ลำนำสตรียอดเซียน - ตอนที่ 157 คู่รักเหยา
โม่เทียนเกอพบว่ากระถางธูปบนแท่นบูชามีพลังงานทางจิตวิญญาณ ก็รู้สึกดีใจมาก
เห็นได้ชัดว่าหุบเขานี้เป็นหุบเขาธรรมดา ดอกไม้ พืชพรรณ ต้นไม้ ทุกอย่างที่นี่ไม่มีพลังงานทางจิตวิญญาณ ในเมื่อกระถางธูปนี้มีพลังงานทางจิตวิญญาณอย่างไม่น่าเชื่อ มันก็ต้องมีอะไรแปลกผิดธรรมดาแน่นอน!
หลังจากสำรวจดูอยู่พักหนึ่ง ท้ายที่สุดโม่เทียนเกอจึงเสกคาถาเพื่อเคลื่อนกระถางธูปออกไป สุดท้ายนางก็พบแหล่งที่มาของการผันผวนของพลังงานทางจิตวิญญาณจนได้
โม่เทียนเกอบินสูงขึ้นไปในอากาศแล้วจึงมองลงมาที่ฉากเบื้องล่าง แท่นบูชา รูปปั้นหิน ต้นไม้สูงที่ล้อมรอบ… เห็นได้ชัดว่านี่คือม่านพลัง! ม่านพลังซึ่งไม่จำเป็นต้องใช้พลังงานทางจิตวิญญาณหลังจากพัฒนาแล้ว!
รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ปรากฏบนใบหน้านาง ม่านพลังก็มีอยู่ในโลกมนุษย์เช่นกัน ม่านพลังพวกนั้นไม่ต้องการพลังงานทางจิตวิญญาณแต่มันถูกพัฒนาขึ้นจากม่านพลังที่อยู่ในโลกแห่งการฝึกตน หน้าที่ของมันก็แค่เพื่อรบกวนความสามารถในการตัดสินของมนุษย์ หากผู้ฝึกตนใช้จิตสัมผัสและเวทมนตร์ ก็จะสามารถทำลายม่านพลังแบบนั้นได้เป็นธรรมดา
นางประกบมือและร่ายมนตร์ ในชั่วพริบตา กระถางธูปบนแท่นบูชาก็ระเบิด เผยให้เห็นสิ่งที่อยู่ข้างใน จู่ๆ พลังงานทางจิตวิญญาณก็พุ่งขึ้นสูงสู่ฟ้า ทันใดนั้นภาพทิวทัศน์รอบๆ ตัวนางเปลี่ยนไปและท้องฟ้ามืดมิดลง
โม่เทียนเกอมองขึ้นไปและมองรอบๆ รอยย่นคิ้วปรากฏขึ้นบนใบหน้านาง
ม่านพลังภายในม่านพลัง!
ครั้งนี้ม่านพลังเป็นม่านพลังที่แท้จริงจากโลกแห่งการฝึกตน รูปปั้นหินและแท่นบูชาที่นางเห็นอยู่เมื่อครู่นี้หายวับไป สิ่งที่เหลืออยู่มีเพียงแค่พื้นที่รกร้างว่างเปล่าโดยสิ้นเชิง
ผิดแล้ว นี่คือภาพลวงตา!
