ลำนำสตรียอดเซียน - ตอนที่ 155-2 การผันผวนของพลังทางจิตวิญญาณ
หนึ่งชั่วยามต่อมา โม่เทียนเกอก็ร่อนลงที่หน้าผา
ในช่วงเวลานั้น เหล่าผู้ฝึกตนมารวมตัวกันอยู่ที่หน้าผาเรียบร้อยแล้ว ระหว่างพวกเขามีผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังสามคน และกว่าสิบสองคนเป็นผู้ฝึกตนระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณ พวกเขาดูแตกต่างกันไปหมด แต่ต่างจ้องมองลงไปยังหุบเขาเบื้องล่างใต้หน้าผา
เมื่อเห็นนางมาถึง ผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังบางคนดูชื่นชมแต่บางคนกลับดูกังวล ในทางกลับกัน เหล่าผู้ฝึกตนระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณกลับมีสีหน้าเมินเฉยและแข็งกระด้างบนใบหน้าของพวกเขา
“สหายแห่งเต๋า!” ในขณะที่โม่เทียนเกอกำลังจะตรวจดูหุบเขาที่ปล่อยพลังทางจิตวิญญาณออกมา ชายลัทธิเต๋าผมขาวเครายาวก้าวมาด้านหน้าจากกลุ่มผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังและประกบมือของเขาเพื่อทักทาย
โม่เทียนเกอจดจำผู้คนบนหน้าผามาเป็นระยะเวลานานแล้ว นางไม่มีความจำเป็นที่จะต้องกังวลเกี่ยวกับผู้ฝึกตนระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณเพราะพวกเขาไม่ได้มีค่าอะไรนอกจากเป็นผู้ฝึกตนเดี่ยวจากโลกมนุษย์ สำหรับผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังมีทั้งหมดสามคน สองคนเป็นคู่รักกันซึ่งดูเหมือนจะมีอายุประมาณสามสิบปี พวกเขาดูใกล้ชิดสนิทกัน คาดว่าพวกเขาน่าจะเป็นผู้ฝึกตนเต๋าร่วมสัมพันธ์กัน ทั้งคู่อยู่ในขั้นต้นของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังและไม่ได้มีอะไรที่ผิดปกติในลักษณะท่าทางการแต่งกายของพวกเขา คนสุดท้ายคือชาวเต๋าคนที่ก้าวมาด้านหน้า ก่อนหน้านี้เขายืนอยู่กับสองคนนั้น ดังนั้นเขาน่าจะเป็นสหายของคู่นั้นหรืออาจจะตกลงที่จะร่วมมือด้วยกัน เขาอยู่ในขั้นกลางของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลัง ถึงแม้ว่าเขาจะมีผมที่ขาว แต่เขาก็ดูอ่อนเยาว์และนับได้ว่าเป็นผู้ฝึกตนที่มีระดับสูง
ในเมื่อชาวเต๋าคนนี้มีท่าทางที่สุภาพ โม่เทียนเกอจึงทักทายกลับ
ชาวเต๋าผู้นี้ได้พิจารณาระดับการฝึกตนของนางอย่างลับๆ เรียบร้อยแล้ว เมื่อเห็นว่านางยังดูอ่อนเยาว์แต่มีระดับการฝึกตนที่สูง เขาก็รู้สึกเกรงกลัว ในโลกแห่งการฝึกตน ถึงแม้ว่าวิชาคงรูปนั้นจะหาพบได้ง่าย แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องปกติธรรมดาทั่วไป ผู้ฝึกตนเดี่ยวส่วนใหญ่ไม่สามารถเข้าถึงวิชาการฝึกตนประเภทนี้ได้ ชาวเต๋าสันนิษฐานว่าโม่เทียนเกอดูอ่อนเยาว์เพราะเป็นผลจาการคงรูปหรือจากวิชาการฝึกตนของนาง นางดูเหมือนเป็นผู้ที่มาจากกลุ่มการฝึกตน อย่างไรก็ตามถ้าการดูอ่อนเยาว์ของนางไม่ได้เกิดจากวิชาการฝึกตน การประสบความสำเร็จระดับสูงในช่วงอายุเช่นนี้… นั้นน่ากลัวยิ่งกว่า!
