ลำนำสตรียอดเซียน - ตอนที่ 153-2 สมาชิกตระกูลเยี่ย
ในช่วงสุดท้ายของชีวิต ท่านอาที่สองบอกนางว่าให้ดูแลตระกูลเยี่ยเมื่อนางมีความสามารถพอที่จะทำได้ ในเมื่อตอนนี้นางก็อยู่ที่ตระกูลเยี่ยแล้ว นางรู้สึกว่านางควรทำสิ่งที่อยู่ในความสามารถของนาง
“ท่านผู้อาวุโส ในที่สุดท่านก็มา เชิญนั่งขอรับ” เมื่อโม่เทียนเกอมาถึงที่โถงจัดเลี้ยง เยี่ยเฉิงต้อนรับนางอย่างกระตือรือร้น งานเลี้ยงถูกจัดเรียบร้อยแล้วอยู่ในโถง ภาชนะเครื่องครัวสีทองและสีเงินวางอยู่ทุกที่ ช่างเป็นภาพที่น่าตื่นตาตื่นใจ
“…อาจารย์ลุง!” เยี่ยเจินจีเข้ามาหานางและนางก็ยิ้มน้อยๆ ให้เขา
นี่เป็นงานเลี้ยงส่วนตัวดังนั้นจึงไม่ได้มีคนอยู่มากมาย นอกเหนือจากเยี่ยเฉิง เยี่ยเจินจีและเยี่ยจุ่นพ่อของเขา มีอีกสี่คนอยู่ที่นี่ซึ่งล้วนเป็นผู้ฝึกตนทั้งหมดแม้ระดับการฝึกตนของพวกเขาจะอยู่ในแค่ระดับหนึ่งหรือสอง สองคนเป็นชายวัยกลางคน อีกคนหนึ่งเป็นชายหนุ่ม และอีกคนเป็นเด็กวัยรุ่น
เยี่ยเฉิงแนะนำพวกเขาให้กับนางทีละคน “ท่านผู้อาวุโส พวกนี้เป็นคนรุ่นหลังที่ไม่ได้เรื่องได้ราวของตระกูลข้า เยี่ยโหมว เยี่ยอวี่ เยี่ยปิง และเยี่ยตุน”
เยี่ยโหมวและเยี่ยอวี่คือชายวัยกลางคนสองคน จากที่นางได้ยินมา พวกเขาน่าจะอยู่ในรุ่นเดียวกับเยี่ยเฉิง เยี่ยปิงคือชายหนุ่ม จากชื่อของเขา เขาและเยี่ยจุ่นควรจะอยู่ในรุ่นเดียวกัน ส่วนเยี่ยตุน นางไม่รู้ว่าตำแหน่งของเขาในลำดับชั้นของตระกูลเยี่ยอยู่ตรงไหน แต่ถึงอย่างนั้น สืบเนื่องจากธรรมเนียมการตั้งชื่อคนของตระกูลเยี่ย ชื่อของเยี่ยเจินจีเป็นชื่อที่แปลกออกไป ทำให้โม่เทียนเกอสงสัยว่าเขาถูกตั้งชื่ออย่างนั้นเพราะทุกคนคาดหวังกับเขาไว้สูงตั้งแต่เกิดหรือเปล่า
“ข้าน้อยขอคารวะท่านผู้อาวุโส”
ผู้ฝึกตนตระกูลเยี่ยทั้งหมดแสดงความเคารพอย่างสูงสุดกับนาง
โม่เทียนเกอไม่มีความอดทนกับพิธีรีตองที่แสนสุภาพจึงพูดว่า “ทุกคนที่นี่เป็นผู้ฝึกตน ไม่จำเป็นต้องทำตามมารยาทของโลกมนุษย์เช่นนี้หรอก”
เยี่ยเฉิงสังเกตเห็นว่านางดูไม่ชอบใจ ดังนั้นเขาจึงรีบตัดจบทันที เขายิ้มและพูดว่า “ถ้าเช่นนั้นเราจะทำตัวตามที่ท่านผู้อาวุโสบอก พวกเจ้านั่งลงสิ”