ขณะที่คว้ากระสวยอัปสราในมือนาง โม่เทียนเกอก็เรียกผ้าเช็ดหน้าไหมขาวออกมาอีกครั้ง ในชั่วอึดใจนางก็บินสูงขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมทำมือท่ามุทรา
หลังจากทำท่ามุทราที่ซับซ้อนอย่างมากอยู่หลายครั้ง เส้นใยพลังงานทางจิตวิญญาณถูกปล่อยออกไปโดยพร้อมเพรียงกัน
ในค่ำคืนอันมืดมิด นางได้ยินเสียงที่ดูเหมือนจะเป็นเสียงโหยหวนครวญร้องของภูตผีที่อาฆาตแค้น ไม่นานหลังจากนั้น เส้นใยพลังงานทางจิตวิญญาณหลายเส้นถูกส่งโต้กลับมาที่นาง
มือนางสั่นระริก นางเริ่มใช้ผ้าเช็ดหน้าไหมขาว มันเปลี่ยนรูปร่างไปเป็นกำแพงอิฐสี่ด้านซึ่งตกลงรอบตัวนาง สกัดกั้นการโจมตีกลับเหล่านี้ได้อย่างหมดจด ในวินาทีถัดมา นางเรียกผ้าเช็ดหน้าไหมขาวกลับมาและใช้กระสวยอัปสรา มันกลายเป็นลำแสงสีทองพุ่งเข้าโจมตีคู่ต่อสู้ของนาง
เสียง ฉึก ฉึก ฉึก ฉึก เบาๆ หลายครั้งตามมา ทั่วบริเวณจมดิ่งลงในความเงียบสงัดและท้องฟ้าสว่างขึ้น
โม่เทียนเกอถอนหายใจอย่างโล่งอก นางไม่รู้ว่าม่านพลังนี้ตามจริงแล้วอายุเก่าแก่แค่ไหน แต่ดูเหมือนมันจะอยู่ที่นี่มาเป็นเวลาหลายพันปี พลังงานทางจิตวิญญาณของมันอ่อนอยู่แล้ว และพลังของมันก็ลดลงอย่างมาก นั่นคือเหตุผลว่าทำไมนางถึงทำลายมันได้ง่ายดายนัก อย่างไรก็ตาม ดูจากวิธีการที่ใช้วางม่านพลัง นางประเมินได้ว่าด้วยพลังดั้งเดิมของมัน บางทีแม้แต่ผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณใหม่ก็อาจถูกกักขังอยู่ข้างในได้นานพอตัว เป็นไปได้หรือไม่ว่าคนที่วางม่านพลังนี้ก็เป็นผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณใหม่เช่นกัน
โม่เทียนเกอสันนิษฐานเช่นนี้ในใจ แล้วสำรวจรอบๆ ตัวด้วยความระมัดระวัง
เนื่องจากม่านพลังถูกทำลายลงแล้ว ภาพทิวทัศน์จึงกลับไปเป็นตามแบบเดิม อย่างไรก็ตาม ตอนนี้มีทางเข้าถ้ำอยู่ภายใต้กระถางธูป กำลังปล่อยพลังงานทางจิตวิญญาณกระเพื่อมออกมา
โม่เทียนเกอประหลาดใจ เห็นได้ชัดว่าในหุบเขานี้ไม่มีเส้นเลือดวิญญาณ แล้วปากถ้ำนี้ปล่อยพลังงานทางจิตวิญญาณบริสุทธิ์เช่นนั้นออกมาได้อย่างไร ยิ่งไปกว่านั้น การผันผวนของพลังงานทางจิตวิญญาณ… ก็เหมือนกับที่นางรู้สึกตอนก่อนหน้านี้!
