ลำนำสตรียอดเซียน - ตอนที่ 159-2 ฆ่ากันเอง
โม่เทียนเกอไม่สนใจจะขุดคุ้ยกับเรื่องนี้ต่อ นางจึงแค่กวาดสายตาทั่วตัวทั้งสองคนแซ่ลู่กับแซ่หวังแล้วจึงถามว่า “เจ้าเห็นคนอื่นๆ บ้างหรือไม่”
ทั้งสามคนล้วนส่ายหน้า
นักพรตฟางเจิ้งถาม “สหายนักพรตเยี่ย แล้วเจ้าล่ะ เจ้าเจออะไรถึงได้มาที่นี่”
โม่เทียนเกอพูด “ข้าถูกส่งไปที่บริเวณรูปปั้นหินและเจอกับสหายนักพรตเหยียน แต่สหายนักพรตเหยียนและศิษย์พี่น้องของนางอีกสองคนถูกแยกออกจากกัน ส่วนสหายนักพรตเหยาและเมียของเขา ข้ายังไม่เจอพวกเขาเลย”
“ถ้าเช่นนั้นแล้วสหายนักพรตเยี่ยรู้ได้อย่างไรว่านี่คือม่านพลังมายา หรือว่าบางทีเจ้าอาจจะบังเอิญเจออะไร” ผู้ฝึกตนแซ่ลู่ขัดจังหวะพวกเขา มีความสงสัยอยู่ในสายตา เห็นได้ชัดว่าเขาคิดว่านางก็เจอปัญหาเดียวกับเขาเช่นกัน
โม่เทียนเกอพูดอย่างแผ่วเบา “ยามที่สหายนักพรตเหยียนและตัวข้าพบกัน ข้ารู้ว่าเรากำลังใส่เสื้อผ้าเหมือนกับชุดที่อยู่บนตัวรูปปั้นหิน ดังนั้นเราจึงรู้ได้ทันทีว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากล แน่นอนว่าหลังจากเราลองทดสอบดู เราก็ยืนยันได้ว่านี่คือม่านพลังมายาอย่างไม่ต้องสงสัย”
“โอ้” คำตอบของนางค่อนข้างน่าประหลาดใจสำหรับคนแซ่ลู่และแซ่หวัง อย่างไรก็ตาม ในเมื่อพวกเขาเห็นวิธีการของนางแล้ว พวกเขาจึงไม่กล้าพูดอะไร สาวน้อยผู้นี้อาจจะดูอ่อนโยนแต่เมื่อนางลงมือนางก็น่ากลัวมาก การเคลื่อนไหวของนางเร็วอย่างกับสายฟ้าและอาวุธเวทของนางก็ยากจะต่อกรด้วยได้ ถึงแม้ว่านางจะอยู่ในขั้นกลางของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงานเหมือนกับพวกเขา แต่นางก็กล้าสู้กับพวกเขาทั้งสามคนด้วยตัวเองลำพัง และยิ่งไปกว่านั้น นางไม่ได้ดูเหมือนนางเสียเปรียบเลยแม้แต่นิดเดียว
ตอนแรกเพราะพวกเขาเป็นผู้ฝึกตนจากกลุ่มการฝึกตน พวกเขาไม่ได้คิดมากกับผู้ฝึกตนที่อาศัยอยู่ในโลกมนุษย์ พวกเขาคิดว่าผู้ฝึกตนหญิงคนนี้เป็นแค่ผู้ฝึกตนเดี่ยวเหมือนกับคู่รักเหยาและนักพรตฟางเจิ้ง แต่นางกลับแข็งแกร่งมากอย่างไม่น่าเชื่อ! พอถึงตอนนี้พวกเขาก็มั่นใจแล้วว่าโม่เทียนเกอต้องเป็นผู้ฝึกตนจากกลุ่มการฝึกตนเช่นกัน
“สหายนักพรตเยี่ย ตอนนี้เราควรจะทำอย่างไรกันดี” ทั้งสามคนเกือบจะฆ่ากันตายแต่พวกเขาก็โชคดีถูกดึงสติกลับมาได้เพราะโม่เทียนเกอ เพราะเหตุนั้น ตอนนี้นักพรตฟางเจิ้งจึงสุภาพกับนางอย่างที่สุด
