ลำนำสตรียอดเซียน - ตอนที่ 152 เขตถงอันแห่งแคว้นเว่ย
เยี่ยจิ่งเหวินหมายความตามที่เขาพูด จากวันนั้นเป็นต้นมา เขาและโม่เทียนเกอไปที่โถงฝึกวรยุทธ์กันทุกวัน เรียนรู้จากทักษะของอีกฝ่าย ในฐานะผู้ฝึกตนสายกระบี่ เขามุ่งความสนใจอยู่กับการเปรียบเทียบทักษะของเขากับคนอื่นมากกว่า ดังนั้นเขาจึงมีความเข้าใจในการต่อสู้ด้วยพลังเวทดีกว่า ตั้งแต่ที่โม่เทียนเกอแลกเปลี่ยนความรู้กับเขา ทักษะในการต่อสู้ด้วยพลังเวทของนางจึงพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็วมาก
หนึ่งเดือนให้หลัง โม่เทียนเกอก็สามารถชนะการประลองสองในสามครั้งโดยพึ่งพาอาวุธเวทของนาง เยี่ยจิ่งเหวินได้รับแรงกระตุ้นจากเรื่องนี้เป็นอย่างมาก ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจกลับไปและเข้าสู่การปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิ
ในไม่ช้า ระยะเวลาสิบปีของโม่เทียนเกอก็สิ้นสุดลง ประมุขเต๋าจิ้งเหอบอกว่าโม่เทียนเกออยู่ในการปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิมาเป็นเวลานานแล้วและระดับการฝึกตนของนางก็สูงมากพอ ดังนั้นนางจึงสามารถออกจากภูเขาและไปท่องเที่ยวได้
โม่เทียนเกอจัดการกับภาระหน้าที่ของนางให้เสร็จ ปิดผนึกถ้ำเซียนของนาง และในไม่ช้าก็ออกจากเขาไท่คังโดยพาเยี่ยเจินจีไปกับนางด้วย
มีมากกว่าสิบสองแคว้นในขั้วท้องฟ้า แคว้นเว่ยตั้งอยู่ใจกลางของทวีป ทางตะวันออกคือแคว้นจิ้นและแคว้นเหยียน ส่วนทางตะวันตกคือแคว้นฉินและแคว้นฉู่ มันถูกรายล้อมไปด้วยศัตรู
เพราะเหตุนี้แคว้นเว่ยจึงสนับสนุนอาจารย์เซียนหลายคนและถึงกับลงทุนให้เกียรติชื่อตำแหน่งขุนนางกับผู้ฝึกตนจากตระกูลผู้ฝึกตนที่กำลังตกต่ำเพื่อปกป้องสันติภาพและความปลอดภัยของตัวเอง
หลังจากโม่เทียนเกอลงจากแถบตะวันออกของแนวเทือกเขาคุนอู๋ นางใช้เวลาเพียงไม่กี่วันในการพาเยี่ยเจินจีไปถึงเขตถงอันแห่งแคว้นเว่ย
เขตถงอันไม่ใช่แค่เมืองที่ใหญ่ที่สุดในแคว้นเว่ย แต่มันยังเป็นศูนย์กลางการขนส่งที่เชื่อมต่อกับทั่วทั้งขั้วท้องฟ้า เป็นจุดบรรจบของทิศเหนือและทิศใต้ และยังตั้งอยู่ใกล้กับแม่น้ำดังนั้นมันจึงเชื่อมกับทั้งผืนดินและผืนน้ำ ชายแดนฝั่งตะวันตกของมันเชื่อมกับภูเขาของแคว้นฉินและพื้นดินของแคว้นฉู่ ขณะที่ชายแดนฝั่งตะวันออกติดกับที่ราบลุ่มของแคว้นจิ้นและแคว้นเหยียน ตำแหน่งที่ตั้งของมันคือจุดยุทธศาสตร์ ผลก็คือเขตถงอันจึงกลายเป็นสถานที่ที่คึกคักที่สุดในทั่วทั้งขั้วท้องฟ้า