เมื่อตระหนักถึงจุดนี้ โม่เทียนเกอก็ค่อยๆ เดินเข้าไปทางปากถ้ำอย่างระมัดระวัง นางใช้คาถาเพื่อตรวจสอบดูภายในถ้ำก่อนจากนั้นนางจึงจับสัตว์ตัวเป็นๆ และเอามันใส่เข้าไปในถ้ำ เมื่อนางแน่ใจว่าไม่มีความผิดปกติอะไร สุดท้ายนางจึงเดินเข้าไปในถ้ำช้าๆ
ปากถ้ำนี้แคบมาก ดูเหมือนมีขนาดพอให้คนเดินผ่านเข้าไปทีละคนเท่านั้น นางเดินไปตามบันไดหิน ค่อยๆ ลงไปทีละขั้นจนกระทั่งนางมาถึงโถงกว้างในที่สุด ครั้นแล้วโม่เทียนเกอก็ดีดนิ้วก่อให้เกิดเปลวไฟสว่างขึ้นที่ปลายนิ้ว ด้วยสายตาผู้ฝึกตน นางยังสามารถมองเห็นสิ่งต่างๆ ในความมืดได้แต่ก็เพียงส่วนน้อยเท่านั้น อย่างไรก็ตาม หากมีไฟนางก็จะมองเห็นได้ชัดเจนขึ้น
โม่เทียนเกอแหงนมองไปรอบๆ โถงนี้ซุกซ่อนอยู่ในกำแพงหินและดูเหมือนเป็นถ้ำเซียน หรือว่าบางทีนี่อาจจะเป็นถ้ำเซียนของผู้ฝึกตนสมัยอดีตกาล นางรู้สึกตื่นเต้นชั่วครู่แต่แล้วนางก็คิดว่าผิดแล้ว! รูปปั้นหินตรงนั้นเห็นได้ชัดว่าเป็นรูปของใครบางคนจากเมื่อหลายพันปีก่อน ไม่น่าจะมีอะไรเกี่ยวข้องกับผู้ฝึกตนสมัยอดีตกาล
นางเดินผ่านโถง ค่อยๆ ก้าวไปข้างหน้าช้าๆ ตามทางเดินหิน โถงนี้มืดมากแต่พลังงานทางจิตวิญญาณภายในก็หนาแน่นมากเช่นกัน โม่เทียนเกอได้ข้อสรุปแล้ว นี่ต้องเป็นเส้นเลือดวิญญาณเส้นเล็กซึ่งถูกปิดผนึกไว้ด้วยม่านพลังโดยพวกมนุษย์ ดูเหมือน… จะเป็นถ้ำเซียนของผู้ฝึกตนอย่างไม่ต้องสงสัย ยิ่งไปกว่านั้น ผู้ฝึกตนคนนี้อย่างน้อยๆ ต้องอยู่ในดินแดนจิตวิญญาณใหม่เป็นแน่!
เมื่อสรุปได้เช่นนี้ โม่เทียนเกอก็รู้สึกสนใจขึ้นมาในที่สุด ในเมื่อม่านพลังยังคงอยู่ ถ้ำเซียนแห่งนี้ก็ไม่น่าถูกทิ้งไว้ หากเป็นเช่นนั้น ก็เป็นไปได้มากว่าผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ตายอยู่ในถ้ำเซียนแห่งนี้ แล้วถ้ำเซียนของผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ที่ตายแล้วหมายถึงอะไรน่ะหรือ ต้องมีความร่ำรวยที่สั่งสมมาของผู้ฝึกตนคนนั้นอยู่ภายในอย่างแน่นอน!
โม่เทียนเกอเอากระสวยอัปสราออกมาหมุนรอบตัวนางเป็นการป้องกัน ตอนนี้นางยิ่งระวังตัวมากกว่าเดิมเมื่อนางสรุปได้เช่นนั้น
ทางเดินหินนี้ทอดยาวและมืดสนิท โม่เทียนเกอยังคงเดินต่อไปสักพัก ทว่าจู่ๆ นางก็รู้สึกว่าเลือดเย็นเฉียบด้วยความกลัว ถึงแม้ตอนนี้นางจะถูกพวกมนุษย์มองว่าเป็นเซียน แต่ใจนางก็ยังรู้สึกกลัวอย่างเลี่ยงไม่ได้เมื่อเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้ นางนึกถึงการผจญภัยในอดีตของนางที่มีแต่การตายหมู่ นางไม่เคยผ่านสถานการณ์ที่นางต้องเผชิญหน้ากับความมืดมิดที่ไม่แน่นอนด้วยตัวคนเดียวมาก่อน
