ลำนำสตรียอดเซียน - ตอนที่ 153-1 สมาชิกตระกูลเยี่ย
“ก๊อกๆ” เสียงเคาะประตูเบาๆ สองครั้งดังขึ้น
โม่เทียนเกอหยุดฝึกตน นางใช้จิตสัมผัสเพื่อตรวจดูสภาพรอบตัวแล้วจึงคลายกำแพงอาคมที่นางวางไว้ด้านนอกออก “เข้ามา”
คนที่ผลักประตูเปิดและเดินเข้ามาคือแม่ของเยี่ยเจินจี นายหญิงเหยียน
นายหญิงเหยียนคนนี้พาสาวใช้สี่คนมากับนางด้วยและดูเป็นมิตรอย่างมาก “ท่านผู้อาวุโส ข้ารบกวนท่านหรือเปล่า”
โม่เทียนเกอมีความประทับใจค่อนข้างดีกับนายหญิงเหยียน อาจเพราะความรักของแม่ที่นางมีต่อเยี่ยเจินจีทำให้โม่เทียนเกอนึกถึงแม่ของตัวเอง
“ไม่เป็นไร มีเรื่องอะไรรึ”
“อ้อ คือว่า… ห้องนอนแขกมันออกจะโทรม ข้าจึงเกรงว่าท่านผู้อาวุโสจะไม่ชินน่ะเจ้าค่ะ…” หลังจากนางพูดเช่นนั้น นางก็บอกใบ้ให้สาวใช้วางสิ่งของที่พวกนางถืออยู่
โม่เทียนเกอเพียงมองของพวกนั้นผ่านๆ ทั้งหมดเป็นของฉาบฉวยและหรูหราที่คนรวยและผู้ดีชอบใช้กัน นางส่ายหน้า “นายหญิงไม่จำเป็นต้องสุภาพนัก คงจะไม่ดีหากผู้ฝึกตนอย่างข้าจะกังวลเกี่ยวกับเรื่องทางโลกมากเกินไป ของพวกนี้ไม่มีประโยชน์สำหรับข้า ดังนั้นนายหญิงไม่จำเป็นต้องลำบากก็ได้”
“นี่… ท่านผู้อาวุโสเป็นแขกผู้มีเกียรติของตระกูลเยี่ยของข้า ข้ากลัวว่าข้าไม่ได้ดูแลท่านอย่างดีพอ”
รอยยิ้มบางๆ ปรากฏขึ้นใบหน้าของโม่เทียนเกอ “ข้าเข้าใจเจตนาของนายหญิงดี แต่ของทางโลกพวกนี้ไม่ได้จำเป็นจริงๆ”
พอเห็นว่านางแน่วแน่มากแค่ไหน นายหญิงเหยียนจึงไม่มีทางเลือกนอกจากสั่งให้สาวใช้นำของพวกนั้นกลับไป
นายหญิงเหยียนเผยให้เห็นหน้าตาที่กำลังรู้สึกขัดแย้ง แต่หลังจากชั่วครู่ นางก็ยิ้มและพูดว่า “ข้ามีบางอย่างอยากจะพูดกับท่านผู้อาวุโส ข้าไม่รู้ว่าท่านมีเวลาหรือไม่…”
“ถ้านายหญิงมีอะไรจะพูด นายหญิงอย่าได้ลังเล”
หลังจากได้รับอนุญาตจากโม่เทียนเกอ นายหญิงเหยียนสั่งให้สาวใช้ออกไปก่อนขณะที่นางยังคงอยู่ข้างหลัง
“ท่านผู้อาวุโส ตามหลักแล้วข้าไม่ควรรบกวนตอนท่านกำลังฝึกตนอยู่เพื่อเรื่องแบบนี้ แต่… ข้าเป็นแม่คน… และแม่ก็ต้องการรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับลูกชายของนางเสมอ” ขณะนั้นนายหญิงเหยียนหยุดพูดอย่างประหม่าและจึงพูดต่อหลังจากนั้นไม่นาน “ท่านเป็นอาจารย์ลุงของเจินเอ๋อร์ ดังนั้นท่านน่าจะได้พูดคุยกับเขาบ่อยๆ ในช่วงสิบปีที่ผ่านมานี้ มันช่างเป็นเวลานานแต่ข้าก็ไม่สามารถพบเจอเขาได้เลยในช่วงเวลานั้น… ท่านผู้อาวุโส ท่านช่วยบอกข้าทุกอย่างเกี่ยวกับเจินเอ๋อร์ได้หรือไม่ เขาเป็นอย่างไรบ้างตลอดหลายปีมานี้? เขาต้องทุกข์ทนกับความเศร้าบ้างไหม แล้วตอนนี้เขาเป็นอย่างไร…”
