ลำนำสตรียอดเซียน - ตอนที่ 162-2 อยู่ด้วยกันในความเป็นและความตาย
“พี่ซาง!” โม่เทียนเกออดไม่ได้ที่จะต้องร้องเรียกนาง นางเห็นได้ว่าถึงแม้เหยาจื่อซิวจะไม่ได้ถูกมารเข้าสิงในระหว่างการฝึกตน ทว่าสภาวะจิตของเขาตอนนี้ก็ถูกมารเข้าครอบงำอยู่ เขายังสามารถจำซางหรูหว่านได้ในตอนนี้ แต่ใครจะไปรู้ว่าเขาจะยังครองสติอยู่ได้ในวินาทีต่อไปหรือไม่
ซางหรูหว่านหยุดครู่หนึ่งจากนั้นจึงหันมายิ้มให้นาง โม่เทียนเกอไม่รู้ว่าทำไมแต่นางรู้สึกว่าซางหรูหว่านยิ่งดูสิ้นหวังตอนนางยิ้มมากว่าตอนนางร้องไห้เสียอีก ซางหรูหว่านพูดแผ่วเบา “น้องเยี่ย เจ้าใจดีมาก ขอบคุณนะ เรื่องนี้ไม่มีอะไรเกี่ยวกับเจ้า รอสักครู่… แล้วเจ้าค่อยไป”
โม่เทียนเกอตะลึง คำพูดของซางหรูหว่านหมายความว่า…
แต่ซางหรูหว่านหันกลับไปแล้วและเหาะไปหาเหยาจื่อซิว
เหยาจื่อซิวเอื้อมมือออกมา รับนางเข้าสู่อ้อมแขนอย่างพอใจ “น้องหว่าน เจ้ามีความสุขไหม”
ซางหรูหว่านส่ายหน้า “ข้าไม่มีความสุข” นางพูดทื่อๆ
รอยย่นน้อยๆ ปรากฏขึ้นที่คิ้วของเหยาจื่อซิว เขาถามอย่างสงสัย “ทำไมล่ะ ตลอดหลายปีมานี้มันเป็นความหวังของเจ้ามาตลอดไม่ใช่หรือที่จะกลับบ้าน ตอนนี้เราสามารถกลับไปได้แบบเหมาะสมและเปิดเผย พ่อของเจ้าจะไม่สามารถพูดว่าอะไรเราได้อีก!”
“จริงหรือ” มีความเย็นชาที่น่าขนลุกในสายตาของซางหรูหว่าน “พี่ซิว ระดับการฝึกตนของเจ้าตอนนี้เป็นของจริงหรือ”
เหยาจื่อซิวตกใจแต่ไม่นานนักเขาก็พูดด้วยความขุ่นเคือง “น้องหว่าน! เจ้าหมายความว่าอย่างไร ระดับการฝึกตนของข้าเป็นของจริงแท้แน่นอน! มาดูสิ” เขาดึงมือซางหรูหว่านไปราวกับเขาร้อนรนที่จะพิสูจน์ตัวเอง “นี่คือวิชาการฝึกตนที่ข้าเพิ่งได้มา กลายเป็นว่าที่นี่มีชะตาลิขิตจริงๆ เจ้าของสถานที่แห่งนี้เป็นผู้ฝึกตนที่มีพลังศักดิ์สิทธิ์ที่ยิ่งใหญ่ หลังจากเขาตายจากไป วิชาการฝึกตนของเขาก็ถูกปิดผนึกไว้ในนี้และข้าบังเอิญได้รับมันมา…”
ซางหรูหว่านมองใบหน้าภูมิใจของเขาอย่างเฉยเมย มีแค่ความเศร้าโศกหยั่งลึกในจิตใจของนางเท่านั้น ในที่สุดนางก็ได้เห็นธาตุแท้คนผู้นี้อย่างชัดเจน คนที่นางรักที่สุด ที่แท้การฝึกตนเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในใจของเขามาโดยตลอด ปรากฏว่านี่คือผลลัพธ์ที่เขาปรารถนามาโดยตลอด
ซางหรูหว่านรับหยกบันทึกในมือของเหยาจื่อซิวมาแล้วจึงใส่จิตสัมผัสของนางเข้าไป ไม่นานหลังจากนั้นนางก็หัวเราะเยาะขณะที่นางโยนมันกลับไปให้เขา “พี่ซิว ดูตัวเองเถอะ นี่มันของอะไรกัน”