โม่เทียนเกอคิดเล็กน้อยก่อนจะตอบว่า “เราควรจะตามหาคนอื่นๆ ก่อน บนแท่นแห่งธาตุทั้งห้าเราต้องประจำตำแหน่งกันคนละแท่น เราไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากคนอื่นไม่สามารถฝ่าฟันไปได้ คงจะแย่มากหากมีอะไรเกิดขึ้นกับพวกเขาและส่งผลกระทบมาถึงเรา”
ทั้งสามคนคิดถึงข้อคิดเห็นของนางและรู้สึกว่าที่นางพูดก็ค่อนข้างมีเหตุผล ฝ่ายของพวกเขาต่างยืนกันบนหนึ่งในห้าแท่น เพราะฉะนั้นบางทีพวกเขาอาจจะถูกจัดว่าเป็นกลุ่มหนึ่งกลุ่มเดียวกัน พวกเขาจะทำอย่างไรหากคนหนึ่งไม่สามารถผ่านการทดสอบม่านพลังมายานี้ได้และม่านพลังนี้เปลี่ยนไปเป็นม่านพลังสังหารแทน การต้องเสียชีวิตไปแค่เพราะเหตุนั้นคงจะเสียเปล่ามาก
“สหายนักพรตเยี่ยพูดถูก” นักพรตฟางเจิ้งเป็นคนแรกที่แสดงออกว่าเห็นด้วย
ชายแซ่ลู่และแซ่หวังเหลือบมองกันก่อนจะพยักหน้าเช่นกัน “เช่นนั้นเราควรจะไปตามหาคนอื่นตอนนี้เลยหรือไม่”
“แยกกันตามหาเถอะ” โม่เทียนเกอพูด “วิธีนี้เราจะเจอพวกเขาได้เร็วกว่า สหายนักพรตเหยียนกับข้าตกลงกันว่าจะพบกันที่แถวรูปปั้นหิน ดังนั้นถ้าเราเจอคนอื่นๆ เราจะไปเจอกันที่นั่น”
“อืม ถ้าอย่างนั้นเราทั้งสี่คนแยกเป็นสองกลุ่มดีไหม เผื่อเอาไว้ ไปคนเดียวจะทำให้เราหวั่นไหวง่ายต่อการเจอกับดักอื่น การมีใครสักคนอยู่ข้างๆ เพื่อช่วยเตือนให้เราตื่นตัวอยู่ตลอดเวลาก็ไม่ใช่ความคิดที่แย่นัก” นักพรตฟางเจิ้งเสนอแนะ
ผู้ฝึกตนชายสองคนดูขัดแย้งแต่ไม่ได้พูดอะไร พวกเขาเพิ่งจะสู้กันมา จึงมีความเหินห่างเกิดขึ้นระหว่างพวกเขาอย่างเห็นได้ชัด แต่ถึงอย่างนั้น ในสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคยนี้ พวกเขาก็ยังเชื่อใจกันเองมากกว่าเชื่อใจคนอื่น
“เช่นนั้นทำตามวิธีนี้ก็ได้” โม่เทียนเกอพูด “สหายนักพรตลู่ สหายนักพรตหวัง เจ้าทั้งสองคนเป็นศิษย์ร่วมสำนักกัน เพราะฉะนั้นพวกเจ้าจะต้องอยู่ด้วยกันจึงจะเหมาะ สหายนักพรตฟางเจิ้งกับข้าจะแยกไปอีกกลุ่มหนึ่ง ตกลงไหม”
สองคนแซ่ลู่กับแซ่หวังจะไม่ตกลงด้วยได้อย่างไรกัน ทั้งสองคนพยักหน้า และด้วยเหตุนี้ทั้งสี่คนจึงแยกออกเป็นสองกลุ่ม
เพราะนางอยู่กับนักพรตฟางเจิ้ง โม่เทียนเกอรู้สึกว่าภาระของนางลดลงเล็กน้อย นักพรตฟางเจิ้งเป็นผู้ฝึกตนอายุมากที่ท่องโลกแห่งการฝึกตนมาเป็นเวลานานแล้ว เขาคงจะไม่พูดพล่ามไม่หยุดเหมือนกับเหยียนรั่วซูแน่และเขาก็มีประสบการณ์มากกว่านางในการรับมือสิ่งต่างๆ พวกเขาออกตามหาคนอื่นๆ อย่างรวดเร็ว
