ลำนำสตรียอดเซียน - ตอนที่ 161-2 หนึ่งวัน สามปี
“สหายนักพรตเยี่ย เกิดอะไรขึ้นกันแน่” นักพรตฟางเจิ้งถามด้วยความกังวล
โม่เทียนเกอถอนใจ “เลือดในร่างนางทั้งร่างเหือดแห้งไปจนหมด บางทีนางอาจจะหน้ามืดตามัวเพราะภาพลวงตาและไม่สามารถดึงตัวเองให้หลุดพ้นได้ในท้ายที่สุด” ท่าทางของเหยียนรั่วซูแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่านางต้องการจะคว้าบางสิ่งแต่ไม่มีอะไรอยู่เบื้องหน้านางเลยในตอนนี้ ของสิ่งนั้นคงจะเป็นส่วนหนึ่งของภาพลวงตาของนาง ดังนั้นเมื่อนางตายมันจึงหายไปด้วย
“…” อีกสามคนที่เหลือเงียบเสียงลงอีกครั้ง
ลู่เซี่ยงซินและหวังเซี่ยงจื้อต่างเหลือบมองกัน ทั้งคู่เห็นความตกใจในสายตาของอีกฝ่าย เมื่อพวกเขาพูดถึงเรื่องเลือดมีแนวโน้มว่าจะถูกดูดกลืนเหือดแห้งจนหมด พวกเขาแค่ต้องการทำให้สองคนนี้กลัว พวกเขาไม่เคยคาดคิดว่าเรื่องแบบนั้นจะเกิดขึ้นจริงๆ เพราะฉะนั้นตอนนี้พวกเขาจะไม่ตื่นตระหนกได้อย่างไร
โม่เทียนเกอพึมพำกับตัวเองอยู่พักหนึ่งแล้วจึงพูดว่า “สหายนักพรต ดูเหมือนว่าเหยียนรั่วซูจะตายเมื่อคืน อย่างไรก็ตาม เราไม่รู้สึกถึงอะไรเลย…”
นักพรตฟางเจิ้งตกตะลึง เขาพูดว่า “สหายนักพรต เจ้ากำลังบอกว่าชีวิตของเราจะไม่ได้รับผลกระทบจากคนอื่นงั้นหรือ”
“ไม่ถูกซะทีเดียว” โม่เทียนเกอเอากระเป๋าเอกภพเปล่าออกมา ด้วยการโบกมือหนึ่งที นางเก็บศพเหยียนรั่วซูไว้ข้างใน “ท้ายที่สุดแล้วทั้งสามคนนั้นก็ยืนอยู่บนแท่นหินอันเดียวกัน บางทีแค่มีคนหนึ่งที่ยังมีชีวิตอยู่ก็อาจจะเพียงพอแล้ว”
ครั้นเห็นโม่เทียนเกอเก็บศพของเหยียนรั่วซูไป อีกสามคนที่เหลือก็รู้สึกอิจฉาตาร้อน แน่นอนว่าไม่ใช่เพราะพวกเขามีความคลั่งไคล้ประหลาดหรืออะไร แต่พวกเขาแค่ต้องการข้าวของที่เหยียนรั่วซูมีอยู่ในครอบครอง ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ไม่กล้าขัดโม่เทียนเกอในเรื่องนี้เช่นกัน อย่างไรเสียนางก็ไม่ได้เก็บกระเป๋าเอกภพของเหยียนรั่วซูไปโดยตรง นางแค่เก็บศพไว้เท่านั้น นางอาจจะมอบให้กับผู้ฝึกตนหญิงอีกสองคน ดังนั้นพวกเขาจึงไม่เก็บเรื่องนี้มาใส่ใจ
“แต่นี่ก็พิสูจน์แล้วว่าถ้าเราหน้ามืดตามัวไปกับภาพลวงตา เราอาจจะสูญเสียเลือดของเราไปจนหมดและก็ตาย…”
อีกสามคนจมลงสู่ความเงียบอีกครั้ง
“เอาละ เราไม่ควรเสียเวลาของเราที่นี่ ออกตามหาต่อเถอะ”
นักพรตฟางเจิ้งพยักหน้า “เรา… ควรจะระวังตัวให้มากขึ้น ตามหาเป็นคู่จะดีกว่า”
ถึงแม้พวกเขาจะไม่ได้กระจายกลุ่ม แต่พวกเขาก็แยกกันออกตามหา ครั้งนี้พวกเขาไม่กล้าจะเดินคนเดียวอีกแล้ว ด้วยอารมณ์ที่หดหู่ พวกเขาออกไปเป็นคู่และค้นหาตามทางอย่างช้าๆ
ไม่แน่ชัดว่าพวกเขาโชคดีหรือโชคร้ายกันแน่ แต่ทันทีหลังจากที่พวกเขาเริ่มค้นหาตรงสี่แยกของหุบเขา จู่ๆ พวกเขาก็ได้ยินเสียงร้องอย่างดังทันที
ทั้งสี่คนต่างมองกัน หลังจากพวกเขายืนยันแล้วว่าไม่ได้เห็นภาพหลอน ในที่สุดพวกเขาจึงเหาะไปหาแหล่งต้นตอของเสียงร้องนั้น
พวกเขาไม่ได้เหาะไปไกลนักก่อนที่โม่เทียนเกอผู้มีสายตาแหลมคมจะเห็นเงาของซางหรูหว่านอยู่บนแท่นแห่งธาตุทั้งห้า
นางรู้สึกดีใจแต่ความรู้สึกนั้นก็เปลี่ยนเป็นหวาดกลัวทันที
นั่นคือซางหรูหว่านจริงแต่ไม่ไกลจากนางคือคนอีกคนหนึ่ง!