แต่บางสิ่งทำให้พวกเขารู้สึกอับอายเล็กน้อย เยี่ยเจินจียังเด็กมากเมื่อเขาจากบ้านมา ดังนั้นเขาจึงจำไม่ได้ว่าตระกูลเยี่ยตั้งอยู่ที่ไหน โชคดีที่ตระกูลเยี่ยมีชื่อว่า “ขุนนางแห่งฉางหนิง” ในแคว้นเว่ย เพราะอย่างนั้นพวกเขาจึงสามารถหาตระกูลเยี่ยเจอได้อย่างเร็วหลังจากถามมาตลอดทาง
ภายในเขตถงอัน คนรวยอาศัยอยู่ทางแถบตะวันออก คนชั้นสูงอาศัยอยู่ในแถบตะวันตก ส่วนคนจนจะรวมตัวกันอยู่แถบทางใต้ และคนที่มีสถานะต่ำๆ จะอยู่แถบทางเหนือ ตระกูลเยี่ยเป็นพวกผู้ดีชั้นสูง ดังนั้นพวกเขาจึงอาศัยอยู่ในแถบตะวันตกของเขตนี้
เมื่อพวกเขามาถึงที่แถบตะวันตกของเขต ประตูสีแดงสดและรูปปั้นสิงห์ผู้พิทักษ์สามารถเห็นได้ทุกที่ทั่วไป แต่แม้ท่ามกลางบ้านของผู้สูงศักดิ์เหล่านี้ ที่พักของตระกูลเยี่ยก็ยังโดดเด่นสะดุดตา บนแผ่นป้ายแนวนอนที่อยู่เหนือประตู คำสี่คำถูกสลักเอาไว้ว่า “ที่พักแห่งขุนนางฉางหนิง”
เยี่ยเจินจีดีใจมากและต้องการจะเข้าไปทันที แต่โดยไม่คาดคิด หนึ่งในคนรับใช้วัยหนุ่มที่เฝ้าประตูมาขวางทางเขาไว้และพูดอย่างโอหังว่า “ที่นี่คือที่พักของขุนนางแห่งฉางหนิง คนที่ไม่ได้รับอนุญาตห้ามเข้าเด็ดขาด”
เยี่ยเจินจีตะลึงงัน โม่เทียนเกอที่เดินอยู่ข้างๆ เขาอยากจะหัวเราะออกมาทันที ในโลกมนุษย์ ทุกคนถูกตัดสินด้วยรูปลักษณ์ภายนอกทั้งนั้น ถึงแม้เยี่ยเจินจีจะเป็นชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาและโดดเด่น แต่เสื้อผ้าของเขาเรียบง่ายและไม่มีรูปแบบเหมือนคุณชาย ดังนั้นคนรับใช้เฝ้าประตูพวกนี้จึงคิดว่าเขาเป็นคนธรรมดา พวกเขาไม่ได้คาดคิดเลยว่าที่จริงแล้วเขาจะเป็นคุณชายของครอบครัวนี้
หลังจากจ้องอย่างเหม่อลอยอยู่พักหนึ่ง เยี่ยเจินจีตะโกนออกมา “เจ้าหมายความว่าอย่างไรที่ว่าเป็นคนไม่ได้รับอนุญาต!? ที่นี่คือบ้านของข้า! ข้ามาจากตระกูลเยี่ย!”
หนึ่งในคนรับใช้ชำเลืองมองเขาด้วยหางตาและพูดด้วยน้ำเสียงโอหังเหมือนดังก่อนหน้านี้ “ไปซะ! ถ้าเจ้าไม่มีธุระสำคัญอะไร อย่ามาหาเรื่อง!”