หลังจากคนของตระกูลเยี่ยนั่งลงตามลำดับอาวุโส เยี่ยเฉิงสั่งให้เริ่มงานเลี้ยงได้ สาวใช้เข้ามาเพื่อเปิดฝาครอบชาม เผยให้เห็นอาหารสุดหรูทุกประเภทอยู่ภายใน
เยี่ยเฉิงพูดอย่างถ่อมตัว “ตาแก่เจียมตัวคนนี้รู้ว่าท่านผู้อาวุโสเลิกทานอาหารของมนุษย์แล้ว แต่เราอยู่ในโลกมนุษย์มาเป็นเวลานาน ดังนั้นเราจึงไม่สามารถคิดหาอะไรดีๆ ได้ ถึงแม้ว่าอาหารนี้จะมาจากโลกมนุษย์แต่มันก็ยังจัดว่าอร่อยนะขอรับ”
โม่เทียนเกอเผยรอยยิ้มจางๆ “ท่านหัวหน้าตระกูลเยี่ยไม่จำเป็นต้องสุภาพนัก”
“ใช่ อากงหัวหน้าตระกูล” เยี่ยเจินจีเข้าร่วมวงและพูดว่า “อาจารย์ลุงไม่ถือโทษโกรธเคืองกับเรื่องเช่นนี้หรอก”
เมื่อเห็นว่าเยี่ยเจินจีทำตัวอย่างไร เยี่ยเฉิงอดไม่ได้ที่ต้องดุเขา “เจ้าเด็กคนนี้! คนเราไม่มีทางสุภาพเกินไปหรอก!”
เยี่ยเจินจีไม่เห็นด้วย เขากำลังจะพูดอะไรบางอย่างแต่โม่เทียนเกอหยุดเขาไว้ นางยิ้มและพูดว่า “สิ่งที่อากงหัวหน้าตระกูลของเจ้าพูดก็ถูกต้อง เมื่อเจ้าพูดคุยกับคนอื่น มันจะดีที่สุดที่ทำตามที่เขาบอก อย่างไรก็ตาม เราไม่จำเป็นต้องสุภาพกันในวันนี้ ท่านหัวหน้าตระกูลเยี่ย เจินจีเติบโตภายใต้การดูแลของข้าและข้าก็ไม่ถือว่าพวกท่านคนใดเป็นคนนอก ขอให้เราละทิ้งพิธีรีตองไร้ประโยชน์พวกนี้ไปเสียเถิด”
เมื่อเขาได้ยินเช่นนั้น เยี่ยเจินจีรู้สึกสบายใจขึ้นมาทันที ด้วยรอยยิ้มกว้างบนใบหน้า เขาพยักหน้าซ้ำๆ “ใช่ๆ ในเมื่อท่านผู้อาวุโสพูดแล้ว เราก็จะทำตามที่ท่านผู้อาวุโสพูดแน่นอน”
ทุกคนพูดตามธรรมเนียมกันพอเป็นพิธีแล้วจึงเริ่มพูดคุยกับโม่เทียนเกอ
เป็นเวลามากกว่าหลายสิบปีแล้วตั้งแต่ตระกูลเยี่ยออกจากคุนอู๋ ตอนนี้เมื่อจู่ๆ พวกเขาได้พบกับผู้อาวุโสระดับการสร้างฐานแห่งพลัง พวกเขาจึงมีคำถามมากมายเกี่ยวกับการฝึกตนที่ต้องการถาม โดยเฉพาะเด็กวัยรุ่นที่ชื่อเยี่ยตุนคนนั้น อารมณ์ของเขายังคงเหมือนเด็ก ดังนั้นเขาจึงไม่ได้แสดงความระมัดระวังเหมือนอย่างพวกผู้ใหญ่ เมื่อไรก็ตามที่เขามีคำถาม เขาจะถามตรงๆ ทันที พวกผู้อาวุโสจึงต่อว่าเขา แต่เมื่อพวกเขาเห็นโม่เทียนเกอตอบคำถามอย่างใจดีคำถามแล้วคำถามเล่า พวกเขาจึงปล่อยเขาไป การมีเยี่ยตุนและเยี่ยเจินจีช่วยทำให้บรรยากาศราบรื่น พวกผู้ใหญ่ก็ค่อยๆ ผ่อนคลายลง ดังนั้นสุดท้ายพวกเขาก็ดูเหมือนเจ้าบ้านผู้มีความสุขที่กำลังสร้างความเพลิดเพลินให้กับแขก