“อ้า!” หวังเซี่ยงจื้อร้องออกมาด้วยความแปลกใจแล้วจึงพูดอย่างประหลาดใจว่า “นั่น… นั่นมันสหายนักพรตเหยา แต่ทำไม… ทำไมเขาถึง…”
คิ้วโม่เทียนเกอขมวดมุ่น ดูจากเงานั้นคือเหยาจื่อซิวจริงๆ ทว่าเขามีอะไรบางอย่างแปลกๆ ระดับการฝึกตนของเขาอยู่ในดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลังอย่างไม่น่าเชื่อ! จะเป็นไปได้อย่างไรกัน!
โม่เทียนเกอไม่ตัดความเป็นไปได้ที่อาจมีชะตาลิขิตบางอย่างอยู่ในม่านพลังมายานี้ออก อย่างไรก็ตาม ชะตาลิขิตพวกนั้นไม่น่าจะทำให้ผู้ฝึกตนกระโดดข้ามจากขั้นต้นของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงานไปถึงดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลังในชั่วพริบตาได้แน่! ตานเถียนและเส้นลมปราณของผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังงานขั้นต้นสามารถกักเก็บปริมาณพลังงานทางจิตวิญญาณได้จำกัด แต่พลังงานทางจิตวิญญาณที่จำเป็นต้องใช้ในดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลังนั้นมากกว่าปริมาณนั้นถึงหนึ่งแสนเท่า ดังนั้นทั้งตานเถียนและเส้นลมปราณจึงต้องถูกสร้างขึ้นมาใหม่ ต่อให้มีพลังงานทางจิตวิญญาณมากพอที่จะทำให้ผู้ฝึกตนกระโดดจากขั้นต้นของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงานไปสู่ดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลังได้โดยทันที พวกเขาก็ยังต้องการเวลาหนึ่งถึงสามปีเพื่อหล่อหลอมร่างกายใหม่เสียก่อน!
หรือนั่นคือภาพลวงตา แต่ดูจากสีหน้าของซางหรูหว่าน ก็ไม่น่าเป็นไปได้…
อีกสามคนเต็มไปด้วยความลังเลว่าพวกเขาอยากจะมุ่งหน้าไปตรงนั้นหรือไม่ อย่างไรเสีย แรงกดดันพลังงานทางจิตวิญญาณของผู้ฝึกตนการก่อเกิดแก่นขุมพลังก็มีอยู่ พวกเขาไม่กล้าจะขัดแย้งกับผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลัง อย่างไรก็ตาม ณ ขณะนั้น โม่เทียนเกอได้เหาะไปทางซางหรูหว่านเรียบร้อยแล้ว
“สหายนักพรตเยี่ย!” นักพรตฟางเจิ้งตะโกนเรียกแต่เขาไม่สามารถหยุดนางได้ เขาจึงอยู่นิ่งๆ อย่างช่วยไม่ได้และยังคงลังเลอยู่ ทว่าเมื่อเขาหันกลับมาเพื่อมองอีกสองคนที่เหลือ ก็เห็นว่าทั้งลู่เซี่ยงซินและหวังเซี่ยงจื้อดูร้อนใจเหมือนกับพวกเขาอยากจะทำอะไรบางอย่าง
นักพรตฟางเจิ้งรู้อยู่แก่ใจว่าสถานการณ์เริ่มไม่ดีแล้ว ดังนั้นเขาจึงพูดทันที “สหายนักพรต เจ้าเชื่อจริงๆ หรือว่ามีวิธีให้คนเรากระโดดข้ามจากขั้นต้นของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงานไปถึงดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลังได้โดยตรง”
