ลำนำสตรียอดเซียน - ตอนที่ 151-1 โถงฝึกวรยุทธ์
“ท่านอา ท่านอา!”
เสียงดังมาจากภายนอกห้องฝึกตน โม่เทียนเกอใช้ศาสตร์ในการออกจากโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน จากนั้นจึงปลดกำแพงอาคมด้านนอกออก
คนที่เดินเข้ามาในห้องฝึกตนคือชายหนุ่มอายุประมาณยี่สิบปี เขาตัวสูง ตัวยืดตรง และมีรูปลักษณ์อ่อนเยาว์ ใบหน้าของเขายังคงความไร้เดียงสาและความอ่อนโยนในช่วงวัยรุ่นของเขาไว้อยู่
เมื่อเห็นเขา โม่เทียนเกอยิ้มและถามว่า “เจินจี มีปัญหาอะไรรึ”
ชายหนุ่มคนนี้คือเยี่ยเจินจี เขาอายุยี่สิบปีแล้วในตอนนี้ ใบหน้าที่เคยน่ารักของเขาดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นแต่ก็ยังคงน่ามองเหมือนเคย ยิ่งไปกว่านั้นเขายังมีนิสัยดีและมักจะปฏิบัติกับคนอื่นอย่างมีเมตตาเสมอ ดังนั้นเขาจึงมีคนรู้จักมากมายในหมู่ศิษย์ระดับต่ำ ในสิบปีที่ผ่านมา โม่เทียนเกอไม่เคยงกกับการจัดหายาวิเศษหรือสมบัติต่างๆ ให้เขา ทุกวันนี้เขาอยู่ในระดับสิบของดินแดนการหลอมรวมพลังวิญญาณแล้วและแค่ต้องรอการทดสอบของโรงเรียนเพื่อให้ได้รับยาสร้างฐานแห่งพลัง
เมื่อเยี่ยเจินจีเห็นนาง เขายิ้มจนเห็นลักยิ้มทั้งสองข้างได้อย่างชัดเจน “ท่านอา ท่านกำลังฝึกตนอยู่นี่เอง!”
“แน่นอนข้ากำลังฝึกตนอยู่ เจ้าไม่ได้ไปที่โถงฝึกวรยุทธ์กับหวาหลิงหรือ เพิ่งจะเที่ยงวันเองแต่เจ้าก็กลับมาแล้ว?”
โถงฝึกวรยุทธ์ตั้งอยู่ที่ยอดเขาหลักของโรงเรียนเสวียนชิง มันทำหน้าที่เป็นเหมือนสถานที่สำหรับเหล่าศิษย์ที่ต้องการประลองในด้านศิลปะการต่อสู้กัน ภายใต้สถานการณ์ปกติจะมีผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังหนึ่งคนและผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังหลายคนคอยรับผิดชอบเฝ้าดูโถงนี้ ศิษย์สามารถฝึกและพัฒนาความสามารถของตัวเองในการต่อสู้ด้วยพลังเวทได้
ศิษย์ผู้ชายมักจะสนใจการต่อสู้ด้วยพลังเวทมากกว่า ดังนั้นพวกเขาจึงไปที่โถงฝึกวรยุทธ์ทุกๆ สองสามวัน เยี่ยเจินจีเองก็ไม่เว้น หลังจากเขาเข้าสู่ระดับสิบของดินแดนการหลอมรวมพลังวิญญาณ เขาไปที่โถงฝึกวรยุทธ์ทุกวันกับหวาหลิงเพื่อนเล่นสมัยเด็กของเขา และป่าวประกาศอย่างเหนือชั้นว่าเขาทำเช่นนั้นเพื่อสั่งสมประสบการณ์ก่อนการทดสอบชิงยาสร้างฐานแห่งพลัง พอคิดว่ามันดีสำหรับเขา โม่เทียนเกอจึงปล่อยให้เขาทำตามใจ
“อย่าพูดถึงมัน!” เยี่ยเจินจีนั่งตรงข้ามนางดูเบื่อหน่ายอย่างที่สุด “ไม่มีใครที่น่าสู้ด้วยที่โถงฝึกวรยุทธ์เลยวันนี้ ข้าหมดความสนใจหลังจากการแข่งขันไปสองรอบ ข้าก็เลยกลับมา”
“ครั้งที่แล้วเจ้าบอกว่าหวาหลิงใช้กลที่เจ้าไม่สามารถรับมือได้ไม่ใช่รึ เจ้าคิดหาทางออกแล้วหรือยัง”
“แน่นอน ข้าคิดแล้ว!” เยี่ยเจินจีเชิดคาง ดูภูมิใจในตัวเองเป็นที่สุด “กลอุบายแบบไหนที่นายหวาหลิงจะคิดขึ้นมาได้ ข้าแค่คิดอยู่สองวันก็พบคำตอบแล้ว! ดูนี่สิ!”