เยี่ยเจินจีเริ่มจะร้อนใจ เขาจึงพูดอย่างโกรธๆ “แซ่ของข้าคือเยี่ยและชื่อข้าคือเจินจี พวกเจ้าไปรายงานกับท่านขุนนางได้เลย”
พอเขาพูดถึงชื่อขึ้นมา ในที่สุดคนรับใช้พวกนั้นจึงได้มองเขาให้ชัดๆ
“แซ่ของเขาคือเยี่ย หรือว่าเขาจะเป็น…”
“ไม่ได้มีแค่ครอบครัวเราที่มีแซ่เยี่ยซะหน่อย”
“แต่ถ้าเกิดเขาเป็นล่ะ”
…
คนรับใช้หนุ่มพึมพำกันอยู่สองคนครู่หนึ่ง สุดท้ายคนหนึ่งก็พูดว่า “รอตรงนี้ ข้าจะไปรายงานชื่อเจ้าก่อน”
ถึงแม้ว่าเขาจะยอมทำตาม แต่เขาก็ยังไม่มีความเคารพต่อเยี่ยเจินจีเลยสักนิด
เยี่ยเจินจีควบคุมอารมณ์โกรธของเขาและแอบมองโม่เทียนเกอ เมื่อเห็นสีหน้าสงบนิ่งของนาง ในที่สุดเขาก็บังคับตัวเองให้พยักหน้า เมื่อคนรับใช้หนุ่มคนนั้นหายไป เขาเดินมาทางด้านข้างโม่เทียนเกอและพูดอย่างขอโทษขอโพย “อาจารย์ลุง ข้าขอโทษ คนรับใช้ในบ้านช่างไม่เชื่อฟังเอาเสียเลย เพราะงั้นกรุณารอสักครู่นะขอรับ”
โม่เทียนเกอเพียงแค่ยิ้มโดยไม่พูดอะไร นางคิดว่านี่ก็ค่อนข้างตลกดี ที่จริงคนจากโลกแห่งการฝึกตนก็เหมือนกัน แต่แทนที่จะตัดสินคนจากเสื้อผ้า พวกเขากลับตัดสินจากระดับการฝึกตนของคนแทน
ไม่นานนัก เสียงของฝีเท้ากระตือรือร้นก็ดังให้ได้ยิน ทำให้ทั้งสองคนต้องมองไปที่ประตู ชายชราแต่งตัวในชุดเสนาบดีกำลังเดินนำกลุ่มคนที่รีบเร่งมาทางประตูอย่างร้อนใจ คนรับใช้ที่รายงานให้ทราบอยู่หลังพวกเขา กำลังปาดเหงื่อบนหน้าอย่างประหม่า
ทันทีหลังจากที่โม่เทียนเกอเห็นชายชรา นางก็สามารถเดาได้ว่าตัวตนของเขาเป็นใคร แน่นอนว่าเมื่อเยี่ยเจินจีเห็นเขา เขาดูทั้งตื่นเต้นและขัดแย้งในตัวเอง
เขาออกจากบ้านไปเมื่อเขาอายุแค่เก้าขวบและตอนนี้ก็ผ่านไปประมาณสิบเอ็ดปีแล้ว เด็กน้อยคนนั้นโตมาเป็นชายหนุ่มคนนี้ในปัจจุบัน ถึงอย่างนั้นเมื่อเขาเห็นผู้อาวุโส เขาก็รู้สึกทั้งตื่นเต้นและประหม่าไปด้วย
“เจินเอ๋อร์!” จากภายในกลุ่มคน หญิงสูงศักดิ์รีบวิ่งมาพร้อมกับสะดุดเท้าตัวเองโดยไม่สนใจเครื่องเพชรที่ประดับอยู่ทั่วร่างของนาง
เยี่ยเจินจีเพียงแค่จ้องนางอย่างเหม่อลอย
นายหญิงคนนั้นโผเข้าหาเยี่ยเจินจีและเริ่มร้องไห้โฮใส่ไหล่ของเขา “เจินเอ๋อร์! เจินเอ๋อร์ของข้า ในที่สุดเจ้าก็กลับมา!”