ลู่เซี่ยงซินและหวังเซี่ยงจื้อมองหน้ากันแล้วจึงเผยรอยยิ้มแบบขอไปที “เราจะเชื่อได้อย่างไร เราแค่… สงสัยเองหรอกน่า! ท่านไม่สงสัยหรือไรกัน”
“นี่…” มีความไม่มั่นใจในดวงตาของนักพรตฟางเจิ้ง เขาจะไม่สงสัยได้อย่างไร ในฐานะผู้ฝึกตนเดี่ยว เขาต้องใช้ความพยายามขนาดไหนแค่เพื่อให้ฝึกตนได้จนเข้าถึงขั้นกลางของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงาน ตอนนี้ไม่มีเวลาเหลืออยู่ในอายุขัยของเขามากนัก ดังนั้นเขาจึงตามหาชะตาลิขิตอย่างร้อนรนเพื่อให้ได้ก้าวสู่ขั้นสุดท้ายและไปต่อยังดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลัง แต่…
“จะดีที่สุดหากสหายนักพรตจะสงบสติอารมณ์ลงสักหน่อย! ข้าก็สงสัย แต่ในโลกนี้มันมีทางลัดเช่นนี้อยู่จริงๆ หรือ เมื่อวานเราเกือบถูกหลอกโดยดอกบัวหิมะหยกขาวนั่น สหายนักพรตยังจำได้หรือไม่”
หลังจากเขาพูดเช่นนั้น คนทั้งสองดูประหลาดใจแต่พวกเขาก็สงบลง
นักพรตฟางเจิ้งพูดต่อ “เราน่าจะดูว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น ไม่สายเกินไปที่เราจะหนีไปหากมีอะไรไม่ชอบมาพากล”
ในทางกลับกัน โม่เทียนเกอได้เหาะไปถึงข้างกายของซางหรูหว่านแล้ว นางเรียกอย่างแผ่วเบา “พี่ซางเป็นอะไรหรือไม่”
ซางหรูหว่านรู้สึกว้าวุ่นเสียจนนางไม่ได้สังเกตว่ามีใครบางคนกำลังเข้ามาหานาง ตอนนี้เมื่อนางเห็นโม่เทียนเกอในที่สุด นางก็คว้ามือของโม่เทียนเกอทันที ดูเหมือนนางกำลังตื่นตระหนกอย่างรุนแรง “น้องเยี่ย ข้า…”
“พี่ใหญ่ ใจเย็นก่อน” พอเห็นว่าซางหรูหว่านไม่สามารถแม้แต่จะพูดได้ตามปกติ โม่เทียนเกอจึงปลอบนางให้สงบลงทันที “เจ้าควรบอกข้ามาก่อนว่าเกิดอะไรขึ้น นั่น… นั่นใช่สามีเจ้าหรือเปล่า”
ซางหรูหว่านพยักหน้าด้วยความสับสน หลังจากนางหายใจเข้าลึกๆ สุดท้ายนางก็สามารถพูดออกมาได้บางคำ “ใช่ นั่นคือพี่ซิว”
“เกิดอะไรขึ้นกับพวกเจ้า เราใช้เวลาทั้งวันออกตามหาเจ้าทั้งคู่เมื่อวานแต่ก็หาไม่พบ จู่ๆ สหายนักพรตเหยาก้าวเข้าสู่ดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงานได้อย่างไร”
เมื่อซางหรูหว่านที่กำลังนั่งอยู่บนแท่นหินพร้อมใบหน้าที่เต็มไปด้วยเหงื่อได้ยินสิ่งที่โม่เทียนเกอพูด นางก็ตกใจสุดขีด “น้องเยี่ย เรามาถึงที่นี่เมื่อไหร่”
รอยย่นเล็กน้อยปรากฏขึ้นที่คิ้วของโม่เทียนเกอ “เมื่อวานนี้”
“เมื่อวานนี้…” ซางหรูหว่านพึมพำ ความสยองค่อยๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้านางช้าๆ “ไม่จริง พี่ซิวกับข้า… เราอยู่ที่นี่มาสามปีแล้ว!”
