ลำนำสตรียอดเซียน - ตอนที่ 154-1 ออกจากตระกูลเยี่ย
ขณะที่ลมพัดอย่างอ่อนโยน สัตว์วิเศษตัวน้อยสีน้ำตาลรีบเข้ามาหาและงับแขนเสื้อของโม่เทียนเกอ
โม่เทียนเกอลูบหัวมันแผ่วเบา “อย่าซนนะ อยู่เงียบๆ ครู่หนึ่ง”
สัตว์วิเศษไฟนรกกะพริบตาดำขลับเหมือนลูกประคำของมันแล้วจึงก้มหัวและนั่งไม่ขยับเขยื้อนอยู่ข้างนาง
โม่เทียนเกอรู้สึกเพลิดเพลินกับหน้าตาไม่พอใจของมัน นางอดไม่ได้ที่ต้องลูบมันอีกครั้ง “อะไรนะ เจ้ารู้สึกว่าเจินจีตามใจเจ้ามากกว่าหรือ”
เจ้าสัตว์วิเศษไฟนรกส่งเสียง “อูอู” ไม่แน่ใจว่ามันกำลังเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับนางกันแน่
โม่เทียนเกอลูบหัวมันอีกครั้งขณะที่จ้องไปที่น้ำไหลในลำธาร นางถอนหายใจและพูดว่า “ข้าไม่ใช่เจ้านายที่ดี ข้าแค่ปล่อยให้เจ้าฝึกตนด้วยตัวเองและปล่อยให้เจ้าช่วยข้าปรุงยาวิเศษแต่ข้าไม่เคยเล่นกับเจ้าเลย”
สัตว์วิเศษไฟนรกส่งเสียงแหลม งับปลายแขนเสื้อนางและส่ายไปมาเหมือนกับเด็กเอาแต่ใจ
โม่เทียนเกอหัวเราะและถามอย่างอบอุ่น “เสี่ยวหั่ว อยู่ที่นี่และอยู่เป็นเพื่อนเจินจี ตกลงไหม”
เมื่อนางพูดเช่นนั้น สัตว์วิเศษไฟนรกเงยหน้าขึ้นทันที ดวงตาทั้งสองข้างของมันจับจ้องอยู่ที่หน้านางราวกับมันไม่เข้าใจว่าทำไมนางถึงพูดเช่นนั้น
“ระหว่างเราไม่มีสัญญาสัตว์วิเศษต่อกัน เหตุผลที่ทำไมเจ้าถึงใกล้ชิดกับข้าก็เป็นเพราะโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนเชื่อมโยงกับลมปราณศักดิ์สิทธิ์ของข้า เจ้าอยู่ที่นี่มาเป็นเวลานาน ดังนั้นเจ้าจึงตอบสนองกับข้าเป็นธรรมดา เจินจีเติบโตภายใต้การดูแลของเจ้าและตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ เมื่อเจ้าไม่อยู่ในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน เจ้าก็มักจะอยู่ข้างกายเขาเสมอ คอยอยู่เป็นเพื่อนเขา เจ้าต้องมีความรู้สึกกับเขาลึกซึ้งมากกว่ากับข้าแน่ ตอนนี้ข้ารู้สึกไม่สบายใจที่จะปล่อยเขาไว้คนเดียวในโลกมนุษย์ ดังนั้น… คอยอยู่เป็นเพื่อนเขา ตกลงไหม”
ดวงตาของสัตว์วิเศษไฟนรกเบิกกว้างขึ้นในทันทีแต่มันไม่ได้ส่งเสียงใดออกมา