ภายในความมืด นางได้ยินเพียงเสียงหายใจแผ่วเบา เสียงหายใจของนางซึ่งปกติแล้วไม่สามารถได้ยินได้ กลับเสียงดังผิดปกติในความเงียบงันที่สุดนี้ สิ่งที่นางพอจะมองเห็นได้จำกัดอยู่แค่เปลวไฟเล็กๆ ที่ปลายนิ้วของนางขณะที่ทุกอย่างถูกบดบังไว้ด้วยความมืดมิด นี่ยิ่งทำให้สถานการณ์ทั้งหมดยิ่งน่าหวาดหวั่นขึ้นไปอีก
เมื่อตระหนักว่าสภาวะจิตของนางกำลังย่ำแย่ลง โม่เทียนเกอหลับตาและทำท่ามุทรา ทันใดนั้นแสงสว่างจ้าระเบิดออกจากพื้นที่ตรงหว่างคิ้วของนาง และในชั่วพริบตา นางก็เข้ามาอยู่ในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน
ชั่วขณะที่นางได้เห็นกระท่อมไม้ไผ่และลำธารที่คุ้นเคย ในที่สุดนางก็พอจะกลับมาสงบจิตใจได้อีกครั้ง
ขณะที่นางนั่งอยู่ในกระท่อมไม้ไผ่ โม่เทียนเกอส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ แน่นอนว่าสภาวะจิตของนางยังไม่เข้มแข็งมากพอ หากยังคงเป็นเช่นนี้ต่อไป จะต้องเกิดปัญหาเมื่อนางเผชิญกับมารภายในจิตใจในระหว่างการก่อแก่นขุมพลังแน่ โชคดีที่นางออกมาเพื่อหาประสบการณ์ในชีวิตจริง มิเช่นนั้นถ้านางหวังพึ่งแต่คำแนะนำของท่านอาจารย์ระดับจิตวิญญาณใหม่ของนาง นางคงไม่ได้ค้นพบปัญหานี้ด้วยซ้ำไป
โม่เทียนเกอนั่งขัดสมาธิ เริ่มควบคุมลมปราณจากนั้นเคลื่อนพลังงานทางจิตวิญญาณไปตามวงโคจรจุลจักรวาล เพียงหลังจากที่นางมั่นใจแล้วว่าสภาวะจิตของนางสงบนิ่ง นางจึงเตรียมตัวที่จะออกไปและสำรวจถ้ำต่อ
แต่ทว่าก่อนนางจะร่ายคาถา จู่ๆ นางก็หยุดเคลื่อนไหวกะทันหัน
เสียงฟังคลุมเครือส่งผ่านมาจากภายนอกโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน “พี่ซิว เราพักกันก่อนเถอะ”
นี่คือเสียงซางหรูหว่าน โม่เทียนเกอทำมือมุทราแล้วจึงทำท่าชี้ ไม่นานหลังจากนั้น เสียงจึงฟังชัดเจนขึ้นทันที
“พี่ซิว!” ซางหรูหว่านหายใจหอบอย่างหนัก ประหนึ่งว่ากำลังเหนื่อยระโหยโรยแรง ด้วยระดับการฝึกตนของนางในขั้นต้นของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงาน ไม่น่าจะมีเหตุผลอะไรให้นางต้องรู้สึกเหนื่อย หรือว่าบางทีนางอาจจะบาดเจ็บ
เวลาสักพักผ่านไปก่อนที่ในที่สุดนางจะได้ยินเสียงของเหยาจื่อซิว “น้องหว่าน เจ้าเป็นอะไรหรือไม่”
ซางหรูหว่านยังคงหายใจอย่างหนักหน่วงสักพักแต่นางก็ค่อยๆ หายใจได้ดีขึ้นทีละน้อย นางพูดว่า “พี่ซิวจะรีบไปทำไม”
โม่เทียนเกอได้ยินความไม่พอใจซ่อนอยู่ในน้ำเสียงนาง