ริมฝีปากของเยี่ยเจินจีสั่นระริก หลังจากผ่านไปนาน สุดท้ายเขาก็ร้องเรียกออกมา “ท่านแม่!” และร้องไห้เงียบๆ
โม่เทียนเกอที่ยืนอยู่ด้านหลังกำลังมองครอบครัวที่ในที่สุดก็ได้กลับมาเจอหน้ากันอีกครั้งหลังจากแยกจากกันไปนานและทักทายกันด้วยน้ำตา นางทำได้เพียงแค่ถอนหายใจอยู่ภายในใจ
นี่ก็เป็นครอบครัวของนางเช่นกัน แต่ในเมื่อไม่มีความรักระหว่างนางกับพวกเขา นางจึงต้องแยกตัวออกมาเช่นนี้
เวลานานหลังจากนั้น เมื่อเยี่ยเจินจีทักทายทุกคนในครอบครัวเขาเสร็จ ในที่สุดเขาก็จำได้ว่านางยังคงยืนอยู่ตรงด้านข้าง เขารีบเช็ดน้ำตาและแนะนำครอบครัวเขาให้กับนาง “อาจารย์ลุง ข้า… นี่คือครอบครัวของข้า”
พอได้ยินเขาเรียกนางว่าอาจารย์ลุง ทุกคนในตระกูลเยี่ยรีบจัดท่าทางให้เรียบร้อยทันทีขณะที่จ้องมองนาง
โม่เทียนเกอใช้จิตสัมผัสของนางเพื่อตรวจดูพวกเขาทุกคนนานแล้ว ตระกูลเยี่ยนี้มีผู้ฝึกตนหลายคนแต่รากวิญญาณของพวกเขาล้วนอ่อนแอทั้งหมด ผู้ฝึกตนที่มีระดับการฝึกตนสูงสุดในกลุ่มคือคนที่อยู่ในดินแดนการหลอมรวมพลังวิญญาณระดับสาม และเป็นชายชราคนที่เดินนำกลุ่มมา
พวกผู้ฝึกตนที่อยู่ตรงนี้ก็สัมผัสได้ถึงระดับการฝึกตนที่โม่เทียนเกอแอบเผยออกมาอย่างลับๆ ได้เช่นกันและดูนอบน้อมทันที พวกเขาถามเรียบร้อยแล้วและรู้ว่าระดับการฝึกตนของเยี่ยเจินจีตอนนี้อยู่ในระดับสิบของดินแดนการหลอมรวมพลังวิญญาณ พอได้ยินเขาเรียกนางว่าอาจารย์ลุง พวกเขาก็รู้ว่าโม่เทียนเกออย่างน้อยต้องเป็นผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังแน่ เพราะฉะนั้นถึงแม้นางจะดูเหมือนอายุสิบแปดถึงสิบเก้าปี แต่พวกเขาก็ไม่กล้าจะดูถูกนางแม้แต่น้อย
“อาจารย์ลุง ขอให้ข้าได้แนะนำครอบครัวของข้า นี่คืออากงหัวหน้าตระกูล” เยี่ยเจินจีพูดพร้อมกับดึงโม่เทียนเกอให้ยืนอยู่หน้าผู้นำวัยชรา
ชายชราคนนี้ผมหงอกขาวแต่ยังคงกระฉับกระเฉงมาก ในฐานะผู้ฝึกตนการหลอมรวมพลังวิญญาณระดับสามที่ยังคงอยู่ในโลกมนุษย์มาเป็นเวลานาน เขาจึงมีประสบการณ์มากเป็นธรรมดา ดังนั้นเขาจึงรีบประสานมือเป็นการทักทายทันที “ตาแก่เจียมตัวคนนี้ เยี่ยเฉิง หัวหน้าแห่งตระกูลเยี่ยขอคารวะท่านผู้อาวุโส”
งั้นนี่ก็คือเยี่ยเฉิงคนที่ท่านอาที่สองพูดถึง ตามการนับลำดับอาวุโส เขาน่าจะเป็นรุ่นต่ำกว่าข้าหลายรุ่น โม่เทียนเกอรับการทำความเคารพของเขาอย่างสงบและพยักหน้าตอบ