พอได้ยินคำพูดของนาง โม่เทียนเกอก็ตกใจมาก สามปี! พวกเขาทั้งหกคนแค่ใช้เวลาอยู่ด้วยกันหนึ่งคืน แล้วเหตุใดซางหรูหว่านถึงคิดว่ามันคือสามปีไปได้
“พี่ซาง ใจเย็นก่อน บอกข้ามาช้าๆ เกิดอะไรขึ้นกับเจ้าทั้งสอง”
เมื่อมีโม่เทียนเกอคอยปลอบนาง ในที่สุดซางหรูหว่านจึงสงบลงได้บ้างและเริ่มพูดช้าๆ “หลังจากแท่นแห่งธาตุทั้งห้าเริ่มทำงาน พี่ซิวกับข้าก็มาถึงที่นี่ เรารู้ว่าที่นี่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังงานทางจิตวิญญาณและเป็นบริเวณที่เหมาะมากสำหรับการฝึกตน นอกจากนั้นสถานที่นี้ยังสวยราวกับแดนสวรรค์และก็ไม่มีใครมารบกวนเราที่นี่ ถึงแม้ว่าเราจะออกไปไม่ได้ แต่สถานที่แห่งนี้ก็เทียบได้กับสวรรค์ ดังนั้นข้าเลยเสนอว่าเราน่าจะอาศัยอยู่ที่นี่…”
“ตอนแรกข้ารู้สึกมีความสุขมาก ไมมีใครมากวนใจเราที่นี่และเราก็ไม่จำเป็นต้องออกไปเร่ร่อนหรือซ่อนตัวจากคนอื่น… แต่พี่ซิวเขาอารมณ์เสียมากขึ้นเรื่อยๆ เขาบอกว่าการฝึกตนของเขามาถึงจุดตีบตัน ถึงแม้ว่าสถานที่นี้จะเต็มไปด้วยพลังงานทางจิตวิญญาณ แต่ก็ไม่ได้ช่วยอะไรการฝึกตนของเขาเลยแม้แต่นิดเดียว เขาบอกว่าเขาต้องการเข้าสู่การปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิ เขาอยากจะแข็งแกร่งขึ้น… เราทะเลาะกัน ด้วยความโกรธข้าก็เลยวิ่งหนีออกมา แต่ผลก็คือเมื่อข้ากลับมา ข้าก็เห็น…” ถึงตอนนั้นซางหรูหว่านคว้าแขนเสื้อโม่เทียนเกอ น้ำตาไหลหลั่งในที่สุด “น้องเยี่ย พี่ซิวต้องกำลังเจอกับการเบี่ยงเบนของพลังงานทางจิตวิญญาณแน่นอน! ผิด นี่มันผิดไปหมด… ดูเขาสิ…”
โม่เทียนเกอหันเหสายตาไปมองเหยาจื่อซิวที่อยู่ตรงจุดไม่ไกลจากพวกเขา เหยาจื่อซิวดูเหมือนจะฝึกวิชาลับบางอย่าง เขาลอยอยู่กลางอากาศ ทั้งร่างถูกปกคลุมไปด้วยวัตถุสีดำ เสียงเบาๆ ของพายุโหมได้ยินมาจากภายในสิ่งนั้น…
หนึ่งวัน สามปี โม่เทียนเกอพอจะเดาได้คร่าวๆ ว่าเกิดอะไรขึ้น “วันนี้ชีวิตนิรันดร์” ในที่สุดนางก็เดาความหมายของสี่คำนี้ได้ ชีวิตนี้คือชั่วนิรันดร์และนิรันดรก็เป็นเพียงแค่หนึ่งวัน นี่เป็นแง่มุมที่น่ากลัวที่สุดของม่านพลังมายานี้!
ซางหรูหว่านมักจะวาดฝันถึงการมีชีวิตที่สงบสุข สถานที่นี้เป็นเหมือนดั่งสวรรค์ซึ่งไปกระตุ้นความคิดนั้นให้เกิดขึ้นในจิตใจของนางอีกครั้ง เพราะฉะนั้นในช่วงแรกพวกเขาจึงเผชิญกับภาพลวงตาของซางหรูหว่าน โลกที่มีเพียงแค่พวกเขาสองคนโดยไม่มีใครมารบกวน เพราะเหตุนั้นคนอื่นๆ จึงไม่สามารถหาพวกเขาพบ แต่ทว่า ถึงแม้พวกเขาจะรู้สึกว่าเวลาสามปีได้ผ่านไป แต่ก็ไม่ใช่ความจริง นั่นคือเหตุผลว่าทำไมการฝึกตนของเหยาจื่อซิวจึงไม่ก้าวหน้าขึ้นเลย ซางหรูหว่านไม่กังวลกับเรื่องนี้แต่เหยาจื่อซิวรู้สึกไม่พอใจ ดังนั้นมันจึงไปกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงนี้ขึ้น
แต่เกิดอะไรขึ้นกับเหยาจื่อซิว โม่เทียนเกอไม่อาจเข้าใจได้จริงๆ ตัวนางเองก็ได้รับชะตาลิขิตที่ยิ่งใหญ่มา ไม่ว่าจะเป็นเทพบรรพบุรุษของนางหรือโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน อย่างไรก็ตาม นางไม่เชื่อว่าในโลกนี้ชะตาลิขิตจะยอมให้คนเราข้ามจากขั้นต้นของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงานไปถึงดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลังได้แค่ในคืนเดียว!
“พี่ซาง” หลังจากผ่านไปนาน โม่เทียนเกอก็พูดขึ้นช้าๆ “ข้าคิดว่า… สามีของเจ้าไม่ได้กำลังประสบกับการเบี่ยงเบนของพลังงานทางจิตวิญญาณหรอก”