เหยาจื่อซิวพูด “เราหนีจากความตายมาได้อย่างหวุดหวิดและตอนนี้เราก็พบว่ามีถ้ำเซียนที่นี่ซึ่งอาจจะมีทรัพย์สมบัติอยู่ข้างใน แน่นอนว่าข้าต้องรีบสิ หากเราปล่อยให้นักพรตฟางเจิ้งและผู้ฝึกตนหญิงแซ่เยี่ยคนนั้นเจอสถานที่นี้ นั่นไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่ได้ส่วนแบ่งทรัพย์สมบัตินี้เช่นนั้นหรือ”
“ก็ช่างปะไร!” ซางหรูหว่านฟังดูค่อนข้างรำคาญ “เจ้าบอกเองไม่ใช่หรือว่าแค่อยู่กับข้าก็เพียงพอแล้ว ถ้าเราอยู่ด้วยกันได้ จะเป็นอะไรไปถ้าเราไม่ได้สมบัตินี้”
เหยาจื่อซิวใช้เวลาพักหนึ่งก่อนจะตอบได้ “น้องหว่าน! ข้าทำเช่นนี้ก็เพื่อให้เราได้อยู่ด้วยกัน! ในที่สุดเราก็หนีมาได้หลังจากผ่านความยากลำบากมามาก เราจะทำอย่างไรถ้าเราโดนจับได้อีกครั้งเล่า หลังจากหลายปีที่ผ่านมานี้ ในที่สุดข้าก็เข้าใจว่าหากไม่มีระดับการฝึกตนสูงและพละกำลัง เราก็จะไม่มีสิทธิ์มีเสียงในสิ่งไหนทั้งนั้น! ย้อนไปตอนนั้น หากไม่ใช่เพราะระดับการฝึกตนของข้าต่ำเกินไป พ่อเจ้าก็คงไม่ต้องไปหมั้นหมายเจ้าให้กับคนอื่น! ถ้าไม่ใช่เพราะเราอ่อนแอเกินไป เราก็คงไม่ต้องหลบซ่อนจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่งและหนีมายังโลกมนุษย์ตลอดหลายปีมานี้หรอก! น้องหว่าน เจ้ายังไม่เข้าใจอีกหรือ ในโลกแห่งการฝึกตน พละกำลังคือรากฐานของทุกสิ่ง หากไม่มีพละกำลัง ก็จะเป็นเรื่องยากสำหรับเราที่จะได้อยู่ด้วยกัน ไม่ว่าเราจะต้องการมากแค่ไหนก็ตาม!”
“หาได้มีอะไรยากแม้แต่น้อย!” มีความโมโหอยู่ในน้ำเสียงซางหรูหว่าน “หากเรามองหาสถานที่ลับและใช้ชีวิตปลีกวิเวกกันที่นั่น พ่อข้าและคนอื่นๆ อาจตามหาเราจนกระทั่งพวกเขาตายและพวกเขาก็ยังไม่สามารถหาเราเจอได้!” หลังจากนางพูดเช่นนั้น ก็ลดน้ำเสียงให้อ่อนลงอีกครั้ง “พี่ซิว เกิดอะไรขึ้นกับท่าน ท่านไม่เคยเป็นเช่นนี้ ทำไม…”
“อย่าถามข้าว่าทำไม!” เหยาจื่อซิวตะโกน
โม่เทียนเกอรู้สึกตกใจ นางใคร่ครวญอยู่ชั่วขณะหนึ่งและรู้สึกกังวลเล็กน้อย นางชี้ไปที่พื้นที่ว่างตรงหว่างคิ้ว
ไข่มุกปรากฏขึ้นทันใดจากตรงหว่างคิ้วของนาง นางร่ายมนตร์ใส่ ทันทีหลังจากนั้นรอยแยกก็ปรากฏขึ้นในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน ตอนนี้ในที่สุดนางก็มองเห็นคู่รักเหยากำลังยืนอยู่บนทางเดินหิน
เห็นได้ชัดว่าซางหรูหว่านเองก็ตกใจกับเสียงตะโกนของเหยาจื่อซิวเช่นกัน นางจ้องมองเขาด้วยสีหน้าแปลกใจ ทว่าไม่ช้าเหยาจื่อซิวก็ผ่อนคลายสีหน้าลงและพูดต่ออย่างอ่อนโยน “น้องหว่าน ข้าอยากมอบความสุขให้กับเจ้า ไม่ใช่ต้องซ่อนเจ้าไว้ทุกที่ ข้าหวังว่าสักวันหนึ่งข้าจะสามารถพาเจ้ากลับบ้านได้แบบเหมาะสมและเปิดเผย และให้พ่อเจ้ากับคนอื่นๆ ได้รู้ว่าเจ้าตัดสินใจถูกแล้วที่เลือกข้า!”