นักพรตฟางเจิ้งและผู้ฝึกตนชายสองคนแซ่ลู่และแซ่หวังสู้กันตรงแยกติงของหุบเขารูปอักษรติง เนื่องจากโม่เทียนเกอมาจากทางรูปปั้นหิน ทั้งสองกลุ่มจึงแยกกันเข้าไปในอีกสองทางของส่วนแนวนอนของหุบเขาอักษรติง
“สหายนักพรตเยี่ย” ในระหว่างการค้นหา จู่ๆ นักพรตฟางเจิ้งก็ตะโกนมาจากแท่นหินฝั่งตรงข้าม
โม่เทียนเกอหันไปและเห็นนักพรตฟางเจิ้งที่กำลังยืนอยู่บนแท่นแห่งธาตุทั้งห้าอีกอัน กำลังส่งสัญญาณให้นางแล้วจึงชี้ไปในทิศทางหนึ่ง
นางหลับตาและปล่อยจิตสัมผัสออกไป แน่นอนว่านางเจอเข้ากับการผันผวนของพลังงานทางจิตวิญญาณอ่อนๆ นางอดไม่ได้ที่จะชื่นชมจิตสัมผัสของนักพรตฟางเจิ้ง ก่อนพวกเขาจะเข้ามาถึงหุบเขา นางก็รู้แล้วว่าเขาต้องฝึกวิชาที่ทำให้จิตสัมผัสของเขากล้าแข็งแน่ แต่นางไม่เคยคาดคิดว่าจิตสัมผัสของเขาจะแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ เขาสามารถช่วยดูในสิ่งที่นางพลาดไปได้ ดูเหมือนว่าประโยค “ยิ่งแก่ยิ่งฉลาด” จะเป็นความจริง ถึงแม้ระดับการฝึกตนของเขาจะต่ำกว่านางเล็กน้อย แต่นักพรตฟางเจิ้งคนนี้ก็ไม่ใช่คนที่นางจะดูถูกได้เลย
ทั้งสองคนเหาะไปทางแหล่งที่มาของพลังงานทางจิตวิญญาณผันผวน ในไม่ช้าพวกเขาก็ได้ยินเสียงต่อสู้กัน พวกคนที่กำลังต่อสู้กันที่จริงแล้วคือศิษย์น้องทั้งสองคนของเหยียนรั่วซู!
โม่เทียนเกอค่อนข้างประหลาดใจ นางเข้าใจได้เมื่อผู้ฝึกตนแซ่ลู่และแซ่หวังสู้กัน สุดท้ายแล้วผู้ฝึกตนชายก็ใส่ใจกับทรัพย์สินทางโลกมากกว่าผู้ฝึกตนหญิงและมีนิสัยที่ก้าวร้าวกว่าโดยธรรมชาติ ดังนั้นเมื่อพวกเขาบังเอิญเจอเข้ากับทรัพย์สมบัติ มีโอกาสสูงที่พวกเขาจะสู้กันเองเพื่อแย่งมันแม้พวกเขาจะมาจากกลุ่มการฝึกตนเดียวกันก็ตาม แต่ผู้ฝึกตนหญิงสองคนนี้! ผู้ฝึกตนหญิงแทบจะไม่เคยลงไม้ลงมือกันเมื่อพวกนางเจอความขัดแย้ง อีกอย่างทั้งสองคนนี้ก็เป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องจากกลุ่มการฝึกตนเดียวกันด้วย!
นักพรตฟางเจิ้งเองก็ตกตะลึงเช่นกัน แต่ทั้งสองคนยังคงเหาะต่อไปทางพวกนาง เป็นไปตามที่พวกเขาคาด พวกเขาเห็นผู้ฝึกตนหญิงสองคนจากสภาปี้เซวียนต่างฝ่ายต่างกำลังทุบตีกัน ยิ่งไปกว่านั้น ดูจากสภาพการต่อสู้ของพวกนาง ดูเหมือนว่าพวกนางจะไม่ปรานีต่อกันเลยแม้แต่น้อย
“บัดซบนัก!” ผู้ฝึกตนหญิงชุดดำตะโกนระหว่างการต่อสู้ “เจ้ายังกล้าจะสู้กับข้าอีกรึ!”