หลังจากเขาพูดเช่นนั้น เขายืนขึ้นอย่างตื่นเต้นและยกมือขึ้น กำแพงคาถาลมและคาถาดินปรากฏขึ้นบนร่างเขาเกือบจะในเวลาเดียวกัน
“ท่านอา ดูสิ! ถ้าข้าใช้สองคาถานี้ คาถาเยือกแข็งและศาสตร์เจาะวิญญาณของหวาหลิงก็ไม่สามารถโจมตีข้าได้!”
โม่เทียนเกอยิ้ม “นี่เป็นกลยุทธ์ที่ดีทีเดียว คงจะยากสำหรับเจ้าสินะในการคิดวิธีนี้ขึ้นมา”
เยี่ยเจินจีรู้สึกอับอายเล็กน้อยกับคำชม เขาเก็บคาถาและกลับไปนั่งในที่นั่ง “ท่านอา มีบางอย่างที่ข้าอยากปรึกษาท่าน”
“อะไรรึ เจ้าบอกข้าได้”
ความลังเลปรากฏขึ้นบนใบหน้าเขา เขาพึมพำ “ข้า… ข้าอยากเดินทางกลับบ้าน”
โม่เทียนเกอค่อนข้างประหลาดใจ เยี่ยเจินจีมาถึงที่ภูเขาเมื่อเขาอายุเก้าปี พอเขาอายุสิบปี ทั้งสองก็ได้เจอกัน และตั้งแต่นั้นมาเขามักจะอยู่ข้างกายนางเสมอและไม่เคยไปไหน มันผ่านมาประมาณสิบเอ็ดปีแล้วตั้งแต่ที่เยี่ยเจินจีออกจากตระกูลของเขามา หลังจากเข้ากลุ่มการฝึกตน น้อยมากที่ผู้ฝึกตนอย่างพวกเขาจะกลับไปยังโลกมนุษย์ เยี่ยเจินจีไม่เคยเอ่ยถึงอะไรที่บอกว่าเขาคิดถึงบ้าน ดังนั้นโม่เทียนเกอจึงไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้มากนัก
ตอนนี้ความเศร้าสามารถมองเห็นได้จางๆ บนใบหน้าเขา “เมื่อข้าจากบ้านมา แม่ข้าร้องไห้ทั้งคืน… ท่านอา ยังมีเวลาอีกหนึ่งปีก่อนการทดสอบรับยาสร้างฐานแห่งพลังสำหรับศิษย์หัวกะทิ ขะ-ข้าอยากใช้โอกาสในปีนี้เพื่อเดินทางกลับบ้าน ข้าขอทำเช่นนั้นได้ไหม”
แม้ว่าจะเห็นความคาดหวังและความหวังบนใบหน้าของเด็กน้อย แต่โม่เทียนเกอก็ยังคงเงียบ นางเข้าใจความรู้สึกของเยี่ยเจินจีได้ดี ย้อนไปตอนนั้นนางก็ผ่านประสบการณ์แบบเดียวกันมา อย่างไรก็ตาม การคิดถึงญาติสนิทเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องที่ดี
“ท่านอา…” เพราะนางไม่ได้ตอบ เยี่ยเจินจีจึงขอร้องอีกครั้ง “ข้าจะกลับมาให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้แน่นอน ข้าแค่อยากกลับบ้านไปดู…”
“… โรงเรียนเสวียนชิงของเราไม่ได้กำหนดว่าศิษย์ต้องตัดขาดความสัมพันธ์ที่มีกับโลกมนุษย์ อย่างไรก็ตาม ในสถานการณ์ปกติ หลังจากที่พวกเขาสร้างฐานแห่งพลังได้แล้วเท่านั้นพวกเขาถึงจะได้รับอนุญาตให้กลับไปเยี่ยมครอบครัวได้ เจ้ายังไม่ได้สร้างฐานแห่งพลังและมันก็เป็นเวลาแค่หนึ่งปีก่อนที่การทดสอบของเจ้าจะเริ่มขึ้น ตอนนี้ไม่ใช่เวลาเหมาะที่เจ้าจะออกไป”
เยี่ยเจินจีไม่ได้พูดอะไร แต่ใบหน้าของเขาดูผิดหวังอย่างที่สุด
โม่เทียนเกอใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งแล้วนางจึงพูดพร้อมกับรอยยิ้ม “เจ้าไม่ต้องผิดหวังหรอก เมื่อห้าปีก่อน ท่านปรมาจารย์ของเจ้าบอกว่าหลังจากข้าปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิห้าปีจนเสร็จสิ้น เขาจะให้ข้าออกจากภูเขาและออกเดินทาง มันบังเอิญว่าห้าปีนั้นเพิ่งจะสิ้นสุดลง รออีกหน่อยนะ เมื่องานต่างๆ ทั้งหมดได้รับการดูแล อาจะพาเจ้ากลับบ้าน เจ้าคิดว่าอย่างไร”
เยี่ยเจินจีดีใจเหลือล้น “ท่านอา!”