ซางหรูหว่านดูซาบซึ้งใจหลังจากได้ยินสิ่งที่เขาพูด “พี่ซิวหาได้จำเป็นต้องทำเช่นนั้นไม่ ข้าบอกตั้งนานแล้วว่าข้าไม่สนใจว่าระดับการฝึกตนของพี่จะเป็นอย่างไร สำหรับข้า ตราบใดที่ข้าได้อยู่กับพี่ นั่นก็เพียงพอแล้ว…”
“ไม่ได้ น้องหว่าน” เหยาจื่อซิวยังคงดึงดัน “ข.. ข้าไม่อาจเป็นผู้ชายไร้ค่าเช่นนั้นได้ ถ้าเช่นนั้น สิ่งที่พ่อเจ้าพูดเมื่อปีนั้นก็จะกลายเป็นความจริง ข้ามีเพียงแค่รากวิญญาณสามธาตุ ข้าเกือบจะสร้างฐานแห่งพลังงานไม่สำเร็จด้วยซ้ำ ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้าแอบให้ยาสร้างฐานแห่งพลังของเจ้ากับข้า ข้าก็ไม่แน่ใจว่าข้าจะสามารถสร้างฐานแห่งพลังงานได้หรือไม่… ข้าอยากจะพิสูจน์ให้พ่อเจ้าเห็นว่าถึงแม้ต้นทุนของข้าจะไม่ดี แต่ข้าก็ยังทำได้…”
ถึงตอนนี้โม่เทียนเกอพอจะเข้าใจคร่าวๆ แล้วว่าเกิดอะไรขึ้นกับคู่รักเหยาคู่นี้
สองคนนี้ไม่ได้กลายมาเป็นผู้ฝึกตนเดี่ยวเพราะตระกูลของพวกเขาตกต่ำ ในทางตรงข้าม พวกเขาเป็นผู้ฝึกตนที่หนีจากตระกูลมาต่างหาก สิ่งที่พวกเขาพูดเกี่ยวกับโตมาเป็นเพื่อนวัยเด็กด้วยกันก็อาจจะจริง พวกเขาโตมาด้วยกันและความรู้สึกก็พัฒนาไปเป็นความรัก อย่างไรก็ตาม เพราะต้นทุนของเหยาจื่อซิวธรรมดา บิดาซางหรูหว่านจึงไม่เห็นว่าเขาคู่ควรและไม่ยอมให้พวกเขาคบกัน ท้ายที่สุดซางหรูหว่านและเหยาจื่อซิวจึงหนีตามกันไป
บางทีอาจจะมีผิดไปบ้างในรายละเอียด แต่โดยรวมแล้วนั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้น
อย่างไรก็ตาม การได้ยินความหมายเบื้องหลังคำของเหยาจื่อซิวทำให้โม่เทียนเกอรู้สึกถึงลางไม่ดี แต่ซางหรูหว่านที่อยู่ตรงนั้นอาจจะไม่ทันสังเกตเจตนาแอบแฝงของเหยาจื่อซิวก็เป็นได้
เขาบอกว่าเขาอยากมอบความสุขให้กับซางหรูหว่าน แต่สายตาของเขาเป็นประกายเมื่อซางหรูหว่านไม่ได้มอง ชายผู้นี้คงไม่สามารถทนวันเวลาที่เขาไม่มีอะไรนอกจากความรักได้อีกแล้ว ใช่หรือไม่
รอยยิ้มเยาะจางๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าโม่เทียนเกอ แต่นางยังคงฟังบทสนทนาของพวกเขาต่อไป