โม่เทียนเกอไม่รู้ว่าสัตว์วิเศษไฟนรกของนางกินอะไรเมื่อมันอยู่ในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน แต่มันมีจิตวิญญาณมากขึ้นและสามารถเข้าใจได้มากกว่าสัตว์วิเศษทั่วไป เพราะความฉลาดของมัน โม่เทียนเกอจึงกำลังปรึกษากับมันแทนที่จะสั่งมัน
“วางใจเถอะ ข้าปรุงยาสำหรับสัตว์วิเศษระดับสองและสามไว้มากมาย ข้าจะให้ไว้กับเจินจีทีหลัง ดังนั้นเจ้าจะไม่มีปัญหาอะไรกับการฝึกตนแน่นอน ครั้งนี้ข้าจะจากไปถึงสามปีเป็นอย่างต่ำและห้าปีเป็นอย่างมาก คาดว่าข้าจะกลับมาก่อนที่เจ้าจะข้ามผ่านดินแดนได้”
นี่เป็นสิ่งที่นางตัดสินใจหลังจากคิดมาถี่ถ้วนแล้ว การไม่มีสัตว์วิเศษไฟนรกหมายความได้อย่างเดียวว่าการปรุงยาจะไม่สะดวกสบายสำหรับนาง แต่ในเมื่อเจินจียังไม่ได้สร้างฐานแห่งพลังของเขาและในเมื่อนางก็ยังไม่สบายใจที่จะทิ้งเขาไว้ในโลกมนุษย์เพียงลำพัง นางก็น่าจะทิ้งสัตว์วิเศษไฟนรกไว้กับเขาด้วยเสียเลย คาดว่าเมื่อมีสัตว์วิเศษระดับสองอยู่ข้างกายเขา เขาจะไม่เป็นอะไรต่อให้เขาบังเอิญเจอเข้ากับอันตรายก็ตาม
สัตว์วิเศษไฟนรกคอตกและทำเสียงแหลมดัง “อูอู” ถึงแม้ว่าอารมณ์ของมันจะไม่ดีแต่มันก็ไม่ได้คัดค้าน
โม่เทียนเกอหัวเราะเบาๆ และคลำหายาวิเศษหลายเม็ด หลังจากนางให้ยาวิเศษกับมัน นางก็ถอนหายใจ “ข้าควรจะไปก่อน ตระกูลเยี่ย… ทั้งหมดที่ข้าช่วยพวกเขาได้ก็จำกัดอยู่แค่นี้ นอกเสียจากว่าวันหนึ่งพวกเขามีผู้สืบสกุลที่มีรากวิญญาณอีกหลายคนมากพอที่จะสนับสนุนตระกูล หรือข้าก่อขุมพลังของข้าและสามารถปกป้องพวกเขาได้… ข้ายังไม่มีพลังมากพอ ดังนั้นการบอกพวกเขาถึงตัวตนของข้าก็จะยิ่งเพิ่มปัญหาเข้าไปอีก ข้าหวังว่าเจินจีจะเข้าใจ”
“ท่านอา!” เสียงของเยี่ยเจินจีดังขึ้นจากด้านนอก โม่เทียนเกอโบกมือ ไข่มุกระหว่างคิ้วของนางส่องแสงสว่างวาบ วินาทีถัดมานางก็กลับเข้ามาอยู่ในโลกที่แท้จริง
เยี่ยเจินจีเข้ามาทันทีหลังจากกำแพงอาคมถูกเปิดออก เมื่อเขาเห็นนาง เขาก็หัวเราะและพูดว่า “ท่านอา ไม่ง่ายเลยนะที่เราจะออกจากภูเขาได้ แต่ท่านกำลังฝึกตนอีกแล้วเนี่ยนะ!”