เยี่ยเจินจียังคงพูดต่อโดยดึงนางไปทางชายวัยกลางคน “นี่คือท่านพ่อของข้า”
“ข้าน้อยเยี่ยจุ่นขอคารวะท่านผู้อาวุโส”
เขาเองก็เป็นผู้ฝึกตนเช่นกัน แต่ระดับการฝึกตนของเขาอยู่ในแค่ในระดับแรกของดินแดนการหลอมรวมพลังวิญญาณ
จากนั้นเยี่ยเจินจีชี้ไปที่นายหญิงซึ่งกอดเขาน้ำตานองหน้าเมื่อครู่นี้ “นี่คือท่านแม่ของข้า”
หญิงสูงศักดิ์โค้งคำนับนางอย่างซาบซึ้ง “ข้าไม่อาจขอบคุณท่านผู้อาวุโสได้มากพอสำหรับการดูแลเอาใจใส่ที่ท่านมอบให้กับเจินเอ๋อร์ของครอบครัวเราตลอดมา”
ในที่สุดโม่เทียนเกอก็ยกมือขึ้น “นายหญิงไม่จำเป็นต้องสุภาพนัก ในเมื่อข้าเป็นผู้อาวุโสในฝ่ายของเขา ข้าต้องคอยดูแลเขาเป็นธรรมดา”
มีคนอื่นอีกหลายคนที่ได้รับการแนะนำต่อจากนายหญิง และพวกเขาทั้งหมดทำความเคารพนางทีละคน
ในเวลาต่อมาเมื่อพิธีทักทายกันเสร็จสิ้นลงเสียที เยี่ยเฉิงเชิญนางเข้าไปในโถงนั่งเล่นอย่างเอาอกเอาใจ บอกให้คนส่วนหนึ่งในกลุ่มออกไปและเหลือไว้เพียงแค่คนสำคัญที่จะอยู่และนั่งกับพวกเขา
เมื่อทุกคนได้เข้ามาข้างในและนั่งประจำที่ เยี่ยเฉิงพูดกับเยี่ยเจินจี “เจินเอ๋อร์ เจ้าจะไม่แนะนำอาจารย์ลุงของเจ้าให้พวกเรารู้จักรึ”
ก่อนหน้านี้เยี่ยเจินจีพูดเพียงว่าโม่เทียนเกอเป็นอาจารย์ลุงของเขาและนางคอยดูแลเขามาตลอดให้กับสมาชิกในครอบครัวของเขาฟัง เขายังพูดอีกว่านางตั้งใจมาเป็นเพื่อนเขาเพราะเขาต้องการเดินทางลงจากภูเขาในครั้งนี้
เยี่ยเจินจีรีบยืนขึ้น “อากงหัวหน้าตระกูล อาจารย์ลุงคนนี้… คือศิษย์คนสุดท้ายของท่านปรมาจารย์ของข้า ปรมาจารย์จิ้งเหอ อาจารย์ของข้าอยู่ในการปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิอยู่เสมอ ดังนั้นอาจารย์ลุงโม่จึงสอนข้าทุกอย่าง นางเป็นอาจารย์ที่แท้จริงที่คอยสอนข้ามาตลอด”
“โอ้?” สิ่งที่เยี่ยเจินจีพูดทำให้สายตาทุกคนที่จ้องโม่เทียนเกอเปลี่ยนไป ตามที่เขาพูด นางอาจจะถูกเรียกว่าอาจารย์ลุง แต่นางมีศักดิ์เทียบเท่ากับอาจารย์ของเขา ยิ่งไปกว่านั้น นางยังเป็นศิษย์คนสุดท้ายของผู้มีอำนาจระดับจิตวิญาณใหม่แห่งโรงเรียนเสวียนชิงอีกด้วย เห็นได้ชัดว่าข่ายความสามารถและความสูงส่งของนางไม่ใช่สิ่งที่ผู้ฝึกตนคนไม่สำคัญและอ่อนแอที่ออกจากคุนอู๋ไปอย่างพวกเขาจะสามารถจินตนาการได้