โม่เทียนเกอไม่มีเหตุผลอะไรจะปฏิเสธคำขอเล็กน้อยแค่นี้ แม่คนหนึ่งที่ลูกของนางต้องจากข้างกายนางไปถึงสิบเอ็ดปีก็ต้องอยากรู้เกี่ยวกับลูกของนางให้ได้มากที่สุดเป็นธรรมดา
“นายหญิงไม่จำเป็นต้องกังวล เจินจีทำได้ดีมาก เขาเป็นศิษย์ภายในชั้นสูงของผู้ฝึกตนการก่อเกิดแก่นขุมพลังและเรื่องของเขาก็ได้รับการดูแลโดยพวกเราผู้อาวุโสที่ฝ่ายของเขา เขาจะไม่เป็นอะไรหรอก”
“จริงหรือ เขามีสหายที่โรงเรียนบ้างไหม เขาถูกรังแกหรือไม่”
การระดมคำถามครั้งนี้ทำให้โม่เทียนเกอหัวเราะ “เขามีประมุขเต๋าจิ้งเหอเป็นปรมาจารย์ของเขา ใครจะกล้ารังแกเขากัน อีกอย่างถ้ามีใครต้องการรังแกเขา ข้าก็จะไม่นั่งเฉยๆ แน่ วางใจเถอะนายหญิง เด็กคนนั้นมีอารมณ์อ่อนโยน เพราะงั้นเขาจึงเข้ากันได้ดีกับคนอื่นๆ”
“ถ้าอย่างนั้นก็ดีจริงๆ” นายหญิงเหยียนพูดด้วยความโล่งอก “เจินเอ๋อร์เป็นคนช่างคิดรอบคอบแม้แต่ตอนที่เขายังเด็ก ถ้าเขามีปัญหา เขาจะไม่บอกเราแน่นอน เพราะข้าเกรงว่าเขาจะยังเป็นแบบนี้อยู่ข้าจึงต้องมารบกวนท่านผู้อาวุโส เจินเอ๋อร์อยู่ในระดับสิบของดินแดนการหลอมรวมพลังวิญญาณแล้ว ทำไมท่านทั้งสองถึงเลือกจะออกจากโรงเรียนมาตอนนี้ล่ะเจ้าคะ”
เมื่อเห็นสีหน้ากังวลของนายหญิงเหยียน โม่เทียนเกอจึงอธิบาย” เดิมทีข้าก็คิดว่าจะปล่อยให้เจินจีกลับมาหลังจากเขาสร้างฐานแห่งพลังได้ เขาคิดถึงพวกเจ้าทุกคนมากเหลือเกินและขอร้องข้าอยู่เป็นเวลานาน โชคดีที่ข้าบังเอิญถูกท่านอาจารย์สั่งให้ออกจากภูเขาไปท่องเที่ยว ดังนั้นข้าจึงพาเขามาด้วยและเราก็มาที่นี่”
“ข้าเข้าใจ…” สายตาจ้องมองของนายหญิงเหยียนยังคงค้างอยู่ที่ร่างของโม่เทียนเกอ แล้วจู่ๆ นางก็ถามว่า “ท่านผู้อาวุโสดูอ่อนวัยมาก ข้าขอถามได้หรือไม่ว่าท่านอายุเท่าไหร่”
คำถามนี้จริงๆ แล้วถือว่าค่อนข้างหยาบคาย โม่เทียนเกอจึงไม่ทันได้ตั้งตัว แต่ในเมื่ออายุของนางก็ไม่ใช่ความลับอะไร นางจึงตอบว่า “ตอนนี้ข้าอายุสามสิบเจ็ดปี”