“จริงสิ ท่านผู้อาวุโส” หลังจากพูดคุยกันเกือบจะทุกสิ่งที่เกี่ยวกับการฝึกตน เยี่ยเฉิงก็พูดขึ้นมากะทันหันว่า “มีบางสิ่งที่ข้าน้อยไม่เข้าใจ เพราะฉะนั้นข้าน้อยขออภัยที่ต้องถามอย่างปุบปับ”
“ข้าขอถามได้ไหมว่า…”
เยี่ยเฉิงดูขัดแย้งในตัวเองแต่สุดท้ายเขาก็ยังถาม “ข้าเห็นว่าเครื่องมือวิญญาณอันนั้นที่ท่านผู้อาวุโสมอบให้เจินเอ๋อร์ดูไม่เหมือนเป็นของธรรมดา ข้าอยากทราบว่าท่านไปได้มาจากที่ไหนหรือขอรับ”
โม่เทียนเกอตัวแข็งทื่ออยู่ชั่ววินาที นางรู้ทันทีว่าเขาอยากจะถามอะไร เครื่องมือวิญญาณที่อยู่ในครอบครองของเยี่ยเจินจีคือกระบี่ป่าขจีไม่ใช่หรือ? กระบี่เล่มนี้มาจากตระกูลเยี่ย ดังนั้นหัวหน้าตระกูลเยี่ยจึงอาจจะเคยเห็นมันมาก่อน
นางมองเยี่ยเจินจีสั้นๆ ผู้ที่ส่ายหน้าเบาๆ เพื่อแสดงให้เห็นว่าเขาไม่ได้พูดอะไรทั้งนั้น จากนั้นโม่เทียนเกอหัวเราะเบาๆ และพูดว่า “กระบี่นี้มาจากสหายสนิทของข้า มันเป็นมรดกตกทอดจากครอบครัวของนาง”
“โอ้?” ความประหลาดใจวาบขึ้นบนสีหน้าของเยี่ยเฉิง เขาถามอย่างกระตือรือร้น “ท่านผู้อาวุโส ข้าขอถามชื่อของสหายท่านได้ไหม ตอนนี้นางอยู่ที่ไหนแล้ว”
โม่เทียนเกอดูประหลาดใจเล็กน้อย “แซ่ของนางคือเยี่ย และชื่อของนางคือเสี่ยวเทียน อะไรนะ? ท่านหัวหน้าตระกูลรู้จักนางหรือ?”
เยี่ยเฉิงหลงมึนงงอยู่ในความคิดตัวเอง แซ่เยี่ยก็ถูกต้องแล้ว แต่ทำไมถึงชื่อเสี่ยวเทียน ไม่มีใครในตระกูลมีชื่อนี้!
“ถ้าอย่างนั้นสหายของท่านคนนี้อายุเท่าไหร่รึ ระดับการฝึกตนของนางเป็นอย่างไร”
“… อายุนางน่าจะเท่ากับข้าและตอนนี้นางก็อยู่ในดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังแล้วเช่นกัน”
ยิ่งเยี่ยเฉิงถามมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งสับสนมากขึ้นเท่านั้น นี่… มันผิดไปหมด! ถ้าพวกเขากำลังพูดกันว่ากระบี่ป่าขจีถูกซื้อไปจากใครเขาคงไม่สับสนเลยแม้แต่น้อย แต่ตอนนี้โม่เทียนเกอกำลังบอกว่ามันเป็นมรดกตกทอดของครอบครัวเสี่ยวเทียน! ยิ่งไปกว่านั้น ที่แน่ๆ เยี่ยเสี่ยวเทียนก็เป็นผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังที่อายุยังน้อย!
