่อข้าเดินทางกลับไปยังตระกูลฉินในโลกมนุษย์ตอนหลัง ข้าก็ได้ค้นพบศิษย์พี่โส่วจิ้งของเจ้าอย่างไม่คาดคิด เขายังเป็นผู้สืบสกุลวงศ์ย่อยของข้าและรากวิญญาณของเขาก็ไม่ได้แย่ ข้าจึงต้องให้ความใส่ใจเขามากเป็นธรรมดา เพราะเหตุนั้นข้าพาเขากลับมากับข้าที่เขาไท่คังและรับเขาเป็นศิษย์ของข้า”
“ถึงแม้ว่ารากวิญญาณของเด็กนั่นจะธรรมดา แต่เขาก็มีการแสดงออกทางอารมณ์ที่ดีและฉลาดไหวพริบดีมาก หลังจากข้ารับเขาเข้ามา ข้าคิดว่าการมีเขาเป็นศิษย์คนสุดท้ายก็เพียงพอแล้ว แต่เขากลับบอกให้ข้ารับเจ้าเป็นศิษย์…”
แน่นอนว่าคนคนนั้นคือสาเหตุว่าทำไมข้าถึงถูกรับเข้ามาเป็นศิษย์ของท่านอาจารย์… โม่เทียนเกอเดาไว้นานแล้ว ดังนั้นนางจึงไม่ได้ผิดหวังมากมายอะไร แต่นางก็ไม่สามารถรู้สึกยินดีกับเรื่องนี้ได้เหมือนกัน
ประมุขเต๋าจิ้งเหอยังคงพูดต่อ “เมื่อข้ารับเจ้าเข้ามาเป็นศิษย์ลงนามของข้า ตอนแรกข้าไม่ได้คิดจริงจังกับเรื่องนี้ ในขณะนั้นข้าคิดว่าด้วยรากวิญญาณที่เจ้ามี มันคงดีเยี่ยมแล้วหากเจ้าสามารถเข้าสู่ดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังได้และก็อาจจะเป็นไปไม่ได้ที่เจ้าจะเข้าสู่ดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลัง เพราะเหตุนั้นข้าจึงไม่มีความจำเป็นต้องสอนอะไรเจ้า และเจ้าก็ไม่ได้ถือว่าเป็นศิษย์ข้าอย่างเป็นทางการด้วย ข้าไม่เคยคาดคิดแม้แต่ครั้งเดียวเลยว่าที่จริงแล้วเจ้าจะถูกกำหนดโดยโชคชะตาให้มาเป็นศิษย์ของข้า เด็กคนนี้… เจ้าไม่ควรรู้สึกว่าข้าทำไม่ดีกับเจ้า ในเมื่อข้ารับเจ้าเข้ามาเป็นศิษย์อย่างเป็นทางการแล้ว ข้าก็จะปฏิบัติกับเจ้าอย่างจริงใจแน่นอน”
โม่เทียนเกอหัวเราะ นางไม่ใช่เด็กหญิงตัวน้อยที่มีชีวิตสงบสุขและราบรื่น เรื่องเล็กน้อยแค่นี้จะทำให้นางรู้สึกว่าถูกทำไม่ดีด้วยได้อย่างไรกัน “วางใจเถอะท่านอาจารย์ ข้าเข้าใจ”
ด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า ประมุขเต๋าจิ้งเหอพยักหน้าและพูดว่า “ข้ารู้สึกขอบคุณเจ้าในเรื่องนี้ เจ้ามั่นคงและมองตามความเป็นจริง มีความตั้งใจแน่วแน่ และไม่เคยลดคุณค่าตัวเอง เจ้าไม่เหมือนกับเด็กน้อยของชิงหย่วนที่ข้าตามใจนางตั้งแต่ยังเด็ก ตอนนั้นข้าเจอลูกสาวที่ศิษย์พี่ชิงหย่วนของเจ้าทิ้งไว้และยังพาศิษย์พี่โส่วจิ้งของเจ้ากลับมาด้วย ข้าเลี้ยงสองคนนั้นให้อยู่ข้างกาย แต่พระเจ้าก็รู้ว่าทำไมไม่มีใครโตมาได้ดีสักคน…”
“ท่านอาจารย์…” สีหน้าผิดหวังของประมุขเต๋าจิ้งเหอที่ยากจะได้เห็นทำให้โม่เทียนเกอรู้สึกถึงความไม่คุ้นเคยเช่นเดียวกับความสับสน “ไม่ใช่ว่าตอนนี้ศิษย์พี่โส่วจิ้งกำลังไปได้สวยอยู่หรือเจ้าคะ คาดว่าภายในไม่กี่สิบปีหรือร้อยปีข้างหน้า เขาจะสามารถย่างเข้าสู่เต๋าอันยิ่งใหญ่และดินแดนแห่งจิตวิญญาณใหม่ได้แน่นอน”