ผู้หญิงอีกคนที่ใส่ชุดสีเหลืองและเป็นคนที่โม่เทียนเกอจำได้ว่าถูกผู้หญิงชุดดำเรียกว่าศิษย์น้องอวิ๋นถอนเครื่องมือเวทที่เป็นแหวนหยกของนางกลับคืนมาและส่งเสียง “ฮึ่ม” “ศิษย์พี่หลิ่ว ท่านเป็นคนที่โจมตีข้าก่อนนะ!”
“เจ้า–” ใบหน้าศิษย์พี่หลิ่วบิดเบี้ยว สีหน้าของนางเต็มไปด้วยความเกลียดชัง
“สหายนักพรตเยี่ย!” ก่อนที่พวกเขาจะเหาะเข้าไปใกล้ขึ้น จู่ๆ นักพรตฟางเจิ้งก็หยุดกะทันหันและพูดด้วยเสียงกระซิบ “ดูตรงนั้นสิ”
สายตาโม่เทียนเกอหันเปลี่ยนไปทางทิศที่เขาชี้ จากนั้นนางเห็นชายคนหนึ่งในชุดคลุมสีขาวอยู่ในจุดที่ไม่ไกลนักจากผู้ฝึกตนหญิงทั้งสอง เขาดูสง่างามและหล่อเหลาอย่างมาก
มีการผันผวนของพลังงานทางจิตวิญญาณอยู่บนร่างของชายชุดคลุมขาวคนนั้น จากการตรวจดูเขาอยู่ชั่วขณะ นางก็รู้ว่าระดับการฝึกตนของเขาอยู่ในขั้นต้นของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงาน นางพึมพำด้วยความสงสัย “นี่… ไม่ใช่คนจริงๆ ใช่หรือไม”
รอยย่นปรากฏขึ้นบนคิ้วนักพรตฟางเจิ้ง เขาส่ายหน้าพูดว่า “ข้าไม่คิดว่าใช่คนจริงๆ หรอก”
โม่เทียนเกอรู้อยู่แล้วว่าม่านพลังมายานี้สามารถปลอมแปลงเป็นสัตว์วิเศษระดับสองได้ คาดว่าการสร้างตัวผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังงานขั้นต้นก็คงไม่น่าเป็นปัญหาสำหรับมันใช่ไหม ในเมื่อชายคนนั้นอยู่ในที่ที่หญิงทั้งสองคนกำลังต่อสู้กันอยู่ เขาก็น่าจะเป็นต้นเหตุในการต่อสู้กันของพวกนาง
โอย ทะเลาะกันเรื่องความรู้สึกอีกแล้ว… แน่นอนว่าสำหรับผู้ฝึกตนหญิง ความรู้สึกยังสำคัญกว่าทรัพย์สมบัติเสียอีก
ขณะนั้นเอง คนที่ถูกเรียกว่าศิษย์น้องอวิ๋นโน้มตัวเข้าไปหาผู้ฝึกตนชายชุดคลุมขาว นางพูดอย่างออเซาะว่า “พี่ใหญ่ถัง ดูนี่สิ ศิษย์พี่หลิ่วนาง…”
ก่อนที่นางจะพูดจบ ศิษย์พี่หลิ่วก็ได้เหวี่ยงเครื่องมือเวทของนางซึ่งเป็นแส้ยาวและพูดอย่างเดือดดาลว่า “อวิ๋นหันเยียน! เจ้าไม่ควรรังแกคนอื่นให้มากนัก! นอกเหนือจากแกล้งทำเป็นอ่อนแอและน่าสงสาร เจ้าทำอะไรอย่างอื่นได้อีกบ้าง เจ้าว่าร้ายข้าหาว่าข้าตบตีเจ้าเมื่อมันเห็นได้ชัดอยู่แล้วว่าเจ้าไม่ไว้หน้าข้าก่อน ข้าเลย…”
ผู้หญิงที่ชื่ออวิ๋นหันเยียนเพียงแค่ชำเลืองมองนางและไม่นานนักก็มองผู้ฝึกตนชายคนนั้นอีกครั้ง นางพูดว่า “พี่ใหญ่ถัง พี่ก็รู้ว่าข้าไม่ใช่คนแบบนั้น ข้า…”
“อวิ๋นหันเยียน!” ศิษย์พี่หลิ่วอดไม่ได้ที่จะต้องตะโกนอย่างโกรธๆ เมื่อนางเห็นอวิ๋นหันเยียนเริ่มเช็ดน้ำตาและแสร้งทำเป็นอ่อนแอ โดยไม่รอช้า นางเหวี่ยงแส้ของนางอีกครั้ง
การวิวาทกันเกิดขึ้นอีกครั้งระหว่างทั้งสองคน
โม่เทียนเกอนวดหว่างคิ้วของนางอย่างช่วยไม่ได้ ทั้งสองคนนั้นไม่ได้สังเกตจริงๆ หรือว่า “พี่ใหญ่ถัง” มีอะไรแปลกๆ ไป ตลกดีที่พวกนางสู้กันเพื่อให้ได้รับความรักจากชายคนนี้เมื่อพวกนางยังดูไม่ออกเลยว่าเขาเป็นตัวจริงหรือไม่!