โม่เทียนเกอส่ายหน้าพร้อมรอยยิ้ม “มันติดเป็นนิสัยเสียแล้ว” ต้นทุนของนางเคยย่ำแย่มากมาก่อน ดังนั้นนางสามารถทดแทนได้ด้วยการเป็นคนขยัน ถึงแม้ว่าตอนนี้ต้นทุนของนางจะดีมากแล้ว แต่นางก็ยิ่งกังวลว่าต้นทุนของนางจะเสียเปล่าหากนางขี้เกียจกับการฝึกตน
เมื่อเยี่ยเจินจีอยู่ข้างในและโม่เทียนเกอวางกำแพงอาคมกลับตามเดิม นางถามว่า “มีอะไรหรือ เจ้าไม่ไปอยู่กับครอบครัวเจ้ารึ ยากนะกว่าจะได้เจอพวกเขาอีกในอนาคต เจ้าก็รู้”
พอได้ยินคำถามนี้ เยี่ยเจินจีเดินอย่างหม่นหมองไปทางโต๊ะและนั่งลง “อย่าพูดถึงมันเลย ตอนแรกข้ากำลังคุยกับท่านพ่อและคนอื่นๆ แต่ข้าทำตัวให้ชินกับการพูดคุยกันของพวกเขาไม่ได้ ดังนั้นข้าจึงแค่ขอตัวออกมา”
“ทำตัวให้ชินกับการพูดคุยกันของพวกเขาไม่ได้?” โม่เทียนเกอถามด้วยความสับสน จากนั้นนางเชิดคางส่งสัญญาณให้เขา “นั่งให้ดีๆ บนเก้าอี้”
“ขอรับ” เยี่ยเจินจีลงจากโต๊ะอย่างเชื่อฟังและดึงเก้าอี้มานั่งตรงข้ามนาง เขาฟังดูงุนงง “ข้าสับสนมาก ข้าจำได้ว่าตอนข้ายังเป็นเด็ก ท่านพ่อของข้าขยันมากกับการฝึกตน ทำไมตอนนี้เขาเป็นแบบนี้ไปแล้ว”
“มีอะไรหรือ”
เยี่ยเจินจีหยุดครู่หนึ่งแล้วจึงพูดต่อด้วยน้ำเสียงค่อนข้างรำคาญ “ท่านพ่อข้าและพวกลุงๆ เอาแต่พูดเกี่ยวกับอาหาร เครื่องดื่ม งานอดิเรก และการเมือง ข้าไม่อยากฟัง ข้าก็เลยบอกว่าข้าจะมาตามหาท่าน”
ดูจากสีหน้าไม่มีความสุขของเยี่ยเจินจี เห็นได้ชัดว่าเขาโกรธพ่อของเขามาก ถึงอย่างนั้นโม่เทียนเกอก็แค่หัวเราะหึๆ และพูดอย่างอ่อนโยน “เจินจี พ่อของเจ้าอายุเท่าไหร่แล้วตอนนี้ ระดับการฝึกตนของเขาเป็นอย่างไร?”
เยี่ยเจินจีไม่ทันได้ตั้งตัวกับคำถามนี้ “พ่อของข้า… อายุสี่สิบห้าปีแล้ว แต่ตอนนี้เขายังอยู่ในระดับแรกของดินแดนการหลอมรวมพลังวิญญาณ”
โม่เทียนเกอเห็นจากสีหน้าของเขาดูเหมือนจะเข้าใจ ดังนั้นนางจึงยิ้มและพูดว่า “ในโรงเรียนเสวียนชิง ถึงแม้ว่าต้นทุนของเจ้าจะไม่ดี แต่การฝึกตนของเจ้าก็ยังมีโอกาสพัฒนา แต่สำหรับผู้ฝึกตนเดี่ยวในโลกมนุษย์ที่ไม่มีทั้งรากวิณณาณที่ดีหรือยาวิเศษที่ดี แม้แต่หลังจากพวกเขาฝึกตนอย่างยากลำบากมาหลายสิบปี มันก็ยังยากมากสำหรับพวกเขาที่จะพัฒนาในดินแดนการหลอมรวมพลังวิญญาณ ไม่ต้องพูดถึงสร้างฐานแห่งพลังเลย ไม่ใช่ว่าพ่อของเจ้าและคนอื่นๆ ไม่อยากจะก้าวหน้าหรอก แต่พวกเขาไม่มีความหวังมากกว่า”
“แต่…” เยี่ยเจินจีอยากจะพูดบางอย่างแต่สุดท้ายเขาก็รู้ว่ามันยากที่จะค้านนาง
โม่เทียนเกอกล่าว “เจินจี เจ้ายังมียาวิเศษสำหรับผู้ฝึกตนการหลอมรวมพลังวิญญาณอยู่กับตัวอีกเยอะไหม”