เยี่ยเฉิงยืนขึ้นอีกครั้ง “ท่านผู้อาวุโสมีพระคุณเช่นนั้นต่อเจินเอ๋อร์ของครอบครัวเรา… ตาแก่เจียมตัวคนนี้ต้องขอขอบคุณท่านผู้อาวุโสอีกครั้งหนึ่ง”
“เจ้าไม่ต้องทำเช่นนี้หรอก” โม่เทียนเกอพูดพร้อมรอยยิ้ม “เยี่ยเจินจีเป็นเด็กฉลาดและมารยาทดี ถึงแม้ว่าความสามารถของเขาจะบกพร่องนิดหน่อย แต่เขาก็ขยันในการร่ำเรียนมาก ไม่ช้าก็เร็วเขาจะต้องประสบความสำเร็จได้แน่นอน”
การประเมินเยี่ยเจินจีของโม่เทียนเกอทำให้เยี่ยเฉิงตื่นเต้นมาก เขาพูดว่า “ถ้าเขาสามารถเป็นคนที่ประสบความสำเร็จได้ นั่นก็เป็นเพราะดวงของเขา แต่ก็เป็นเพราะพระคุณที่ท่านมอบให้เขาด้วยเช่นกัน”
ทั้งสองคนยังคงพูดจาสุภาพอย่างนี้กันไปอีกพักหนึ่งก่อนที่เยี่ยเฉิงจะถามอีกครั้ง “ท่านผู้อาวุโสมาที่โลกมนุษย์เพื่อจัดการธุระอะไรหรือเปล่า ถึงแม้ว่าระดับการฝึกตนของข้าจะต่ำ แต่ข้าก็พอจะมีหน้ามีตาในโลกมนุษย์อยู่ บางทีข้าอาจจะช่วยท่านผู้อาวุโสได้ในการสืบหาข่าวบางอย่าง”
“คือ… ข้ามาที่โลกมนุษย์ไม่ใช่เพราะข้ามีเรื่องสำคัญต้องจัดการ ข้าแค่มาเพื่อท่องเที่ยวไปเรื่อย”
“ข้าเข้าใจ… ท่านผู้อาวุโสแทบไม่ได้มาที่โลกมนุษย์เลยใช่ไหม ตระกูลเยี่ยของเราอาศัยอยู่ในโลกมนุษย์มาเป็นเวลานาน เพราะฉะนั้นเราจึงรู้เรื่องพิเศษมากมายเกี่ยวกับโลกมนุษย์ ถ้าท่านผู้อาวุโสไม่ถือ ข้าสามารถอธิบายให้ท่านฟังได้” เยี่ยเฉิงพูดอย่างกระตือรือร้น
โม่เทียนเกอไตร่ตรองข้อเสนอของเขาแล้วจึงพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “ถ้าเช่นนั้น ข้าต้องรบกวนท่านด้วย”
“ไม่มีปัญหา ไม่มีปัญหา” เยี่ยเฉิงพูดซ้ำๆ “ท่านผู้อาวุโสมาตั้งไกลจากคุนอู๋ ท่านน่าจะเหนื่อย ถ้าเช่นนั้นตอนนี้ท่านอยู่ที่บ้านหลังน้อยของข้าไปก่อนดีไหมล่ะขอรับ เดี๋ยวตอนเย็นตาแก่คนนี้จะส่งข่าวทั้งหมดที่ตระกูลของข้ารวบรวมมาได้ให้ท่าน”
โม่เทียนเกอไม่มีความอดทนมากนักกับการพูดคุยเช่นนี้กับคนอื่น ดังนั้นนางจึงรีบตกลงทันทีและออกไปก่อน
บัดนี้พอโม่เทียนเกอออกไป เยี่ยเฉิงถามขึ้นมากะทันหัน “เจินเอ๋อร์ ที่จริงอาจารย์ลุงของเจ้าคนนี้เป็นใคร”
เยี่ยเจินจีตกใจและค่อนข้างหวาดกลัว “อากงหัวหน้าตระกูล นาง… นางเป็นอาจารย์ลุงของข้า!”