ถึงแม้สัตว์วิเศษและของอื่นๆ จะสามารถจำลองมาได้ แต่มนุษย์นั้นซับซ้อนเกินกว่าจะทำแบบจำลอง ต่อให้จำลองตัวพวกเขาออกมาได้สำเร็จก็จะมีความแตกต่างในรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ อยู่เสมอ ถ้าพวกนางชอบเขาจริง พวกนางก็น่าจะรู้ได้ว่านี่เป็นเพียงของเลียนแบบเท่านั้น
นักพรตฟางเจิ้งเหาะเข้าไปทางพวกนางและตะโกนอย่างดัง “สหายนักพรต!”
การเข้ามาของเขาทำให้การต่อสู้หยุดลงในที่สุด ถึงอย่างนั้นพวกนางก็ยังคงส่งสายตามุ่งร้ายให้กันและสนใจนักพรตฟางเจิ้งเพียงแค่นิดเดียวเท่านั้น
ท้ายที่สุดศิษย์พี่หลิ่วก็จำเขาได้ นางถามว่า “สหายนักพรต มีปัญหาอะไรหรือ”
นักพรตฟางเจิ้งรู้สึกหงุดหงิดที่ทั้งสองคนไม่สามารถแยกแยะได้ว่าอะไรสำคัญในช่วงเวลานี้ เขาจึงยกมือขึ้นโดยไม่ได้พูดอะไร ทำให้เครื่องมือเวทของเขาพุ่งเข้าหาผู้ฝึกตนชายในชุดคลุมสีขาว
หญิงทั้งสองคนตัวซีดขาวด้วยความหวาดกลัว คนสองคนที่เพิ่งสู้กันสุดแรงเมื่อครู่นี้รีบเข้าไปหานักพรตฟางเจิ้งด้วยกันเพื่อจู่โจมเขา
พอถึงตอนนั้นโม่เทียนเกอก็ตามพวกเขาทันแล้ว นางเขวี้ยงผ้าเช็ดหน้าไหมขาวไปข้างหน้า สกัดกั้นการโจมตีของเครื่องมือเวทพวกนางได้โดยสมบูรณ์ ส่งผลให้นักพรตฟางเจิ้งเล่นงานผู้ฝึกตนชายในชุดคลุมขาวได้อย่างไร้การขัดขวาง
เมื่อเผชิญกับการรุกของนักพรตฟางเจิ้ง ผู้ฝึกตนชุดคลุมขาวก็ล่าถอยไปทันที จากนั้นเขาเรียกกระบี่บินออกมาและโจมตีนักพรตฟางเจิ้ง
นักพรตฟางเจิ้งไม่เคยคาดคิดว่าหุ่นตัวปลอมจะสามารถถอยและตอบโต้กลับได้ เขายังคงอึ้งอยู่ชั่วขณะแต่มันก็ทำให้เขาตอบสนองช้าไปหนึ่งก้าว กระบี่บินบากเขาสำเร็จและตัดแขนเสื้อเขาออกครึ่งหนึ่ง
“เอ๋” นักพรตฟางเจิ้งจับแขนเสื้อที่ขาดครึ่งของเขา ตกใจกับสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นเป็นที่สุด
โม่เทียนเกอตะโกน “สหายนักพรตฟางเจิ้ง หุ่นตัวนั้นมีพละกำลังของคนจริงๆ! เจ้าต้องระวังตัวด้วย!”