“โอ้? ท่านผู้อาวุโสอายุใกล้เคียงกับข้า แต่ท่านยังดูเหมือนสาวน้อยวัยสิบเจ็ดถึงสิบแปดปีอยู่เลย สิ่งนี้ทำให้มนุษย์ธรรมดาอย่างข้าอิจฉาเสียจริง”
ที่จริงแล้วนายหญิงเหยียนก็ถือว่าดูยังอ่อนวัย เยี่ยเจินจีอายุยี่สิบปี ในฐานะแม่ของเขา นายหญิงเหยียนน่าจะอายุประมาณสามสิบห้าปีเป็นอย่างน้อย แต่นางก็ดูแลรูปลักษณ์ของตัวเองได้เป็นอย่างดี บนใบหน้าของนางไม่มีรอยเ**่ยวย่น ดังนั้นนางจึงดูเหมือนอายุแค่สามสิบปี ซึ่งเป็นอายุที่ผู้หญิงมีเสน่ห์มากที่สุดและเจริญวัยเต็มที่ที่สุด
ถึงอย่างนั้นโม่เทียนเกอก็ไม่ได้ชมนางกลับ นางมองนายหญิงเหยียนด้วยสายตาเฉียบขาดและพูดทื่อๆ ว่า “นายหญิงเหยียนหมายความว่าอย่างไร”
นางคงจะทึ่มเกินไปหากนางไม่สามารถบอกได้ว่าคำพูดของนายหญิงเหยียนมีความหมายอย่างอื่นอีก แน่นอนว่าเจตนาของนายหญิงเหยียนในการแวะมาหานางไม่ได้ซื่อตรงนัก
นายหญิงเหยียนค่อนข้างอายที่ถูกโม่เทียนเกอจ้องเช่นนั้น นางพูดงึมงำ “… ไม่มีอะไรหรอก อายุของท่านผู้อาวุโสใกล้เคียงกับข้าแต่ท่านดูเหมือนอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเจินเอ๋อร์ มันไม่ค่อยชัดเจนว่า… ท่านเป็นผู้อาวุโสของเขา คาดว่าคนอื่นๆ คงจะเชื่อเราแน่ถ้าเราบอกว่าทั้งสองคนเป็นพี่น้องกัน”
จู่ๆ โม่เทียนเกอก็รู้สึกสับสนระหว่างจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี เห็นได้ชัดว่านายหญิงเหยียนคนนี้กังวลว่าจะมีความสัมพันธ์ที่ไม่ควรพูดระหว่างนางกับเยี่ยเจินจี!
แม้ว่านางจะรู้สึกอย่างไรแต่สีหน้าของโม่เทียนเกอก็ไม่เปลี่ยนแปลง นางแค่จ้องนายหญิงเหยียนโดยไม่กะพริบตา
นายหญิงเหยียนเป็นแค่มนุษย์ธรรมดา นางจึงไม่มีความสามารถอะไรที่จะต่อต้านแรงกดดันพลังทางจิตวิญญาณที่เล็ดลอดออกมาจากโม่เทียนเกอ ตัวนางชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อเย็นๆ นางรีบคว้าผ้าเช็ดหน้า ต้องการจะเช็ดเหงื่อออก แต่โชคร้ายที่นางไม่สามารถแม้แต่จะยกมือขึ้นได้ ด้วยความยากลำบาก นางอ้าปากพูด “ท่านผู้อาวุโส ถะ…ถ้าข้าทำอะไรให้ท่านไม่พอใจ ได้โปรด…โปรดยกโทษให้ข้าด้วย”
แม้ว่านายหญิงเหยียนจะเป็นแม่ของเยี่ยเจินจี แต่มันก็ยังทำให้โม่เทียนเกอรำคาญที่นางมาคาดเดาความสัมพันธ์ระหว่างนางกับเยี่ยเจินจีตามอำเภอใจ ดังนั้นโม่เทียนเกอจึงจงใจปล่อยแรงกดดันพลังทางจิตวิญญาณออกมา บัดนี้เมื่อนายหญิงเหยียนยอมถอย โม่เทียนเกอจึงถอนแรงกดดันพลังทางจิตวิญญาณและพูดอย่างเย็นชา “สำหรับผู้ฝึกตนอย่างเรา รูปร่างหน้าตาของคนไม่ใช่อะไรนอกไปจากเรื่องผิวเผินภายนอก ในอนาคตนายหญิงไม่ควรพูดเรื่องเช่นนี้ขึ้นมาอีก”