“นางเป็นผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังหรือ”
“ขอรับ อาจารย์ลุงอยู่ในการปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิอยู่ห้าปี นางเพิ่งเข้าถึงจุดสูงสุดของขั้นกลางแห่งดินแดนการสร้างฐานแห่งพลัง ตอนนี้นางถูกท่านปรมาจารย์สั่งให้ออกจากภูเขาและออกท่องเที่ยว จุดประสงค์ก็เพื่อทำให้สภาวะจิตของนางเข้มแข็งขึ้นเพื่อนางจะได้บรรลุผ่านไปสู่ขั้นสุดท้ายของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังได้อย่างง่ายดาย”
“เข้าใจล่ะ…” คิ้วของเขาขมวดเล็กน้อย “ผู้อาวุโสคนนี้นางอายุเท่าไหร่ ต้นทุนของนางเป็นอย่างไร ระดับการฝึกตนของนางอยู่แค่ในขั้นกลางของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลัง แต่นางก็ถูกรับเข้าไปเป็นศิษย์ของท่านปรมาจารย์จิตวิญญาณใหม่ของเจ้างั้นหรือ”
พอเห็นว่าเยี่ยเฉิงดูเหมือนเขาจะไม่ได้สงสัยอะไร เยี่ยเจินจีจึงสงบจิตใจและตอบว่า “อาจารย์ลุง… น่าจะอายุสามสิบเจ็ดปี ข้าไม่แน่ใจนักว่ารากวิญญาณของนางเป็นแบบไหน ข้ารู้แค่ว่ามันเป็นรากวิญญาณประเภทพิเศษและไม่ด้อยไปกว่ารากวิญญาณเดี่ยวหรือรากวิญญาณกลายพันธุ์”
“สามสิบเจ็ดปี?!” เยี่ยเฉิงดูตกใจ นางอายุแค่สามสิบเจ็ดปีแต่ก็อยู่ในจุดสูงสุดของขั้นกลางดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังแล้ว… ไม่น่าแปลกใจว่าทำไมนางถึงถูกผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่รับเข้าเป็นศิษย์ นางต้องมีความสามารถเก่งกาจมากอย่างไม่ต้องสงสัยแน่!
“เจินเอ๋อร์ ความสัมพันธ์ของเจ้ากับอาจารย์ลุงเป็นอย่างไรบ้าง”
เยี่ยเจินจีคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบ “ตั้งแต่ข้ากลายเป็นศิษย์ของท่านอาจารย์ อาจารย์ลุงก็คอยสอนข้าเป็นการส่วนตัว ไม่ผิดหากจะบอกว่าอาจารย์ลุงคืออาจารย์ที่แท้จริงของข้า”
“ถ้าเช่นนั้นอาจารย์ลุงของเจ้ามีศิษย์คนอื่นอีกไหม”
“ไม่ขอรับ อาจารย์ลุงยังอายุน้อย นางแค่สอนข้าแทนท่านอาจารย์ของข้า นางไม่มีศิษย์เป็นของตัวเอง”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เยี่ยเฉิงครุ่นคิดอยู่ประมาณหนึ่งก่อนจะลูบเคราของเขา ทันใดนั้นเขาก็พูดอย่างระมัดระวังว่า “เจินเอ๋อร์ ตั้งแต่นี้ไปเจ้าต้องตีสนิทกับอาจารย์ลุงของเจ้าเอาไว้ ด้วยอายุปัจจุบันและระดับการฝึกตนของอาจารย์ลุงเจ้า รวมถึงสถานะของนางในฐานะศิษย์คนสุดท้ายของผู้มีอำนาจระดับจิตวิญญาณใหม่ อนาคตของนางจะต้องไร้ขีดจำกัดแน่ ถ้าเจ้ามีความสัมพันธ์ที่ดีกับนาง เจ้าจะได้ประโยชน์อย่างแน่นอน!”
เยี่ยเจินจีรู้ว่าอากงหัวหน้าตระกูลพูดเช่นนี้เพื่อประโยชน์ของเขาเอง แต่คำพูดของอากงก็ยังทำให้เขาไม่พอใจ เขาสนิทกับท่านอาของเขาอยู่แล้วและมันก็ไม่ใช่เพราะเขากำลังหาประโยชน์จากนาง
“อากงหัวหน้าตระกูล อาจารย์ลุงดูแลข้าอย่างดีด้วยความจริงใจและความเคารพที่ข้ามีต่อนางก็มาจากใจจริง จงวางใจเถิดว่าระหว่างเรามีความสัมพันธ์อันดีต่อกันมาโดยตลอด”