จู่ๆ โม่เทียนเกอก็ดูเหมือนนางเพิ่งนึกอะไรบางอย่างออกขึ้นมาทันที “โอ้! แต่เดิมสหายข้ามาจากตระกูลผู้ฝึกตน ตอนหลังตระกูลของนางตกต่ำลงและย้ายไปอยู่ที่โลกมนุษย์ เป็นไปได้ไหมว่า…”
ดวงตาของเยี่ยเฉิงเป็นประกาย “ฟังดูเหมือนตระกูลของเรา! แต่ข้าไม่คุ้นกับชื่อนี้เลย”
โม่เทียนเกอดูเหมือนนางกำลังใช้ความคิดอย่างหนัก “เดิมทีนางมีท่านอาอยู่คนหนึ่ง แซ่ของเขาคือเยี่ยและชื่อของเขาคือเจียง ท่านหัวหน้าตระกูลเยี่ยฟังแล้วคุ้นๆ ไหม”
พอได้ยินนางเอ่ยถึงชื่อนี้ คนของตระกูลเยี่ยตื่นเต้นขึ้นมาทันที พวกเขามองหน้ากันและเห็นความประหลาดใจ ความตื่นเต้น และความสงสัยในสายตาของอีกฝ่าย ท้ายที่สุดเยี่ยเฉิงถามว่า “ท่านผู้อาวุโส เยี่ยเจียง ท่านแน่ใจรึว่านี่คือชื่อของเขา”
“แน่ใจสิ” ถึงแม้โม่เทียนเกอจะรู้ทุกอย่าง แต่นางก็แสดงสีหน้าท่าทางสงบนิ่ง “ข้าจำได้ว่าครั้งหนึ่งนางเคยพูดว่าตระกูลเยี่ยเดิมเคยเป็นตระกูลผู้ฝึกตนจากเขาชิงเหมิง พ่อของนางเป็นผู้ฝึกตนที่เก่งกาจที่สุดในตระกูลเยี่ยและเป็นที่รู้จักไปทั่วทั้งคุนอู๋ตะวันตกในสมัยนั้น เขาประสบความสำเร็จในการก่อขุมพลังในช่วงอายุร้อยปี ท่านหัวหน้าตระกูลเยี่ย นี่ฟังดูคุ้นๆ สำหรับท่านไหม”
“ผู้ฝึกตนที่เก่งกาจที่สุดของตระกูลเยี่ยผู้ที่ก่อขุมพลังของเขาได้ในช่วงอายุร้อยปี…” เยี่ยเฉิงพึมพำ สายตาของเขาดูเลื่อมใส โดยปกติแล้วเขาจำได้ว่าเขาเกิดมาเมื่อตระกูลเยี่ยกำลังอยู่ในจุดสูงสุด ผู้ฝึกตนอัจฉริยะที่นำพาตระกูลเยี่ยไปสู่ความรุ่งโรจน์อย่างที่ไม่เคยพบเจอมาก่อน แต่หลังจากนั้น…
เยี่ยจุ่นร่วมวงสนทนาด้วย “ชื่อของผู้ฝึกตนที่โดดเด่นที่สุดแห่งตระกูลเยี่ยมีเพียงคำเดียวคือไห่”
“ถูกต้อง” โม่เทียนเกอหัวเราะเบาๆ “งั้นก็เหมายความว่า… ตระกูลที่สหายข้าพูดถึงก็คือตระกูลเยี่ยของท่าน? นี่มันพรหมลิขิตชัดๆ แต่โชคร้ายที่ข้าไม่ได้เจอสหายของข้ามาเป็นเวลานานแล้ว ข้าจึงไม่รู้ว่าตอนนี้นางอยู่ที่ไหนและข้าก็บอกเรื่องนี้กับนางไม่ได้”
สุดท้ายแล้วเยี่ยเฉิงก็เป็นหัวหน้าตระกูล หลังจากความตื่นเต้นในตอนแรกของเขา ตอนนี้เขากลับเต็มไปด้วยความคลางแคลงใจ “แต่… พี่ชายอากงคนนั้นของเราไม่ได้ทิ้งลูกไว้เบื้องหลัง…”
“ข้าก็ไม่ค่อยแน่ใจเรื่องนี้” โม่เทียนเกอแค่บอกปัดเรื่องนั้นไป นางต้องการรับบทเป็นคนนอก ดังนั้นนางจึงไม่สามารถพูดอะไรได้มากเกี่ยวกับเรื่องเฉพาะเจาะจง
คนของตระกูลเยี่ยค่อยๆ สงบสติอารมณ์ลงทีละน้อยและมองหน้ากันอีกครั้ง จริงสิ! พี่ชายอากงคนนั้นไม่มีลูก แล้วคนผู้นั้นจะเป็นผู้ฝึกตนจากตระกูลเยี่ยได้อย่างไรกัน?