นักพรตฟางเจิ้งดึงสติกลับคืนมาได้และรีบหลบไปทางด้านข้าง เขายกมือขึ้นอีกครั้ง ใช้เวทมนตร์เพื่อต่อสู้กับผู้ฝึกตนชายชุดคลุมขาว
ภายใต้สถานการณ์ปกติ ผู้ฝึกตนเดี่ยวไม่อาจเทียบได้กับผู้ฝึกตนจากลุ่มหรือตระกูลผู้ฝึกตน เพราะพวกเขาขาดแคลนทั้งเครื่องมือเวท เครื่องราง ศิลาวิญญาณ และของอื่นๆ และพวกเขาก็ไม่ได้มีวิชาการฝึกตนที่ดีติดตัวด้วย โดยปกติพวกเขาจึงอ่อนแอกว่าในการต่อสู้ด้วยพลังเวท อย่างไรก็ตาม ผู้ฝึกตนเดี่ยวบางคนที่โดดเด่นก็มีอยู่จริงและพวกเขาไม่ด้อยไปกว่าผู้ฝึกตนจากกลุ่มการฝึกตนเลยแม้แต่น้อย เพราะพวกเขาเคยพบเจอความยากลำบากมามากบนเส้นทางสู่ความเป็นเซียน ความเพียรและความอดทนของพวกเขาจึงเหนือกว่าผู้ฝึกตนธรรมดาทั่วไปและพวกเขาก็มีประสบการณ์มากกว่าด้วยเช่นกัน ผู้ฝึกตนเดี่ยวที่มีชีวิตอยู่มานานและยืนหยัดอยู่เหนือทุกคนล้วนมีสติปัญญายอดเยี่ยมและพลังเวทที่น่าเกรงกลัว
ถึงแม้นักพรตฟางเจิ้งไม่อาจถือได้ว่าเป็นคนที่มีสติปัญญายอดเยี่ยม แต่เขาก็ท่องไปทั่วโลกแห่งการฝึกตนมาหลายร้อยปีแล้ว ในเมื่อเขาสามารถกลมกลืนกับคนของโลกแห่งการฝึกตนได้จนตอนนี้เขาอยู่ในดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงานขั้นกลางแล้วและยังมีชีวิตอยู่รอดปลอดภัย นั่นก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเขาเก่งกว่าคนอื่นๆ มากในบางแง่มุม ตัดสินจากการที่เขายืนหยัดมาได้เป็นเวลานานเมื่อเขาสู้กับคนแซ่ลู่และแซ่หวัง โม่เทียนเกอก็พอจะเห็นพละกำลังของเขาได้บ้างแล้ว
ผู้ฝึกตนชายชุดคลุมขาวคนนี้อยู่แค่ในขั้นต้นของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงาน ดังนั้นระดับการฝึกตนของเขาจึงต่ำกว่านักพรตฟางเจิ้งเล็กน้อย และเขาก็เป็นแค่หุ่นลวงตา ถึงแม้ว่าม่านพลังมายานี้จะทำให้เขาเกือบเหมือนกับคนจริงๆ แต่เขาก็ยืดหยุ่นได้น้อยกว่าเมื่อเทียบกับคนจริงๆ ในการต่อสู้ด้วยพลังเวท ไม่นานนักก็ดูเหมือนว่าเขากำลังจะพ่ายแพ้ให้นักพรตฟางเจิ้ง
การมองดู “พี่ใหญ่ถัง” ของพวกนางตกอยู่ในอันตรายถึงชีวิตอย่างต่อเนื่องด้วยตาของพวกนางเองทำให้ทั้งอวิ๋นหันเยียนและศิษย์พี่หลิ่วกลัวจนหัวหด พวกนางโกรธเป็นฟืนเป็นไฟแต่ก็ไม่สามารถเข้าไปหาเขาได้เพราะโม่เทียนเกอขวางทางพวกนางอยู่ ทั้งสองคนเหลือบมองกันจากนั้นจึงพุ่งเข้าโจมตีโม่เทียนเกอพร้อมๆ กัน