เยี่ยเจินจีพยักหน้า “ตอนแรกข้าอยากจะให้ยาวิเศษกับพวกเขา แต่หลังจากเห็นพวกเขาทำตัวเช่นนั้น ข้าก็ไม่อยากจะให้พวกเขาอีกแล้ว”
“เป็นเพราะพวกเขาทำตัวเช่นนั้นล่ะเจ้าถึงควรจะให้ยากับพวกเขา”
“ทำไม” เยี่ยเจินจีถามด้วยความสับสน
โม่เทียนเกอพูด “พ่อของเจ้ายังไม่ได้ก้าวหน้าในการฝึกตนของเขามาหลายสิบปี ดังนั้นเป็นธรรมดาที่เขาจะเลิกสนใจในการฝึกตน ถ้าเจ้าให้ยาวิเศษกับพวกเขาและให้ความหวังว่าเขาจะก้าวหน้าในระดับการฝึกตนได้ จิตใจของเขาก็จะกลับมาสนใจการฝึกตนเอง พวกเขาไม่ใช่มนุษย์ธรรมดา นอกเหนือจากการบรรลุผ่านดินแดน มีอะไรในโลกอีกหรือที่น่าดึงดูดมากกว่านี้สำหรับพวกเขา”
เยี่ยเจินจีเข้าใจแจ่มแจ้งทันที “จริงด้วย! ทำไมข้าไม่คิดแบบนั้นกันนะ!”
โม่เทียนเกอครุ่นคิดจากนั้นจึงพูดว่า “แต่เจ้าก็ไม่ควรให้พวกเขามากเกินไป มันจะดีที่สุดถ้าเจ้าบอกพวกเขาว่าเมื่อพวกเขาส่งคนไปยังเขาไท่คังในอนาคต เจ้าจะส่งยาวิเศษและของอื่นๆ มาให้พวกเขา ด้วยวิธีนั้น ถึงแม้ว่าพวกเขาจะอยู่ในโลกมนุษย์ แต่พวกเขาก็จะรู้สึกเหมือนกับว่ายังมีหวังอยู่บ้างในการฝึกตน ถึงตอนนั้นพวกเขาก็จะมุ่งความสนใจไปกับการฝึกตนอีกครั้ง”
“ท่านอา ท่านเป็นคนช่างคิดเสมอเลย!” เยี่ยเจินจีลุกออกจากที่นั่ง “ข้าไปล่ะ…”
“เดี๋ยวก่อน”
เยี่ยเจินจีหยุดกลางคัน “มีอะไรหรือท่านอา”
“เจ้าพูดเรื่องนี้กับพวกเขาทีหลังได้ แต่ตอนนี้ข้ามีบางอย่างอยากจะบอกเจ้า”
“หา?”
โม่เทียนเกอพูดต่ออย่างใจเย็น “ข้ามาที่ตระกูลเยี่ยครั้งนี้เพื่อส่งเจ้าเป็นทางผ่าน ตอนนี้เจ้าก็มาถึงที่นี่โดยสวัสดิภาพแล้ว ข้าอยากจะออกจากที่นี่พรุ่งนี้”
“หา!?” เยี่ยเจินจีรู้สึกสับสน “ท่านอา ท่านจะให้ข้าอยู่ที่นี่คนเดียวหรือ”
โม่เทียนเกอส่งเสียงหัวเราะเบาๆ “ทำไม เจ้ากลัวรึ”
เยี่ยเจินจีพูดไม่ออกและรู้สึกอับอายเล็กน้อย ตลอดสิบปีที่ผ่านมา เขาไม่เคยออกห่างจากข้างกายอาของเขาเลย ดังนั้นเขาจึงตื่นตกใจทันที
เมื่อเขาดึงสติกลับมาได้ เขาพูด “ท่านอา ขะ…ข้ายังไม่ชินกับการอยู่คนเดียว ท่านอยู่นานต่ออีกหน่อยไม่ได้หรือ”
“ไม่ช้าก็เร็วข้าก็ต้องไปอยู่ดี” โม่เทียนเกอยื่นมือออกไปเพื่อลูบผมเขาเหมือนอย่างที่นางเคยทำเมื่อเขายังเด็ก อย่างไรก็ตาม เมื่อนางสังเกตว่าเขาสูงมากแค่ไหน นางก็ดึงมือกลับ “เจ้าไม่จำเป็นต้องกังวลหรอก ข้าจะทิ้งเสี่ยวหั่วไว้กับเจ้า จะไม่มีอะไรไม่ดีเกิดขึ้น”
“ข้าไม่ได้กังวลว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น” เยี่ยเจินจีจ้องนางด้วยสายตาน่าสงสาร “ท่านอา ข้าแค่ไม่อยากให้ท่านไป”
โม่เทียนเกออดหัวเราะไม่ได้ เขาเป็นผู้ใหญ่แล้วแต่เขายังดูน่าสงสารขนาดนี้ “เจ้าโตจนตัวใหญ่แต่เจ้ายังเหมือนเด็กไม่มีผิด!”