“เจ้าพอใจแล้วใช่ไหม”
เขาพยักหน้าซ้ำๆ “ขอบคุณมากท่านอา!” หลังจากขอบคุณนาง เขาก็ดูขัดแย้งขึ้นมาอีกครั้ง “แต่… ไหนท่านบอกว่าท่านไม่อยากให้ตระกูลรู้เกี่ยวกับตัวท่านไม่ใช่รึ”
โม่เทียนเกอหัวเราะเบาๆ “แซ่ของข้าไม่ใช่เยี่ย ข้าจะมีความสัมพันธ์แบบไหนกับพวกเขา? พวกเขาไม่รู้หรอก เมื่อถึงตอนนั้นเจ้าก็แค่ต้องเรียกข้าว่าอาจารย์ลุง” เยี่ยเจินจีเป็นศิษย์ภายในชั้นสูงในนามของท่านอาจารย์เต๋าโส่วจิ้ง ตามหลักเหตุผลนี้ เขาก็ต้องเรียกนางว่าอาจารย์ลุงจริงๆ
หลังจากปลอบใจเยี่ยเจินจีแล้ว โม่เทียนเกอจึงหยุดฝึกตนและออกจากถ้ำเซียนของนาง
ห้าปีได้ผ่านไปแล้ว ระดับการฝึกตนของนางเข้าถึงจุดสูงสุดของขั้นกลางดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังแล้ว นางแค่ต้องการชะตาลิขิตบางอย่างเพื่อให้ก้าวเข้าสู่ขั้นสุดท้ายของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังได้ แต่ถึงอย่างนั้นโม่เทียนเกอก็ไม่ได้เร่งรีบ ตอนนี้นางอายุเพียงสามสิบเจ็ดปี ด้วยอายุปัจจุบันของนาง ระดับการฝึกตนของนางก็ถือว่าสูงมากแล้ว ขนาดเมื่อตอนที่ฉินโส่วจิ้งอายุเท่านาง เขาก็ยังอยู่แค่ในขั้นกลางของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังเท่านั้น
พอถึงเวลาที่โม่เทียนเกอเข้าไปในโถงหลัก ประมุขเต๋าจิ้งเหอกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ในการเข้าฌาน อาการบาดเจ็บที่เขาได้รับจากการต่อสู้กับอาจารย์สงเฟิงไม่เบาเลยแม้แต่น้อย ดังนั้นเขาจึงใช้เวลาช่วงปีที่ผ่านมาเพื่อพักฟื้น โชคดีที่การฝึกตนของเขานั้นหยั่งลึก เส้นลมปราณหรือตานเถียนของเขาไม่ได้รับบาดเจ็บไปด้วย ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ตกอยู่ในอันตรายร้ายแรง
โม่เทียนเกอหยุดอยู่ไม่ไกลจากเขาและร้องเรียก “ท่านอาจารย์”
ประมุขเต๋าจิ้งเหอลืมตา “เจ้าออกจากการปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิแล้วรึ”
ในเวลาห้าปีที่ผ่านมา นางปิดกั้นตัวเองอยู่ภายในถ้ำน้อยของนางและไม่ได้ออกไปไหน บัดนี้เมื่อนางออกมานั่นก็เป็นเพราะนางออกจากการปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิแล้ว
นางสัมผัสได้ถึงประมุขเต๋าจิ้งเหอที่กำลังสำรวจตัวนางโดยใช้จิตสัมผัสของเขา แต่นางก็ยังคงสงบนิ่งมาก ศาสตร์หลอมจิตวิญญาณของนางเข้าถึงระดับสองแล้ว นางสามารถครองความสงบอยู่ได้แม้แต่ต่อหน้าผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณใหม่ นอกเสียจากว่าพวกผู้ฝึกตนจะจงใจใช้แรงกดพลังทางจิตวิญญาณมากดดันนาง