เมื่อเห็นว่าพวกนางคนหนึ่งใช้เครื่องมือเวทหลายอย่างในคราวเดียวและอีกคนโยนเครื่องรางปึกหนาราวกับพวกนางสู้กันหวังเอาชีวิตนาง โม่เทียนเกอก็รู้สึกโกรธขึ้นมาเช่นกัน นางต้องการให้บทเรียนสั่งสอนพวกนั้น ดังนั้นนางจึงตัดสินใจว่าจะไม่ปรานีพวกนางอีก
ทั้งกระสวยอัปสราและผ้าเช็ดหน้าไหมขาวถูกนำมาใช้ สิ่งหนึ่งใช้โจมตีและอีกสิ่งใช้ป้องกันเพื่อแก้ปัญหาการถูกซุ่มโจมตีในครั้งนี้ จากนั้นนางใช้ศาสตร์หลอมจิตวิญญาณปล่อยแรงกดดันพลังงานทางจิตวิญญาณของนางออกมาทันทีและทำให้หญิงทั้งสองคนเคลื่อนไหวไม่ได้ โม่เทียนเกอไร้ความปรานี ลำแสงสีทองของกระสวยอัปสราแตกตัวออกจากหนึ่งเป็นสอง สองเป็นสี่ และจากนั้นแต่ละลำแสงได้พุ่งเข้าทิ่มแทงหญิงทั้งสองคนจากทุกทิศทาง
ลำแสงสีทองตกลงมาที่ตัวพวกนางอย่างโหดร้าย แรงเคลื่อนไหวของมันนั้นรุนแรง ยิ่งไปกว่านั้น เพราะโม่เทียนเกอใช้แรงกดดันพลังงานทางจิตวิญญาณจากศาสตร์หลอมจิตวิญญาณเพื่อสะกดพวกนางเอาไว้ หญิงทั้งสองคนจึงไร้เรี่ยวแรงที่จะสู้กลับ พวกนางทำได้เพียงแค่มองขณะที่ลำแสงเหล่านั้นแทงเข้าร่างของพวกนาง
“อ๊าก–” เสียงตะโกนสองเสียงดังขึ้นพร้อมๆ กัน
โม่เทียนเกอถอนอาวุธเวทและเครื่องมือเวทของนางกลับคืนจากนั้นร่อนลงพื้น จ้องมองอย่างเย็นชาไปที่หญิงทั้งสองคน
“เสียง “อ๊าก!” อีกเสียงดังมาจากอีกฝั่งขณะที่นักพรตฟางเจิ้งฆ่าหุ่นลวงตาในชุดคลุมขาว
หญิงทั้งสองคนหันไปอย่างพร้อมเพรียงกันครั้นได้ยินเสียงตะโกน ทั้งคู่แผดเสียงออกมาอย่างดัง “พี่ใหญ่ถัง” โดยไม่คำนึงถึงอาการบาดเจ็บของตัวเอง ทั้งคู่คลานขึ้นและรีบวิ่งอย่างโงนเงนไปทางผู้ฝึกตนชายชุดคลุมขาวพร้อมกับโผเข้าหาเขา พวกนางร้องไห้โฮออกมาทันทีเมื่อเห็นว่าเขาไม่หายใจอีกต่อไปแล้ว
โม่เทียนเกอและนักพรตฟางเจิ้งต่างเหลือบมองกัน ทั้งคู่หน้านิ่วคิ้วขมวด
นักพรตฟางเจิ้งชินกับการเห็นเรื่องทางโลกเช่นนี้ ดังนั้นเขาจึงไม่ชอบความไร้สำนึกแบบนี้ของศิษย์จากกลุ่มการฝึกตน สำหรับโม่เทียนเกอ นางไม่พอใจที่หญิงทั้งสองคนนั้นยังไม่รู้ตัวเลยว่ามีอะไรผิดปกติจนถึงตอนนี้
“เจ้าทั้งสอง…” หลังจากร้องไห้มาสักพัก ศิษย์พี่หลิ่วคลานขึ้นมาด้วยน้ำตานองหน้า สีหน้าดุดันปรากฏขึ้นบนใบหน้านาง “ข้าจะฆ่าเจ้า!”