ท้ายที่สุดเยี่ยเฉิงก็พูดว่า “ท่านผู้อาวุโส ท่านรู้เกี่ยวกับอาของสหายท่านคนนั้นหรือไม่ว่าเขาเป็นอย่างไรตอนนี้ ท่านติดต่อเขาได้หรือไม่”
เมื่อนางได้ยินเช่นนี้ ความเศร้าโศกที่ปกปิดไว้ปรากฏขึ้นในดวงตาของนาง นางพูดแผ่วเบา “ท่านอาของนางเสียแล้ว”
“อะไรนะ!?” คนในตระกูลเยี่ยตกใจ
เยี่ยจุ่นร้องออกมาโดยไม่รู้ตัว “เป็นไปได้อย่างไร? พี่ชายอากงคนนั้นตอนนี้ควรจะอายุแค่ประมาณสามร้อยปีไม่ใช่หรือ? ตามอายุขัยของผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลัง เขาควรจะยังมีชีวิตอยู่สิ”
“เจ้าพูดถูก แทนที่จะพูดว่าเขาเสียแล้ว น่าจะเหมาะกว่าที่จะพูดว่าท่านอาของนางบาดเจ็บจนตาย” สายตาของโม่เทียนเกอมองไกลออกไป สีหน้าของนางไร้ความรู้สึก “ทั้งสองคนถูกตามล่าโดยผู้ฝึกตนคนอื่น ท่านอาของนางบาดเจ็บสาหัสขณะที่ปกป้องนาง อายุขัยของเขาจึงสั้นลงและสุดท้ายเขาก็ตาย”
พอถึงเวลาที่นางพูดจบ ทั้งห้องโถงเงียบสนิท
สีหน้าของเยี่ยเฉิงเปลี่ยนไปทุกวินาที ในโลกแห่งการฝึกตน เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา เป็นไปได้มากที่ผู้ฝึกตนเดี่ยวที่ไม่มีผู้อุปถัมภ์จะตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ เพราะงั้นนี่ก็หมายความว่า… ผู้ฝึกตนที่แท้จริงคนสุดท้ายของตระกูลเยี่ยไม่มีชีวิตอีกต่อไปแล้วในตอนนี้ ถ้าอย่างนั้นตระกูลเยี่ยก็เป็นแค่ตระกูลในโลกมนุษย์ที่น่าเวทนางั้นรึ
แม้เมื่อพวกเขาถูกบังคับให้ย้ายออกจากเขาชิงเหมิง เยี่ยเฉิงยังไม่มีความรู้สึกสิ้นหวังเหมือนอย่างที่เขารู้สึกอยู่ตอนนี้ เขามักจะมองตระกูลเยี่ยว่าแตกต่างจากตระกูลผู้ฝึกตนอื่นในโลกมนุษย์เพราะพวกเขายังมีผู้อาวุโสระดับการสร้างฐานแห่งพลังที่มีชีวิตอยู่ อย่างไรก็ตาม ในที่สุดเขาก็ได้รู้ว่าผู้อาวุโสระดับการสร้างฐานแห่งพลังคนนั้นตายจากไปนานแล้ว