เหยาจื่อซิวรับหยกบันทึกกลับมาด้วยความสงสัย ทันทีหลังจากนั้นสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป
โม่เทียนเกอไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่นางพอจะเข้าใจได้คร่าวๆ ชะตาลิขิตที่ว่านั้นเป็นแค่ส่วนหนึ่งของจินตนาการเพ้อฝันของเหยาจื่อซิว ดังนั้นจึงไม่มีวิชาการฝึกตนเช่นนั้นอยู่ในหยกบันทึก มันน่าจะว่างเปล่าหรือไม่ก็เต็มไปด้วยเรื่องไร้สาระ เมื่อเหยาจื่อซิวเห็น เขาก็รู้ตัวว่ามีอะไรผิดปกติ
“เป็นไปไม่ได้! มันคือของจริง! มันคือของจริง!” ตอนแรกเหยาจื่อซิวแค่พึมพำกับตัวเอง แต่สุดท้ายสีหน้าโหดเ**้ยมก็ปรากฏขึ้นบนหน้าเขา เขาหันกลับมาและจ้องถมึงทึงใส่โม่เทียนเกอและนักพรตฟางเจิ้งอย่างโกรธๆ “เจ้าสองคนขโมยมันไปใช่ไหม!”
“พี่ซิว!” ซางหรูหว่านตะโกนขณะที่นางคว้าแขนเสื้อเขา “คนอื่นๆ ไม่เกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้ นี่คือม่านพลังมายา มันเลยทำให้เจ้าเห็นภาพลวงตา!”
“ม่านพลังมายา ภาพลวงตา ไม่ เจ้าโกหกข้า เจ้ากำลังโกหกข้า!” แรงเคลื่อนไหวของเหยาจื่อซิวกระเพื่อมขึ้นลง เขาสะบัดซางหรูหว่านออกจากแขน ทำให้นางร้องออกมาด้วยความกลัวขณะที่นางตกลงจากกลางอากาศ
ภายใต้การจ้องมองของเหยาจื่อซิว โม่เทียนเกอไม่กล้าขยับเขยื้อน นางทำได้เพียงมองอย่างอับจนหนทางขณะที่ซางหรูหว่านถูกเหวี่ยงออกไป
ไม่ว่าก่อนหน้านี้เหยาจื่อซิวจะอ่อนแอสักเพียงไร เขาก็เป็นผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังอย่างแท้จริงภายในม่านพลังมายานี้ ต่อให้โม่เทียนเกอจะทะนงตน แต่นางก็ไม่เคยคิดว่านางจะสามารถเอาชนะผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังได้ หากนางสู้กับเขา นางคงไม่สามารถเอาชนะเขาได้ หากนางหนี หุบเขานี้ก็มีขนาดจำกัด นางคงไม่สามารถหนีจากเขาได้แน่ เช่นนั้นนางควรเข้าไปในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนดีหรือไม่ แต่เพื่อจะเข้าสู่โลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน นางต้องร่ายคาถาซึ่งนางต้องการเวลาอย่างน้อยประมาณสามวินาที ถึงอย่างนั้นเหยาจื่อซิวก็กำลังมองพวกเขาอยู่ตอนนี้ ถ้าเขาเห็นพวกเขาเคลื่อนไหว เขาอาจจู่โจมและฆ่าพวกเขาทันที นางไม่มีเวลาแม้แต่วินาทีเดียวด้วยซ้ำ
“พี่ซิว!” ซางหรูหว่านบาดเจ็บอย่างเห็นได้ชัดแต่นางก็ยังพยายามอย่างหนักที่จะคลานขึ้น “พี่ซิว อย่า! อย่านะ! เจ้าจะถูกมารเข้าครอบงำ!”