เมื่อเขาสำรวจนางเสร็จ ประมุขเต๋าจิ้งเหอพยักหน้าและกล่าวว่า “ไม่เลว เจ้าอยู่ในจุดสูงสุดของขั้นกลางแล้ว คาดว่าการก้าวหน้าสู่ขั้นสุดท้ายภายในเวลาไม่กี่ปีก็ไม่น่าจะเป็นปัญหา เจ้าสามารถฝึกศาสตร์หลอมจิตวิญญาณได้จนถึงระดับสองแล้วรึ ข้าไม่เคยเห็นใครที่สามารถทำสำเร็จได้เช่นนี้ภายในเวลาแค่สิบกว่าปีมาก่อน”
โม่เทียนเกอยิ้มและพูดว่า “เป็นเพราะอาจารย์ลุงเสวียนอินที่คิดอย่างรอบคอบว่าศิษย์ไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับการเบี่ยงเบนของพลังทางจิตวิญญาณ ท่านอาจารย์เจ้าคะ อาการบาดเจ็บของท่านเป็นเช่นไรบ้าง”
“ข้าสบายดี” ประมุขเต๋าจิ้งเหอโบกมือและพูดอย่างไร้กังวล “ตอนนี้มันดีขึ้นแล้วไม่มากก็น้อย ฮึ่ม! ตาแก่สงเฟิงก็ไม่ได้มีช่วงเวลาที่สบายนักหรอกปีที่ผ่านมานี้ ตอนนั้นหินลบล้างสวรรค์ของตาเฒ่าเต๋าเจิ้นหยางปะทะเข้ากับเขาโดยตรง ตามการคาดคะเนของข้า เขาจะต้องทำการปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิอย่างน้อยสิบสองถึงยี่สิบปี ฮ่า! ถ้าเป็นเช่นนั้น ข้าก็ยังถือว่าเป็นผู้ชนะ!”
โม่เทียนเกอส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้เมื่อนางเห็นหน้าตาแห่งชัยชนะของประมุขเต๋าจิ้งเหอ คาดว่าท่านอาจารย์คนนี้คงทำตัวน่านับถือได้แค่นานๆ ครั้ง
“จริงสิ! เจ้าออกมาได้ทันเวลาพอดีกับการแข่งขันย่อยภายของในโรงเรียน จะมีการจัดขึ้นหลายวัน เจ้าอยากเข้าร่วมไหมล่ะ”
โม่เทียนเกอลังเลครู่หนึ่งก่อนจะตอบ “นี่… มันจะไม่เหมาะสมที่ข้าเข้าร่วมหรือเปล่า”
ผู้เข้าแข่งขันส่วนใหญ่ในการแข่งขันย่อยภายในของโรงเรียนคือศิษย์ธรรมดาทั่วไป การแข่งขันย่อยภายในสำหรับศิษย์การหลอมรวมพลังวิญญาณเกี่ยวข้องกับการได้รับยาสร้างฐานแห่งพลัง แต่การแข่งขันย่อยภายในสำหรับศิษย์การสร้างฐานแห่งพลังจะได้รับรางวัลประเภทอื่นๆ โดยทั่วไปศิษย์ระดับหัวกะทิน้อยมากที่จะเข้าร่วมในการแข่งขันย่อยภายใน อย่างแรกเพราะท่านอาจารย์ของพวกข้าได้มอบรางวัลให้พวกเขาอยู่แล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สนใจกับรางวัลเล็กๆ น้อยๆ อย่างที่สอง หากศิษย์หัวกะทิเข้าร่วมด้วย พวกเขาก็มีแนวโน้มว่าจะเอาชนะศิษย์ธรรมดาได้อยู่แล้ว ในกรณีนั้นศิษย์ธรรมดาก็จะไม่ได้รับรางวัลอะไรเลย ถึงแม้ว่าโลกแห่งการฝึกตนจะไม่เคยมองการถ่อมตนว่าเป็นคุณงามความดี แต่คนในกลุ่มการฝึกตนก็ยังต้องคิดถึงการถ่อมตนด้วยอยู่ดี
ประมุขเต๋าจิ้งเหอพูดโดยไม่ใส่ใจแม้แต่น้อย “มีอะไรไม่เหมาะสม? ถ้าพวกเขาแพ้เจ้า นั่นก็หมายความว่าพวกเขาไม่มีทักษะมากพอ”
โม่เทียนเกอยังคงนิ่งเงียบ เห็นได้ชัดว่าไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่เขาพูด