หลังจากคิดถึงเรื่องนี้อยู่สักพัก ในที่สุดเยี่ยเฉิงก็หลับตาและถอนหายใจ เขาอายุอยู่ในช่วงวัยเจ็ดสิบปีแล้ว ถึงแม้มันจะไม่เป็นปัญหาถ้าเขาจะอยู่จนกระทั่งถึงร้อยปีในฐานะผู้ฝึกตน แต่เขาก็ยังแก่ชราอยู่ดี ตอนแรกเขาเคยคิดว่าถ้าอนาคตของเจินเอ๋อร์สดใส พวกเขาสามารถติดต่อพี่ชายอากงคนนั้นได้อีกครั้งและตระกูลเยี่ยจะยังมีโอกาสได้กลับไปที่คุนอู๋ แต่พอตัดสินจากสิ่งต่างๆ ที่เห็นตอนนี้ ต่อให้เจินเอ๋อร์สามารถสร้างฐานแห่งพลังได้ แล้วตระกูลเยี่ยจะกลับไปที่คุนอู๋โดยไม่มีผู้ฝึกตนอาวุโสคอยควบคุมดูแลได้อย่างไร อีกอย่าง ไม่ว่าเจินเอ๋อร์จะสามารถสร้างฐานแห่งพลังของเขาได้หรือไม่ก็ยังไม่รู้เลย
ตระกูลเยี่ยจะต้องตกต่ำลงด้วยน้ำมือของข้าหรือ?
“ท่านผู้อาวุโส ทั้งหมดนี้คือเรื่องจริงหรือ”
“แน่นอน” โม่เทียนเกอไม่แสดงสีหน้า ดังนั้นพวกเขาจึงไม่อาจเห็นได้ว่าแท้จริงแล้วนางรู้สึกอย่างไร เยี่ยเจินจีเป็นคนเดียวที่สังเกตเห็นความเศร้าบนใบหน้าไร้สีหน้าของนาง เขาแตะนางเบาๆ และกระซิบ “อาจารย์ลุง?”
โม่เทียนเกอหันมามองเขาและยิ้มน้อยๆ ให้ แต่รอยยิ้มนี้ดูเหมือนจะมีความหมายที่เยี่ยเจินจีไม่อาจเข้าใจได้
เยี่ยเฉิงพูดพึมพำ “ถ้าเป็นเช่นนั้น ตระกูลเยี่ยของเราคงไม่สามารถกลับไปที่เขาชิงเหมิงได้แล้ว…” ทันใดนั้นเขาก็ตั้งสติอีกครั้งและพูดว่า “ท่านผู้อาวุโส สหายคนนั้นของท่าน… ตอนนี้นางเป็นผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังจริงๆ หรือ เป็นไปได้ไหมที่ท่านจะติดต่อนาง”
“ข้าทำไม่ได้หรอก” โม่เทียนเกอปฏิเสธอย่างเด็ดขาด “ท่านหัวหน้าตระกูลเยี่ย สหายของข้าบอกว่านางสัญญากับท่านอาไว้ว่าหลังจากนางก่อขุมพลังได้แล้ว นางจะช่วยเหลือตระกูลเยี่ยอย่างแน่นอน อย่างไรก็ตาม มันจะดีที่สุดสำหรับตระกูลเยี่ยที่จะไม่กลับไปที่คุนอู๋อีกครั้ง พึงระลึกไว้ว่าการดื่มด่ำกับความรุ่งเรืองและรุ่งโรจน์ทั้งหลายในโลกมนุษย์นั้นดีกว่าต้องเป็นคนอ่อนแอและมีชีวิตอยู่อย่างไม่ปลอดภัยในคุนอู๋มากนัก”