เพราะความคิดเช่นนี้ พฤติกรรมที่สุภาพของเขาแสดงให้เห็นถึงความเคารพบางอย่าง “ชื่อแห่งเต๋าของข้าคือฟางเจิ้ง ข้าขอทราบว่าข้าควรเรียกท่านว่าเช่นไรดีท่านสหายแห่งเต๋า”
โม่เทียนเกอมองที่ชาวเต๋าผู้นี้ตั้งแต่หัวจรดเท้า สุดท้ายแล้วนางก็ไม่ได้บอกชื่อจริงของนางไป ข้าชื่อเยี่ยเสี่ยวเทียน ยินดีที่ได้รู้จักท่าน” หลังจากที่นางออกจากภูเขาไท่คัง นางก็เลิกใส่เครื่องแบบของโรงเรียนและใช้ชื่อฉายาแทน นางแทบจะไม่ได้ท่องเที่ยวออกข้างนอก ดังนั้นคงไม่มีใครจะรู้จักนางเป็นแน่
“หากเป็นเช่นนั้น สหายเยี่ยแห่งเต๋า” ชาวเต๋าฟางเจิ้งประกบมือรูปถ้วยให้นางอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เขาพูดเข้าประเด็นในทันที “สหายเยี่ยแห่งเต๋าคงจะรับรู้ได้ถึงการผันผวนของพลังทางจิตวิญญาณที่นี่และรีบเดินทางมาดูเป็นแน่แท้”
โม่เทียนเกอพยักหน้า “ถูกต้องแล้ว” นางชำเลืองมองลงไปที่หุบเขาใต้หน้าผาอีกครั้ง หน้าผานี้ไม่ใช่เส้นเลือดวิญญาณอย่างแน่นอน และดูเหมือนจะไม่ได้มีอะไรที่พิเศษในหุบเขานี้ ดังนั้นทำไมสถานที่นี้จึงมีพลังทางจิตวิญญาณแผ่ออกมา
ชาวเต๋าฟางเจิ้งยิ้มและพูด “ช่างบังเอิญยิ่งนัก! สหายแห่งเต๋าสองท่านนี้และข้าก็มาดูเพราะพลังทางจิตวิญญาณนี้เช่นกัน”
“เช่นนั้นหรือ” โม่เทียนเกอตอบกลับอย่างเฉยเมย นางเดาถึงเจตนาของชาวเต๋าคนนี้ได้ เขาอาจจะต้องการลงไปที่หุบเขาพร้อมกันกับนาง อย่างไรก็ตาม มันก็ดูเหมือนไม่ได้มีอะไรพิเศษนัก ทำไมผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังสามคนนี้ถึงไม่ลงไปกันเอง
เมื่อเห็นถึงท่าทางเฉยเมยของนาง สีหน้าของชาวเต๋าฟางเจิ้งดูอึดอัดขึ้น อย่างไรก็ตามระดับการฝึกตนของโม่เทียนเกอนั้นสูงกว่าเขาเล็กน้อย ดังนั้นเขาจึงบังคับตัวเองให้อดทน “สหายเยี่ยแห่งเต๋า น้องเหยา ภรรยาของเขาและข้าได้สำรวจหุบเขานี้กันแล้ว”
“โอ้?” ครั้งนี้ โม่เทียนเกอย้ายการมองที่หุบเขามายังเขาแทน
ชาวเต๋าฟางเจิ้งยิ้มพร้อมพูดว่า “สหายเยี่ยแห่งเต๋าสงสัยว่าทำไมพวกข้าถึงอยู่ตรงนี้และไม่ลงไปที่หุบเขาใช่ไหม”
โม่เทียนเกอพยักหน้า แท้จริงแล้วแรงกดดันของพลังทางจิตวิญญาณจากหุบเขาไม่ได้แข็งแกร่งนัก แต่ผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังสามคนกลับยังไม่ทำอะไรกันแม้แต่น้อย เหล่าผู้ฝึกตนระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณกว่าสิบคนก็ยังคงไม่ทำอะไรนอกเหนือไปจากยืนอยู่ที่บนหน้าผานั่น กระซิบกันไปมา นี่ทำให้โม่เทียนเกองุนงงอย่างมาก
“ข้าจะขอพูดด้วยความสัตย์จริงต่อสหายเยี่ยแห่งเต๋า หลังจากที่น้องเหยา ภรรยาของเขาและข้ารีบมาที่นี่ พวกเราได้ลงไปที่หุบเขาแล้ว พวกเราไม่ได้คาดคิดว่าอากาศที่เป็นพิษและลมพายุในหุบเขานั้นจะยากที่จะต่อกรด้วย พวกเราสามารถป้องกันมันในครั้งแรกได้ แต่ครั้งที่สองพวกเราไม่สามารถทำได้ สุดท้ายแล้วพวกเราก็ต้องกลับขึ้นมาข้างบนนี้อย่างไม่มีทางเลือก