ประมุขเต๋าจิ้งเหอจ้องนางเขม็งอยู่ครู่หนึ่ง “ก็ได้! งั้นก็ไม่ต้องถ้าเจ้าไม่อยากเข้าร่วม อย่างไรก็ตาม เจ้าควรร่วมทำอะไรสนุกๆ บ้าง หลายๆ ครั้งที่การแลกเปลี่ยนความรู้กับสหายศิษย์ของเจ้าอาจจะมีประโยชน์”
นางถูกใจความคิดนี้ ดังนั้นนางจึงพยักหน้าและพูดว่า “เจ้าค่ะ ท่านอาจารย์”
โม่เทียนเกอรู้ว่าถึงแม้นางจะผ่านการต่อสู้ขนาดต่างๆ มาหลายครั้ง แต่นางก็ไม่ได้ต่อสู้ด้วยพลังเวทมากนักหลังจากนางเข้าสู่ดินแดนการสร้างฐานแห่งพลัง นางเข้าร่วมในการปราบจลาจลสัตว์ปีศาจ แต่นางก็ใช้เวลาสองปีที่วุ่นวายที่สุดไปกับการหลบซ่อนตัวอยู่ภายในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนของนาง ยิ่งไปกว่านั้น การต่อสู้ด้วยพลังเวทแทบทั้งหมดที่นางผ่านมาเป็นการต่อสู้ที่อันตรายถึงชีวิต สัญชาตญาณของนางที่เกี่ยวกับความอันตรายนั้นเหนือกว่าผู้ฝึกตนธรรมดาทั่วไป แต่ทักษะของนางอาจด้อยกว่าผู้ฝึกตนที่ฝึกกับคนอื่นบ่อยๆ นางไม่ได้ต่อสู้มาถึงห้าปีเพราะการปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิของนาง เพราะฉะนั้นนางจึงคิดว่านางควรใช้เวลาบางส่วนไปกับการศึกษาการต่อสู้ด้วยพลังเวทบ้าง
หลังจากออกจากตำหนักซ่างชิง นางขึ้นผ้าเช็ดหน้าไหมขาวและเหาะไปทางยอดเขาหลัก
โถงฝึกวรยุทธ์ตั้งอยู่ข้างโถงแห่งตรีวิสุทธิเทพ ณ ยอดเขาหลัก ขนาดของมันเกือบจะเทียบได้กับโถงแห่งตรีวิสุทธิเทพซึ่งเป็นตึกที่ใหญ่ที่สุดในทั้งโรงเรียน จากเรื่องนี้จึงเห็นได้ชัดเจนถึงความสำคัญของโถงนี้ในโรงเรียน
โม่เทียนเกอเดินเข้าไปในโถงอย่างสบายๆ ศิษย์เฝ้าประตูทำความเคารพนางทันที “ท่านปรมาจารย์โม่” ทุกวันนี้นางมีเกียรติอยู่พอประมาณในโรงเรียนเสวียนชิง ดังนั้นศิษย์เหล่านี้ทุกคนจึงจำนางได้
ไม่นานหลังจากนั้น ศิษย์ผู้ดูแลต้อนรับนางและพูดด้วยรอยยิ้ม “ท่านปรมาจารย์โม่ ท่านก็มาเพื่อฝึกฝนหรือ”
โม่เทียนเกอตอบกลับการทำความเคารพสั้นๆ ก่อนจะตอบว่า “ข้าไม่มีอะไรทำวันนี้ ข้าก็เลยแวะมาดูหน่อย”
“อ้อ… ท่านปรมาจารย์ เชิญทางนี้ขอรับ การประลองสำหรับศิษย์การสร้างฐานแห่งพลังจัดอยู่ข้างใน”
“อือ ขอโทษที่ต้องรบกวนเจ้า” โม่เทียนเกอตามศิษย์ผู้ดูแลไป เดินผ่านฝูงชนและเข้าไปในห้องด้านในผ่านสายตาทุกคนที่จับจ้อง
ห้องด้านนอกคือที่ซึ่งศิษย์การหลอมรวมพลังวิญญาณมีการประลองกัน ห้องนี้จัดการโดยศิษย์ผู้ดูแลที่อยู่ในดินแดนการหลอมรวมพลังวิญญาณพร้อมกับผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังอีกสองคนคอยคุมพวกเขา สำหรับห้องด้านในคือที่ที่การประลองของศิษย์การสร้างฐานแห่งพลังจัดขึ้น ผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่ขนขุมพลังจะเป็นคนตรวจตราดูแลทุกอย่าง แต่คนที่มีหน้าที่รับผู้มาเยือนยังคงเป็นคนงานระดับการสร้างฐานแห่งพลัง