“น้องหว่าน เจ้าไม่จำเป็นต้องพูดอะไรอีกแล้ว! เจ้าคิดว่าข้าไม่รู้เช่นนั้นหรือ” ดวงตาของเหยาจื่อซิวแดงก่ำทำให้เขายิ่งดูเหมือนปีศาจมากขึ้น “ปีนั้น พ่อเจ้ารับข้าเข้ามาเป็นศิษย์ของเขาก็แค่เพราะเขาหลงใหลในความร่ำรวยที่สั่งสมมาของตระกูลเหยาของข้า! เพื่อที่จะโน้มน้าวใจให้เขายอมให้เจ้าแต่งงานกับข้า ข้าให้วิชาลับของบรรพบุรุษตระกูลเหยาไปเป็นของขวัญ แต่พ่อเจ้าทำอะไรน่ะรึ เขายังต้องการให้เจ้าไปแต่งงานกับคนอื่น! ยิ่งไปกว่านั้น พอข้าไร้ประโยชน์ต่อเขา เขาถึงขนาดตั้งใจจะฆ่าข้าด้วย!”
“อะไรนะ” ซางหรูหว่านตะลึง “ท่านพ่อข้า เขา…”
“เจ้าคงไม่รู้ละสิ ใช่ไหม” เหยาจื่อซิวแสยะยิ้ม ท่าทางสงบนิ่งและอ่อนโยนของเขาหายไปจนสิ้น ใบหน้าชั่วร้ายของเขาดูยิ่งน่ากลัวยิ่งขึ้น “ปีนั้น… ปีนั้น ไม่ใช่เพราะเขารักเจ้า ลูกสาวของเขาหรอก แต่เป็นเพราะข้าเสนอทรัพย์สินที่สั่งสมมาจนร่ำรวยของตระกูลเหยาให้กับเขา! แต่ขนาดหลังจากข้าเสนอมันให้กับเขา เขาก็ปล่อยเราไปแค่สิบปีเท่านั้น! วันที่เจ้าออกมาตามหาข้า ข้าก็ได้ข่าวมาแล้วว่าเขาต้องการฆ่าข้า! เดิมทีข้าอยากจะหนีไปด้วยตัวเองแต่เจ้าออกมาตามหาข้า… ขะ ข้าตัดใจจากเจ้าไม่ได้…”
“…” ซางหรูหว่านพูดไม่ออก ริมฝีปากของนางสั่น เช่นนั้นนั่นก็คือสิ่งที่เกิดขึ้น… นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้น! ไม่น่าแปลกใจว่าทำไมเขาถึงกระตือรือร้นที่จะฝึกตนนัก ไม่น่าแปลกใจที่เขา… เขาคงอยากจะแก้แค้นหลังจากเขาก้าวเข้าสู่ดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลัง ใช่ไหม
จู่ๆ นางก็ร้องไห้ออกมาทันที กลายเป็นว่าไม่มีทางแก้ปัญหาทั้งหมดนี้… ไม่มีทางแก้เลย! นางคิดว่ามันคงจะเพียงพอแล้วถ้านางโน้มน้าวใจเขาได้ แต่โดยไม่คาดคิด เขากลับมีแรงจูงใจแบบนั้น! ต่อให้เขายอมออกจากม่านพลังมายานี้ หัวใจของเขาก็ยังมีเจตนาแก้แค้นอยู่ตลอดอยู่ดี
“น้องหว่าน” เหยาจื่อซิวเปลี่ยนกลับมาอ่อนโยนอีกครั้ง “อย่ากังวลไปเลย เพื่อเจ้า ข้าจะไม่ฆ่าเขา ตราบใดที่ข้าทำลายการฝึกตนของเขาก็เพียงพอสำหรับข้าแล้ว! ฮึ่ม! ตลอดหลายปีมานี้ ข้าคอยถามไถ่ไปทั่วถึงข่าวคราวเกี่ยวกับเขา พ่อเจ้ายังก่อขุมพลังของเขาไม่สำเร็จ กรรมสนอง นี่ต้องเป็นกรรมสนองแน่! ฮ่าๆๆๆ …”
เมื่อเขาหัวเราะจนพอใจ เขาหันเหสายตามาทางโม่เทียนเกอและนักพรตฟางเจิ้ง เขาพูดอย่างสบายๆ “เอาละ ข้าจะเริ่มจากพวกเจ้า มาสิ ขอข้าดูฝีมือหน่อย!”