“อากาศที่เป็นพิษและลมพายุ?” โม่เทียนเกอแปลกใจและตกใจอย่างมาก หากมีอากาศที่เป็นพิษและลมพายุเข้ามาเกี่ยวข้องการผันผวนของพลังทางจิตวิญญาณจะเบาบางเช่นนี้หรือ ถึงแม้ว่าจะมีเสียงพายุที่ไม่ชัดเจน แต่การผันผวนของพลังทางจิตวิญญาณนั้นกลับเบาบางตลอดเวลา ตามหลักแล้ว มันไม่ควรที่จะมีอากาศที่เป็นพิษและพายุที่อันตรายได้เลย
ชาวเต๋าฟางเจิ้งเห็นท่าทางของนางจากนั้นจึงยิ้มอย่างขมขื่น “หากสหายเยี่ยแห่งเต๋าไม่เชื่อข้า ท่านอาจจะลองลงไปดูก็ย่อมได้”
ท่าทางประหลาดใจของโม่เทียนเกอหายไปหลังจากที่นางเรียกสติกลับคืน นางพูด “ไม่จำเป็น ข้าเชื่อว่าสหายแห่งเต๋าไม่มีเหตุผลที่จะต้องโกหกข้า”
เมื่อโม่เทียนเกอพูดจบ “น้องเหยาและภรรยาของเขา” ที่ชาวเต๋าฟางเจิ้งพูดถึงเดินมาทางนาง ผู้หญิงยิ้มให้นางและพูด “ถูกต้องแล้ว! น้องเล็ก นั่นคือความจริง”
หญิงผู้นี้แต่งตัวเหมือนกับผู้หญิงที่แต่งงานแล้วและดูเหมือนนางจะอายุประมาณยี่สิบเจ็ดถึงยี่สิบแปด นางนั้นทั้งดูมีเสน่ห์และนุ่มนวล และใบหน้าของนางก็เต็มไปด้วยรอยยิ้ม นางพูดอย่างตรงไปตรงมา แต่น้ำเสียงของนางนั้นอ่อนหวาน ทั้งหมดแล้ว นางทำให้โม่เทียนเกอประทับใจทีเดียว
หลังจากที่หญิงนางนั้นพูดจบ ชายผู้ฝึกตนข้างนางขมวดคิ้วและพูดอย่างช่วยไม่ได้ “น้องหว่าน ระดับการฝึกตนของแม่หญิงนางนี้สูงกว่าพวกเรา เจ้าเรียกนางว่า ‘น้องเล็ก’ พล่อยๆ ได้อย่างไร นี่เจ้ากำลังหยาบคายนัก” หลังจากนั้นเขาจึงหันมาทางโม่เทียนเกอและประกบมือเพื่อแสดงความขอโทษ “สหายเยี่ยแห่งเต๋า โปรดอภัยให้พวกข้าด้วย ภรรยาของข้าพูดจาโผงผางและมักจะพูดโดยที่ไม่ทันคิด นางไม่ได้มีเจตนาที่จะทำให้ท่านขุ่นเคือง”
ก่อนที่โม่เทียนเกอจะทันได้พูดตอบ หญิงนางนั้นก็ได้พูดออกมาด้วยความรำคาญ “พี่ใหญ่ซิว อย่ารีบขอโทษแทนข้าสิ มาพนันกันดีกว่า ข้าพนันว่าน้องเล็กผู้นี้เป็นน้องเล็กจริงๆ!”
บทสนทนาระหว่างสามีภรรยาคู่นี้มีความหมายอย่างอื่น ชายผู้ฝึกตนเตือนภรรยาของเขาว่าระดับการฝึกตนของโม่เทียนเกอนั้นสูงกว่าพวกเขาและนางน่าจะแก่กว่าทั้งสองคนเล็กน้อย ดังนั้นการเรียกนางว่า ‘น้องเล็ก’ น่าจะทำให้นางขุ่นเคือง อย่างไรก็ตามการพูดถึงอายุของผู้หญิงต่อหน้านางน่าจะไม่เหมาะสม ดังนั้นเขาจึงเตือนนางอ้อมๆ แทนที่จะดุด่านางตรงๆ เพราะนางเข้าใจความหมายของสามีนาง คำตอบของนางจึงมุ่งไปที่ ‘น้องเล็ก’
เมื่อได้ยินคำตอบของหญิงนางนั้น สามีของนางจึงถามอย่างประหลาดใจ “เจ้ามั่นใจได้อย่างไร”
ผู้หญิงเพียงแค่ยิ้ม “สัญชาตญาณของผู้หญิง” หลังจากที่นางพูดเช่นนั้น หญิงนางนั้นเดินมาดึงมือของโม่เทียนเกอด้วยความรักใคร่และถาม “น้องเล็ก ข้าพูดถูกไหม”
โม่เทียนเกอยิ้มกลับพร้อมพูดว่า “ข้าขอถามได้หรือไม่ว่าท่านทั้งสองอายุเท่าไหร่ ถ้าท่านไม่บอกข้า ข้าก็คงจะไม่สามารถตอบคำถามของท่านได้”