เมื่อศิษย์ผู้ดูแลนำทางนางไปถึงหนึ่งในคนงาน เขาก็ขอตัวและออกไป
คนงานรับแผ่นจารึกประจำตัวของนางและบันทึกไว้ “อาจารย์ลุงโม่ นี่เป็นครั้งแรกที่ท่านมาที่นี่ใช่หรือไม่ขอรับ”
โม่เทียนเกอพยักหน้า เมื่อนางมาถึงโรงเรียนเสวียนชิงนางก็อยู่ในขั้นสูงสุดของดินแดนการหลอมรวมพลังวิญญาณแล้วและสร้างฐานแห่งพลังของนางได้หลังจากนั้นไม่นาน หลังจากนางสร้างฐานแห่งพลัง นางก็ต้องเผชิญกับการจลาจลของสัตว์ปีศาจทันที และเมื่อถึงเวลาที่นางกลับมา นางก็ได้กลายเป็นศิษย์ทางการของประมุขเต๋าจิ้งเหอเรียบร้อยแล้ว หลังจากนั้นนางใช้เวลาห้าปีถูกอาจารย์สั่งให้ทำนั่นทำนี่และอีกห้าปีอยู่ในการปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิ นางแทบไม่มีเวลามาที่โถงฝึกวรยุทธ์เลย
คนงานพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นให้ข้าได้พาอาจารย์ลุงไปดูเถอะขอรับ”
“ขอบคุณ”
คนงานเดินนำโม่เทียนเกอขณะที่เขาอธิบายไปด้วยพร้อมกัน “กฎที่โถงฝึกวรยุทธ์นั้นก็ง่ายๆ เวทีถูกจัดไว้ที่โถงหลัก ใครๆ ก็สามารถขึ้นไปสู้ได้ ผู้ชนะจะต้องอยู่บนเวทีและรอผู้ท้าทายคนใหม่และจะลงจากเวทีได้หลังจากชนะสามรอบติดต่อกัน ถ้าคนสองคนต้องการมีการต่อสู้ส่วนตัว พวกเขาจะต้องมาหาข้าเพื่อรับป้ายประจำห้องและไปที่ห้องด้านข้างตรงนั้น แน่นอนว่าคนงานก็ต้องอยู่กับพวกเขาเพื่อคอยดูเป็นพยาน นอกจากนี้ ภายในห้องนั้นยังมีอาจารย์ลุงระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังคอยคุมสถานที่อีกด้วย ถ้ามีสองคนที่ต้องการประลองกันแบบเต็มกำลัง พวกเขาต้องขออนุญาตเสียก่อนและสามารถแข่งต่อได้ภายใต้การเฝ้าระวังของอาจารย์ลุงระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังเท่านั้น”
ขณะที่โม่เทียนเกอฟัง นางก็พยักหน้าตามบางครั้งบางคราว กฎเหล่านี้สมเหตุสมผล พวกคนที่ต้องการจะต่อสู้กันส่วนตัวต้องมีบุคคลที่สามอยู่ด้วยเพื่อเลี่ยงอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นจากข้ออ้างว่าไม่เข้าใจกฎกติกา อีกอย่าง วิธีการบางอย่างที่ใช้เพื่อต้อนคู่ต่อสู้ให้จนมุมก็อาจก่อให้เกิดการบาดเจ็บได้ แต่ในขณะเดียวกันถ้าไม่ใช้อย่างเต็มกำลังก็จะไม่ได้แสดงพลังของพวกเขาออกมา เพราะเหตุนั้นจึงจำเป็นต้องมีผู้ฝึกตนการก่อเกิดแก่นขุมพลังอยู่ด้วยเพื่อให้มั่นใจในความปลอดภัยของทุกคน