สีหน้าของโม่เทียนเกอและนักพรตฟางเจิ้งซึมลง ทั้งคู่คว้าเครื่องมือเวทหรืออาวุธเวทของตัวเอง
เหยาจื่อซิวดูเหมือนแมวที่กำลังเล่นกับหนู เขาไม่โจมตีทันทีแต่กลับดูเหมือนเขากำลังรอจะดูฝีมือของพวกเขาอยู่จริงๆ แทน
หลังจากช่วงเวลาแห่งความเงียบ โม่เทียนเกอพูดว่า “สหายนักพรตเหยา เจ้าไม่เชื่อว่านี่คือม่านพลังมายาเช่นนั้นหรือ”
“ข้าเชื่อ!” เหยาจื่อซิวเชิดหน้าและพูดว่า “อย่างไรก็ตาม การพัฒนาเข้าสู่ดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลังของข้าไม่ใช่ภาพลวงตา ถ้ามันเป็นแค่ภาพลวงตา ข้าก็คงไม่มีความรู้สึกชัดแจ้งเช่นนี้หรอก ความรู้สึกว่าข้าแข็งแกร่งขึ้นมาจริง…”
เขายังคงคิดอยู่ แต่โม่เทียนเกอหัวเราะ “ถูกต้อง! มันคือความรู้สึก แต่ความรู้สึกก็สามารถเข้าใจผิดกันได้”
“เจ้า–” การที่ความเชื่อของเขาถูกปฏิเสธอย่างต่อเนื่องทำให้ความโกรธพลุ่งพล่านในสายตาของเขา เขายกมือขึ้น พลังงานทางจิตวิญญาณค่อยๆ มารวมกันอยู่ที่ฝ่ามือและเกิดเป็นวงแหวน
โม่เทียนเกอและนักพรตฟางเจิ้งยิ่งเป็นกังวลมากขึ้น ผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังสามารถทำให้พลังงานทางจิตวิญญาณเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาได้ วงแหวนพลังงานทางจิตวิญญาณแบบนี้ไม่ใช่การโจมตีที่พวกผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังงานอย่างพวกเขาจะสามารถต้านทานได้แน่นอน!
“พี่ซิว!” ซางหรูหว่านตะโกน “พี่ซิว ปล่อยพวกเขาไปเถอะ ขอร้องล่ะ! ถ้าเจ้าอยากแก้แค้น พวกเขาไม่มีอะไรเกี่ยวด้วย…”
“หุบปาก!” เหยาจื่อซิวคำราม “ในโลกแห่งการฝึกตน การฆ่าคนแค่สองสามคนมันไม่มีค่าอะไรเลย เจ้าใจอ่อนเกินไป!”