นายหญิงเหยียนไม่กล้าจะปฏิเสธนาง เมื่อนึกขึ้นได้ถึงคำสั่งของท่านหัวหน้าตระกูลว่านางต้องดูแลผู้อาวุโสคนนี้ให้ดีอย่างไรและคิดว่านางเพิ่งจะทำให้ผู้อาวุโสคนนี้ไม่พอใจเพราะพฤติกรรมของนาง นายหญิงเหยียนขอโทษซ้ำไปซ้ำมา “ท่านผู้อาวุโส ได้โปรดอภัยให้ข้าด้วย ข้าเป็นแม่บ้านโง่เขลาที่ไม่รู้เกี่ยวกับเรื่องต้องห้ามของผู้ฝึกตน ข้าจึงพูดไร้สาระออกมา…”
โม่เทียนเกอตัดบทนาง “นายหญิง เจ้าเป็นแม่ของเจินจี บางอย่างเจ้าก็มีสิทธิ์ถามได้ ถ้าเจ้าไม่ถาม ข้าคิดว่าเจ้าคงไม่สบายใจใช่ไหม เมื่อเป็นเช่นนั้น ถ้าเจ้ามีอะไรต้องการพูดก็พูดออกมาได้ตามตรง”
เมื่อนางสังเกตว่าโม่เทียนเกอไม่ได้ฟังดูโกรธ ในที่สุดนายหญิงเหยียนจึงสงบจิตใจได้บ้าง แต่พอเห็นสีหน้าสงบนิ่งของโม่เทียนเกอ นางก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกละอายใจและพูดว่า “โปรดอภัยให้ข้าด้วยท่านผู้อาวุโส ข้าเห็นว่าท่านกับเจินจีสนิทกันแค่ไหน ข้าจึงกลัวขึ้นมาจริงๆ ว่าเด็กนั่นจะก้าวเดินไปบนทางที่ผิด ท่านเป็นอาจารย์ลุงของเขา ถ้า… ถ้าเขาทำตัวไม่มีเหตุผล เขาจะไม่ทำลายชื่อเสียงอันไร้มลทินของท่านหรือ”
วิธีเรียบเรียงคำพูดอย่างสุภาพแสดงให้เห็นได้ชัดเจนว่านายหญิงเหยียนไม่ใช่คนไม่มีเหตุผล โม่เทียนเกอผ่อนคลายน้ำเสียงและพูดว่า “นายหญิง มันคงผ่านมามากกว่ายี่สิบปีแล้วตั้งแต่ตระกูลเยี่ยย้ายมาที่โลกมนุษย์ใช่ไหม เจ้าไม่เคยไปที่คุนอู๋มาก่อนเลยใช่หรือไม่”
นายหญิงเหยียนเหม่ออยู่ชั่วขณะแต่ไม่นานก็พยักหน้า ตอนที่นางแต่งงานและร่วมวงศ์ตระกูลเยี่ย ตระกูลเยี่ยก็ได้เป็นขุนนางแห่งฉางหนิงของแคว้นเว่ยมาสักพักแล้ว ดังนั้นนางจึงไม่เคยไปที่คุนอู๋
“ไม่น่าแปลกใจที่เจ้าไม่เข้าใจเรื่องของโลกแห่งการฝึกตน ธรรมชาติของความสัมพันธ์ระหว่างคนในโลกมนุษย์กับโลกแห่งการฝึกตนไม่เหมือนกัน ทุกอย่างในโลกแห่งการฝึกตนถูกตัดสินตามระดับการฝึกตน เมื่อเป็นเรื่องการฝึกตนร่วมสัมพันธ์ ทั้งอายุและลำดับอาวุโสไม่ได้สำคัญอะไร ไม่ว่าเจินจีจะชอบใคร