โม่เทียนเกอโมโห นางส่งเสียง “ฮึ่ม” พลางยกมือข้างหนึ่งขึ้นแต่ก็ดันมือลงทันที ลำแสงสีทองซึ่งนางแทงพวกนางอย่างไม่ปรานีเมื่อสักครู่นี้จู่ๆ ก็แตกสลายออกจากร่างพวกนาง หญิงทั้งสองคนร้อง “อ๊าก!” ขึ้นมาอีกครั้งและร่วงลงพื้น ไหล่ของพวกนางเป็นแผลบาดเจ็บ
“คิดถึงความเป็นไปได้ที่พี่ใหญ่ถังของเจ้าจะมาอยู่ที่นี่หน่อย!” โม่เทียนเกอตะโกน “เจ้าไม่สามารถแยกแยะหุ่นลวงตาออกจากของจริงได้ด้วยซ้ำ! หากข้ารู้เร็วกว่านี้ ข้าคงปล่อยให้พวกเจ้าทั้งสองคนฆ่ากันเองไปแล้ว!”
หญิงทั้งสองคนตกตะลึงเมื่อได้ยินสิ่งที่นางพูด ด้วยใบหน้าเปื้อนน้ำตา พวกนางจ้องอย่างเหม่อลอยมาที่นาง
“หุ่นลวงตา” ศิษย์พี่หลิ่วถามด้วยเสียงแหบแห้ง
โม่เทียนเกอเบือนหน้าหนี รำคาญเกินกว่าจะคุยกับพวกนาง โดยไม่มีทางเลือกอื่น นักพรตฟางเจิ้งจึงก้าวขึ้นมาเป็นคนอธิบาย “สหายนักพรต ลองคิดดูให้ดี ศิษย์พี่ของเจ้าจะมาที่นี่ได้อย่างไร”
ชั่วขณะหนึ่ง หญิงทั้งสองคนพูดไม่ออก พวกนางเหลือบมองกันไปมาและไม่นานนักอวิ๋นหันเยียนก็พูดขึ้นมาอย่างลังเลว่า “ข้าและ… ศิษย์พี่หลิ่วเดินมาจนกระทั่งถึงที่นี่ ขณะที่เรากำลังคุยกัน จู่ๆ เราก็เห็นพี่ใหญ่ถังเดินเข้ามาหาเราจากตรงโน้น”
“แล้วพวกเจ้าทั้งสองพูดอะไรกับพี่ใหญ่ถังของเจ้า”
“…” หญิงทั้งสองคนนิ่งเงียบ หลังจากผ่านไปสักพัก ในที่สุดศิษย์พี่หลิ่วก็พูดขึ้นมา “เราสู้กันทันทีหลังจากที่เราเห็นพี่ใหญ่ถัง…”
เช่นนั้นนั่นก็คือสิ่งที่เกิดขึ้น หญิงสองคนนี้นี่…
นักพรตฟางเจิ้งไม่สามารถทนได้อีกต่อไปเช่นกัน เขาขมวดคิ้วแน่นและถามว่า “สงบสติอารมณ์เสียแล้วคิดดู ถ้าเจ้าทั้งสองคนสู้กันเช่นนี้ พี่ใหญ่ถังของเจ้าจะไม่พูดอะไรเลยจริงๆ งั้นหรือ”
หญิงทั้งสองคนเงียบอีกครั้ง สีหน้าเศร้าสร้อยบนใบหน้าของพวกนางในที่สุดก็หายไป
เพราะพวกนางเริ่มสู้กันทันทีหลังจากเห็น “พี่ใหญ่ถัง” พวกนางจึงไม่มีเวลาคิดถึงปฏิกิริยาที่เขาควรมี นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมหุ่นตัวนั้นจึงไม่พูดอะไรและแค่มองอย่างงุนงง แต่สิ่งที่น่าหงุดหงิดก็คือทั้งที่หุ่นตัวนั้นไม่มีปฏิกิริยาอะไรเลยแม้แต่น้อย แต่หญิงสองคนนี้ก็ยังไม่รู้ว่านั่นคือตัวปลอม!
“เอาเถอะ!” โม่เทียนเกอพูดอย่างเย็นชา “เช็ดน้ำตาเสีย รักษาแผลแล้วก็ตามพวกเรามา!”