“ข้าแค่กลัวว่าเจ้าจะถูกมารเข้าครอบงำ…”
“มารเข้าครอบงำ ถ้าข้าถูกมารเข้าครอบงำแล้วมันจะทำไม” เหยาจื่อซิวเยาะเย้ยอย่างดูถูก “ถ้าข้าสามารถครอบครองพลังที่น่าเกรงขาม ข้าก็จะยอมให้มารเข้ามาครอบงำด้วยความยินดี! อีกอย่าง โดนมารเข้าครอบงำมันแย่ตรงไหน อาจารย์ซงเฟิงผู้นั้นเป็นผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ขั้นสุดท้ายแต่เขาก็ชอบสังหารคนบริสุทธิ์เหมือนกันไม่ใช่รึ เราไม่เคยเห็นระดับการฝึกตนของเขาได้รับผลกระทบจากการโดนมารเข้าครอบงำเลยนี่ มารภายในจิตใจ ผิดศีลธรรม ทุกอย่างมันจอมปลอม ปลอม!”
ซางหรูหว่านไม่สามารถจูงใจเขาได้อีกต่อไป นางมองอย่างเหม่อลอยไปที่เหยาจื่อซิวผู้ที่ความโอหังยิ่งเพิ่มมากขึ้น น้ำตาของนางยังคงไหลอย่างต่อเนื่องขณะที่นางพูดเศร้าๆ “แล้วข้าล่ะ เจ้าจะทำอย่างไรกับข้า ถ้าเจ้าถูกมารเข้าสิง แล้วข้าต้องทำอย่างไร”
“…” เหยาจื่อซิวนิ่งเงียบ สีหน้าของเขาอ่อนลงเล็กน้อย ราวกับว่าคำพูดของนางโดนเข้าที่จุดอ่อนในใจของเขา
ขณะนั้นเอง โม่เทียนเกอส่งสายตามีนัยยะให้กับนักพรตฟางเจิ้ง ทั้งคู่เข้าใจตรงกันโดยไม่ต้องพูดและเตรียมตัวอย่างลับๆ
“พี่ซิว เจ้าจำคำสาบานที่เราสาบานกันวันนั้นได้ไหม ข้า ซางหรูหว่าน ยินดีจะแต่งงานกับเหยาจื่อซิวและเป็นภรรยาของเขา ในชั่วชีวิตนี้ ข้าจะไม่ทอดทิ้งหรือไปจากเขา…”
ซางหรูหว่านเช็ดคราบเลือดที่มุมปากของนาง จากนั้นนางเหาะขึ้นอย่างโงนเงนและยื่นมือของนางไปหาเขา “พี่ซิว อย่าทิ้งข้าไป…”
เหยาจื่อซิวอดไม่ได้ที่จะยื่นมือออกไปคว้าตัวนาง เสียงของเขาอ่อนโยนลงเช่นกัน “ข้า เหยาจื่อซิว ยินดีรับซางหรูหว่านเป็นภรรยาข้า ในชั่วชีวิตนี้ ข้าจะอยู่กับนางทั้งในความเป็นและความตาย…”
ในที่สุดซางหรูหว่านก็เผยรอยยิ้มให้เห็นขณะที่นางโน้มตัวเข้าไปหาเขา
พวกเขาเห็นเหยาจื่อซิวดึงนางเข้าสู่อ้อมกอดตามสัญชาตญาณ
เครื่องมือเวทจู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นทันใดและแทงเข้าหัวใจของเหยาจื่อซิวอย่างโหดเ**้ยม
“อ๊าก!!!” ที่จริงแล้วเป็นเสียงร้องน่าสลดของซางหรูหว่าน
เครื่องมือเวทรูปร่างเหมือนกริชบัดนี้ฝังลึกลงที่หัวใจของเหยาจื่อซิว เหยาจื่อซิวคว้าด้ามจับและดึงอย่างแรง ดึงกริชออกจากอกของเขา ทำให้เลือดไหลทะลักออกมาจากแผล ถึงแม้เขาจะโซเซอยู่ชั่วขณะหนึ่ง แต่เขาก็สามารถทรงตัวยืนอยู่ได้
เขามองที่ซางหรูหว่านที่ตกลงไปบนแท่นแห่งธาตุทั้งห้าหลังจากเขาเหวี่ยงนางออกไปด้วยการโบกมือ โมโหจัด เขาตะโกนโดยไม่สนใจบาดแผล “เจ้า… เจ้าอยากฆ่าข้าจริงๆ เช่นนั้นรึ!”