มันก็จะไม่กระทบกับอนาคตของเขา” หลังจากสังเกตเห็นใบหน้าซีดเซียวขึ้นกะทันหันของนายหญิงเหยียน โม่เทียนเกอจึงพูดต่อพร้อมกับหัวเราะ “อีกอย่าง รูปลักษณ์ภายนอกจะมากำหนดอายุของคนอย่างแม่นยำได้อย่างไรเล่า ท่านอาจารย์ของข้าอายุมากกว่าแปดร้อยปี แต่เขายังดูเหมือนเขาเพิ่งอายุสามสิบปี เนื่องจากรูปลักษณ์ของเขา ท่านอาจารย์ของเจินจีก็ดูเหมือนเขาอายุพอๆ กับเจินจีเช่นกัน นายหญิง เจินจีแสดงความเคารพต่อข้าเหมือนดั่งอาจารย์ของเขา เพราะอย่างนั้นจะมีเรื่องไม่งามเช่นนั้นระหว่างเราได้อย่างไร นายหญิงไม่ควรคิดมากเกินไป มิเช่นนั้นหากเจินจีรู้เข้า เขาจะต้องรู้สึกเจ็บปวดและอับอายแน่”
“…” สีผิวของนายหญิงเหยียนกลายเป็นเขียวอยู่แว่บหนึ่งและซีดขาวต่อมา แต่นางก็ไม่สามารถพูดอะไรได้เลย นางเป็นแค่มนุษย์ผู้หญิง นางไม่มีความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องในโลกแห่งการฝึกตนแม้แต่นิดเดียว ก็แค่ในฐานะแม่ นางถึงกังวลเกี่ยวกับลูกของนาง ไม่มีอะไรมากกว่านั้น แต่หลังจากนางได้ยินโม่เทียนเกอพูดอย่างเปิดเผย มันก็ทำให้นางรู้สึกอับอายจนนางอยากจะมุดรูหนีและฝังตัวเองอยู่ในนั้น
“เท่านี้ก็พอแล้วล่ะ ข้าต้องการจะฝึกตนต่อไป นายหญิง ไม่บ่อยนักที่เจินจีจะได้กลับมาบ้าน ดังนั้นเจ้าควรจะอยู่เป็นเพื่อนเขาให้มากหน่อย” เมื่อบอกใบ้ผู้มาเยือนให้ออกไปอย่างตรงไปตรงมา โม่เทียนเกอนั่งขัดสมาธิและหลับตาลง ดูเหมือนนางไม่ต้องการพูดอีกต่อไป
นายหญิงเหยียนโค้งตัวด้วยความอับอายแล้วจึงถอนตัวออกจากห้อง
โม่เทียนเกอไม่ได้เก็บเรื่องนี้มาใส่ใจ นายหญิงเหยียนเป็นมนุษย์ผู้หญิง เป็นธรรมดาที่นางจะไม่เข้าใจ พวกมนุษย์มักจะชอบคาดเดาไปว่าระหว่างชายหญิงที่อายุใกล้เคียงกันต้องมีบางอย่างเกิดขึ้นแน่อย่างไม่ต้องสงสัย แม้แต่เมื่อพวกเขามีลำดับอาวุโสห่างกันก็ตาม อย่างไรก็ตาม พวกเขาไม่รู้ว่าในโลกแห่งการฝึกตน การตัดสินคนจากหน้าตาเป็นสิ่งที่เหลวไหลที่สุดเท่าที่จะทำได้
นางฝึกตนต่อไปจนกระทั่งถึงเย็นเมื่อหัวหน้าตระกูลเยี่ย เยี่ยเฉิง ส่งใครบางคนมาเชิญนางไปรับประทานอาหารเย็นด้วยกัน เขาบอกว่าในเมื่อนางมาจากที่ไกล พวกเขาจึงจัดงานเลี้ยงไว้ขอบคุณนางแทนในนามของเจินจี
หลังจากครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง สุดท้ายโม่เทียนเกอก็ตัดสินใจรับคำเชิญนั้น