ท้ายที่สุดแล้วซางหรูหว่านก็ถูกโน้มน้าวสำเร็จ นางเอนตัวซบลงบนอกเหยาจื่อซิวและพูดอย่างอ่อนโยน “พี่ซิว ไม่ต้องกังวลไป ตอนทางเข้ามาที่นี่เราไม่เห็นร่องรอยของคนอื่น เราน่าจะเป็นพวกเดียวที่เจอถ้ำนี้ เอ… ข้าชอบน้องเยี่ยคนนั้นจริงๆ นะ ข้าสงสัยว่านางรอดชีวิตหรือไม่…”
“วางใจเถอะ ระดับการฝึกตนของแม่หญิงผู้นั้นสูงกว่าพวกเรา ข้าเกรงว่าต่อให้เราร่วมมือกัน ก็ยังไม่อาจเอาชนะนางได้ ยิ่งไปกว่านั้นนางยังมีสมบัติทางจิตวิญญาณอีกด้วย นางน่าจะไม่เป็นอะไร”
“คือ…”
เหยาจื่อซิวพูด “ข้าสงสัยจริงว่าสหายนักพรตเยี่ยตัวจริงคือใคร เจ้าบอกว่า… เจ้าคิดว่านางอายุเท่าไรนะ”
ซางหรูหว่านใช้เวลาคิดพักหนึ่งก่อนจะตอบว่า “ถึงแม้น้องสาวคนนั้นจะมีท่าทางมั่นคงและมีวิธีที่แน่วแน่ในการรับมือกับสิ่งต่างๆ แต่เราก็ยังบอกได้ว่านางยังคงเป็นสาวน้อยด้วยการมองแค่ปราดเดียว หากเจ้าให้ข้าทายอายุของนางแบบตรงเผง คงทำไม่ได้ อย่างไรก็ตาม นางต้องอายุน้อยกว่าแปดสิบปีแน่”
“น้อยกว่าแปดสิบปี…” บางสิ่งวูบวาบอยู่ในสายตาของเหยาจื่อซิว เขาพึมพำเบาๆ “นางเด็กขนาดนั้นแต่ก็เข้าถึงจุดสูงสุดของขั้นกลางดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงานแล้ว… หากโชคดี บางทีนางอาจก่อขุมพลังของนางได้ภายในอีกร้อยปีข้างหน้า จริงหรือไม่ ดูเหมือนว่านางจะเป็นศิษย์หัวกะทิของกลุ่มการฝึกตนใหญ่ๆ จริงเสียด้วย”
“นางน่าจะเป็นเช่นนั้น” ซางหรูหว่านบอก “สมบัติทางจิตวิญญาณที่นางมีนั้นเหนือชั้นเกินกว่าของผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังงานคนอื่นไปมาก ดังนั้นนางย่อมไม่ใช่ผู้ฝึกตนเดี่ยวแน่ ข้าเกรงว่ากลุ่มการฝึกตนเล็กๆ ก็ไม่สามารถเลี้ยงดูผู้ฝึกตนเช่นนางได้”
เหยาจื่อซิวพยักหน้าอยู่ภายใน สายตาเขาดูเหมือนเขากำลังครุ่นคิดบางอย่าง “ถ้าเช่นนั้นนี่ก็ถือได้ว่าเป็นการเก็บเกี่ยวผลประโยชน์…”
“ว่าอย่างไรนะ” ซางหรูหว่านไม่ได้ยินเขาชัดเจนนัก
เหยาจื่อซิวรีบยิ้ม “ไม่มีอะไรน้องหว่าน ตอนนี้เจ้ารู้สึกดีขึ้นแล้วใช่หรือไม่ เราไปต่อกันได้หรือยัง”