ซางหรูหว่านที่ตกลงบนแท่นแห่งธาตุทั้งห้าไม่สามารถขยับเขยื้อนได้แม้แต่นิ้วเดียว อย่างไรก็ตาม ในสายตาของนางมีรอยยิ้ม “พี่ซิว ในชั่วชีวิตนี้ ข้าจะไม่ทอดทิ้งหรือไปจากเจ้า… ถ้าเช่นนั้น เรา… ก็น่าจะตายไปพร้อมกัน…”
ด้วยแต่ละคำที่นางพูดออกมา เลือดไหลทะลักออกมาจากปากนาง ดังนั้นพอถึงเวลาที่นางพูดจบ นางก็โชกไปด้วยเลือด
โม่เทียนเกอไม่อาจทนมองพวกเขาต่อไปได้ จู่ๆ นางก็รู้สึกเสียใจ เหตุใดนางต้องบอกซางหรูหว่านด้วยว่าความตายคือผลของการถูกหลอกที่นี่ ในเมื่อเหยาจื่อซิวไม่ยอมทิ้งภาพลวงตาของเขา สุดท้ายเขาก็ต้องตาย เพราะฉะนั้นซางหรูหว่านจึง…
อยู่ด้วยกันในความเป็นและความตาย อยู่ด้วยกันในความเป็นและความตาย… นางไม่เคยคิดว่าคำรักหวานๆ พวกนั้นระหว่างคนรักในโลกมนุษย์จะสามารถเข้าใจได้ในโลกแห่งการฝึกตน แต่ตอนนี้…
“น้องหว่าน…” เหยาจื่อซิวตะลึง เขาลอยอยู่กลางอากาศในความมึนงง เลือดไหลจากหัวใจของเขาไม่หยุด แต่เขาก็ไม่ได้รับรู้เลยแม้แต่นิดเดียว
“การก่อเกิดแก่นขุมพลัง การก่อเกิดแก่นขุมพลัง…” เขาพึมพำขึ้นมากะทันหัน “ข้าพัฒนาถึงดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลัง แต่น้องหว่าน…”
ทันใดนั้นเขาดูเหมือนว่าจะเข้าใจแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น เขารีบเข้าไปและโถมตัวเข้าหาซางหรูหว่านจากนั้นดึงตัวนางขึ้นมาพร้อมตะโกนเสียงดัง “น้องหว่าน! น้องหว่าน!”
ซางหรูหว่านยิ้มถึงแม้นางจะไม่สามารถขยับได้อีก โม่เทียนเกอเห็นได้ว่านาง… กำลังจะตาย
“น้องหว่าน เจ้า…”
แต่ซางหรูหว่านไม่พูดอะไรกับเขาอีกต่อไป นางหลับตาลงเงียบๆ ลมหายใจของนางค่อยๆ ช้าลงทีละนิด
“น้องหว่าน!” เหยาจื่อซิวร้องเรียก ทั้งน้ำตาและเลือดไหลทะลักออกจากตัวเขา
จากนั้นพวกเขาเห็นสีผิวของเหยาจื่อซิวค่อยๆ ซีดจางลง ราวกับว่าเขากำลังค่อยๆ เน่าเปื่อยไปทีละน้อยอย่างช้าๆ … เขากลายเป็นโครงกระดูกที่ใส่ชุดคลุมยาว
ทว่าโครงกระดูกนั้นยังคงกอดศพของซางหรูหว่านไว้อย่างแนบแน่