ฝ่ายผู้หญิงตะลึง เสี้ยววินาทีต่อมา นางปิดปากตัวเองและหัวเราะ “ดูสมองของข้าสิ! ข้าลืมสิ่งที่สำคัญไปจริงๆ! สามีที่แสนซุ่มซ่ามและข้าอายุร้อยปีในปีนี้แล้ว”
เมื่อพูดถึงอายุขัยของผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลัง รูปลักษณ์ของพวกเขาในตอนนี้น่าจะเป็นรูปลักษณ์ของพวกเขาจริงๆ อายุร้อยปี… ขั้นกลางของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลัง… โม่เทียนเกอครุ่นคิดอยู่ภายใน มันดูเหมือนว่าพวกเขานั้นเป็นผู้ฝึกตนจากกลุ่มการฝึกตนเล็กๆ ไม่ก็ผู้ฝึกตนเดี่ยว ถึงแม้ว่าพวกเขาจะเป็นผู้ฝึกตนจากกลุ่มการฝึกตนขนาดใหญ่ พวกเขาก็น่าจะเป็นแค่ศิษย์ทั่วไปเท่านั้น
ศิษย์ระดับหัวกะทิของกลุ่มผู้ฝึกตนขนาดใหญ่สร้างฐานแห่งพลังของพวกเขาค่อนข้างไว ถึงแม้ว่ามีไม่กี่คนที่สามารถก้าวเข้าสู่ดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลังได้ การฝึกตนจนสามารถเข้าสู่ขั้นสุดท้ายของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังนั้นก็ค่อนข้างง่าย น้อยคนนักที่จะติดอยู่ในขั้นต้นของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังในอายุเช่นนั้น
“ท่านพี่ใหญ่พูดถูกแล้ว” โม่เทียนเกอยิ้มเล็กน้อย “ข้าอายุน้อยกว่าพวกท่านเล็กน้อย”
“โอ้?” ไม่เพียงแค่คู่แต่งงานคู่นี้เท่านั้น แต่แม้กระทั่งชาวเต๋าฟางเจิ้งก็เบิกตากว้าง นางอายุยังไม่ถึงหนึ่งร้อยปี แต่ระดับการฝึกตนของนางเข้าสู่จุดสูงสุดของขั้นกลางในดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังแล้ว
โม่เทียนเกอไม่ต้องการที่จะลงรายละเอียดในเรื่องนี้ ดังนั้นนางจึงเปลี่ยนเรื่อง “ท่านรู้ถึงสถานการณ์ในหุบเขานี้มากน้อยแค่ไหนหรือ”
ชาวเต๋าฟางเจิ้งเรียกคืนสติและรีบตอบ “เมื่อน้องเหยา ภรรยาของเขาและข้าพบว่าพวกเราไม่สามารถข้ามผ่านอากาศพิษและลมพายุด้านล่างได้ พวกเราจึงร่วมมือกัน แต่สุดท้ายแล้วผลที่ได้ก็ยังคงเป็นเช่นเดิม… ท่านสหายแห่งเต๋า ท่านลองดู พลังทางจิตวิญญาณนั้นไม่ได้รุนแรง แต่มันช่างบริสุทธิ์นัก ดังนั้นมันจึงดูเหมือนว่ามีสมบัติที่มีเอกลักษณ์เกิดขึ้นที่นี่ และมันคงน่าเสียดายยิ่งนักถ้าพวกเราพลาดมันไป!”
“ถูกต้อง! พวกเราคิดเช่นกัน” คนที่แทรกขึ้นมาคือผู้หญิง “น้องเล็ก เจ้ายังเยาว์วัยนักแต่ระดับการฝึกตนของเจ้ากลับอยู่สูง เจ้าน่าจะเป็นศิษย์จากกลุ่มการฝึกตนใช่หรือไม่ พวกข้าสามคนเป็นผู้ฝึกตนเดี่ยว มันเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยากสำหรับพวกเราที่จะเผชิญหน้ากับการเกิดของสมบัติที่มีเอกลักษณ์เช่นนี้ ถ้าเจ้าสนใจในสมบัตินี้เช่นกัน พวกเราสามารถวางกลยุทธ์ร่วมกันได้ แต่ถ้าเจ้าไม่ได้อยากเสี่ยง พวกข้าก็จะไม่ขวางทางเจ้า และแน่นอนถ้าเจ้าคิดว่าเจ้าสามารถเอาสมบัติไปได้ด้วยตัวเจ้าเอง เจ้าสามารถแสร้งทำเป็นเหมือนกับว่าไม่ได้ยินที่พวกข้าเสนอไปได้เลย”