“เจ้าไม่รู้ว่าข้ากำลังพูดถึงอะไร” ประมุขเต๋าจิ้งเหอส่ายหน้า “ไอ้เด็กเหลือขอคนนี้… ตั้งแต่เขายังเด็ก เขาก็มีหัวใจแห่งเต๋าที่หนักแน่นและมักจะฝึกตนอย่างพากเพียร เดิมทีข้ามักจะมีความสุขเสมอที่ศิษย์ของข้าโตมาเป็นแบบนั้น อย่างไรก็ตาม แค่ตอนนี้ล่ะที่ข้ารู้ว่าการสอนของข้ามีอะไรขาดตกบกพร่องไป เขาฉลาดและมุมานะเกินไป ข้าเคยคิดว่านี่เป็นสิ่งที่ดีและไม่จำเป็นต้องเข้าไปก้าวก่ายมาก แต่บัดนี้ข้ารู้แล้วว่าถ้าความมุมานะของเขาไปอยู่ในเรื่องอื่น มันก็อาจเป็นสิ่งที่อันตรายถึงชีวิตได้”
โม่เทียนเกอตะลึงแต่นางก็ไม่ได้พูดอะไร
นางได้ยินประมุขเต๋าจิ้งเหอพูดต่ออย่างช้าๆ “ทุกวันนี้ข้ากังวลเกี่ยวกับเขาที่สุด นอกเหนือจากตาแก่ซงเฟิงที่ต้องการหาตัวเขาและแก้แค้นเขา ตัวเขาเองยังถูกฝันร้ายหมกมุ่นตามหลอกหลอน ตอนนี้เขายืนกรานจะอยู่ในการปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิจนกว่าเขาจะสร้างจิตวิญญาณใหม่ได้ แต่ข้าก็กังวลมากว่า… เขาจะไม่สามารถผ่านอปุสรรคที่เรารู้จักกันว่าเป็นมารภายในจิตใจไปได้ในระหว่างการบรรลุผ่านดินแดนไปสู่ดินแดนจิตวิญญาณใหม่”
หลังจากเขาพูดเช่นนั้น ประมุขเต๋าจิ้งเหอหลับตาลงและถอนหายใจยาว ดูเหนื่อยอ่อนอย่างที่สุด
โม่เทียนเกอเงียบเป็นเวลานาน สุดท้ายแล้วนางก็ถามอย่างแผ่วเบา “ท่านอาจารย์ ท่านบอกเรื่องทั้งหมดนี้กับข้า… เพื่ออะไร”
ประมุขเต๋าจิ้งเหอลืมตาขึ้น สีหน้าของเขาซึ่งก่อนหน้านี้ดูจริงจัง ตอนนี้ดูอ่อนโยนขึ้น “เดี๋ยวเจ้าก็รู้เองในอนาคต”
“…”
“หลังจากข้ารับเจ้าเข้ามา ข้าก็ตระหนักว่าเจ้าคล้ายกับที่ไอ้เด็กเหลือขอนั่นเคยเป็น ไม่น่าแปลกใจที่เขาจะ…” ประมุขเต๋าจิ้งเหอหยุดครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ “ในเมื่อข้าสั่งสอนเขาแบบผิดๆ ไปแล้ว บัดนี้ข้าต้องไม่ปล่อยให้เจ้าเข้าสู่เส้นทางเดียวกันกับเขา ย้อนไปตอนนั้นเด็กนั่นฝึกตนอย่างเต็มที่และไม่เคยสนใจกิจธุระทั่วไป แต่ข้าก็ไม่สน ตอนนี้หลังจากคิดมามาก ข้าคิดว่ามันจะดีที่สุดที่ให้เจ้ายุ่งเกี่ยวกับเรื่องต่างๆ ของโรงเรียนมากขึ้น ถ้าเจ้าได้เห็นและได้ฟังมากขึ้น เจ้าก็จะไม่ยึดติดกับอะไรมากเกินไปในอนาคต สำหรับเด็กอย่างพวกเจ้า ข้าไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับวิชาการฝึกตนเฉพาะทาง แต่พฤติกรรมของเจ้า อย่างไรก็ตาม ต้องได้รับการชี้แนะอย่างเหมาะสมเพื่อให้เจ้าไม่เดินไปบนเส้นทางวกวนในอนาคต”
โม่เทียนเกอเดามานานแล้วว่าทำไมประมุขเต๋าจิ้งเหอถึงสอนนางในวิธีแบบที่เขาทำ แต่การได้ยินเขาอธิบายให้นางฟังด้วยตัวเองในตอนนี้ นางก็ยังรู้สึกซาบซึ้งอยู่ดี
“เอาล่ะ อาการบาดเจ็บของอาจารย์ไม่สำคัญแล้วตอนนี้ ตอนนั้นที่ข้าพาเจ้ากลับมา ข้าบอกว่าเจ้าจะต้องถูกกักบริเวณและต้องใคร่ครวญถึงความผิดพลาดของเจ้าไปอีกสิบปี ตอนนี้ยังเหลืออีกห้าปี ในเวลาหลายปีที่ผ่านมานี้ ข้าปล่อยให้เจ้าได้มีประสบการณ์หลากหลายและตอนนี้เจ้าก็คุ้นเคยกับเรื่องต่างๆ ของโรงเรียนแล้วไม่มากก็น้อย เจ้าควรเริ่มปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิได้แล้ว ในอีกห้าปีเมื่อเจ้าออกมาจากการปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิ เจ้าน่าจะลงจากเขาและออกท่องเที่ยว ไปซะ!”
“เจ้าค่ะ ท่านอาจารย์”
——
[1] 清远 (Qīngyuǎn) ชิงหย่วน
[2] 青元 (Qīngyuán) ชิงหยวน