เยี่ยเจินจีลูบจมูกเขาและหัวเราะไปด้วย เขารู้ว่าโม่เทียนเกอตัดสินใจแน่แล้ว เพราะฉะนั้นเขาจึงลองทางเลือกที่สอง “ท่านอา งั้นข้าไปกับท่านดีไหม”
“ข้าจะออกเดินทางไปทั่ว ไม่ได้ไปเที่ยวเล่น” โม่เทียนเกออธิบายด้วยความอดทน “ข้าพาเจ้าไปด้วยไม่ได้หรอก อย่างแรก ข้าไม่รู้ว่าข้าจะกลับมาเมื่อไหร่ มันคงไม่ดีหากกระบวนการสร้างฐานแห่งพลังของเจ้าต้องชักช้าเพราะอยู่กับข้า อย่างที่สอง ข้าอาจจะไปที่ที่ค่อนข้างอันตรายและข้าก็ยังไม่แกร่งพอจะยืนยันความปลอดภัยของเจ้าได้”
เยี่ยเจินจีตกอยู่ในความเงียบ เขาไม่ใช่เด็กไร้เหตุผล เขารู้ว่าสิ่งที่โม่เทียนเกอพูดเป็นความจริง เขาแค่ไม่อยากแยกจากกับนาง
“เท่านี้ล่ะ อารู้ว่าเจ้าเป็นเด็กรู้จักคิด อย่างไรเสีย มันก็ไม่ใช่ว่าข้าจะไม่กลับมาอีก เราผู้ฝึกตนมักจะแยกจากกันไปเป็นปีๆ บางครั้งมากกว่าร้อยปีด้วยซ้ำ ขณะที่ระดับการฝึกตนของเราสูงขึ้น เราก็จะแยกจากกันบ่อยขึ้นและเป็นเวลานานขึ้น เจ้าควรจะทำตัวให้ชินกับสิ่งนี้เข้าไว้”
“… ข้าเข้าใจ” เยี่ยเจินจีพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง เขาจะไม่เข้าใจเหตุผลของนางได้อย่างไร การฝึกตนมีไว้เพื่อบรรลุการมีชีวิตยืนยาว และเมื่อคนคนหนึ่งมีชีวิตยืนยาว พวกเขาก็จะต้องชินกับการแยกจากกันและการอยู่ตัวคนเดียว มันไม่ได้เลวร้ายนักสำหรับผู้ฝึกตนตัวเล็กๆ อย่างพวกเขา พวกเขาก็แค่อยู่ในการปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิประมาณหนึ่งปี อย่างไรก็ตาม ผู้ฝึกตนในดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลังและดินแดนเหนือกว่าจะต้องปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิเป็นเวลาหลายสิบปีอยู่บ่อยครั้ง และการปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิเป็นร้อยปีก็ไม่ใช่สิ่งที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน
ตลอดกระบวนการฝึกตนเพื่อกลายเป็นเซียน ความสามารถในการอยู่ลำพังของคนก็ได้รับการฝึกตนเช่นกัน คนที่ไม่สามารถทนอยู่โดดเดี่ยวจะไม่สามารถฝึกตนเพื่อเข้าถึงเต๋าอันยิ่งใหญ่ได้