ลำนำสตรียอดเซียน - ตอนที่ 165 รูปปั้นหินสลัก
นักพรตฟางเจิ้งอาจจะกลับมาได้สติอีกครั้งแต่พวกเขาก็ยังคงไม่ได้แก้ปัญหาสำคัญ
พวกเขายังคงอยู่ที่ทางเข้าของทางเดินหินนี้แต่จิตใจนักพรตฟางเจิ้งก็ได้รับผลกระทบเสียแล้วถึงแม้จะมีเครื่องรางสงบจิตใจอยู่กับตัวก็ตาม ถ้าพวกเขาเข้าไปลึกกว่านี้ โม่เทียนเกอไม่มั่นใจว่าตัวนางจะสามารถไปต่อได้หรือไม่เช่นกัน ดังนั้นพวกเขาจึงอับจนหนทาง ทั้งสองคนปรึกษากันหลายทางเลือกแต่ก็ยังไม่สามารถหาทางแก้ได้
ด้วยความสามารถปัจจุบัน พวกเขาไม่สามารถฝ่าผ่านหินจันทราเวทมนตร์มากมายเพียงนี้ไปได้
“เราควรทำอย่างไรกันดี” นักพรตฟางเจิ้งถามขณะที่เขามองโม่เทียนเกอ หลังจากถูกโม่เทียนเกอเตือนซ้ำๆ หลายครั้ง ตอนนี้เขาก็ชินกับการถามความเห็นของศิษย์น้องคนนี้ก่อนแล้ว
ชั่วขณะหนึ่ง โม่เทียนเกอไม่อาจคิดหาวิธีแก้ที่เหมาะสมได้แต่เมื่อนางคิดพิจารณาถึงการหันหลังกลับ นางก็รู้สึกลังเล หลังจากอุปสรรคที่ผ่านมาก่อนหน้านี้ หกคนจากเก้าคนตายไปแล้วและอีกหนึ่งคนกำลังจะตาย พวกเขาทั้งสองคนเป็นเพียงพวกเดียวที่ยังเหลืออยู่เป็นปกติ พวกเขาเสียอะไรไปตั้งมากและตอนนี้พวกเขาเข้ามาได้ถึงจุดนี้ แล้วนางจะหันหลังกลับได้อย่างไร
แต่ถึงกระนั้นนางก็ไม่มีพละกำลังมากพอ ซึ่งนั่นก็หมายความตามจริงว่านางไม่มีพละกำลังมากพอ บางทีเจ้าของของสถานที่แห่งนี้อาจจะสร้างทางเดินนี้มาเพื่อหยุดผู้ฝึกตนที่อยู่ต่ำกว่าดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลังก็เป็นได้ ถ้าพวกเขายังคงพยายามฝ่าเข้าไป พวกเขาจะไม่ต้องแลกด้วยชีวิตหรอกหรือ
โม่เทียนเกอใคร่ครวญถึงทางเลือกของนางอยู่พักหนึ่ง ทว่าท้ายที่สุดนางก็กัดฟันพูดว่า “เราไม่อาจผ่านทางเดินนี้ไปได้ สหายนักพรตฟางเจิ้ง เราหาทางอื่นกันเถอะ”
“นี่…” เห็นได้ชัดว่านักพรตฟางเจิ้งไม่ยินดี เขาดูไม่สู้เต็มใจ สายตาเขาคอยแต่จะเหลือบไปทางหินจันทราเวทมนตร์
โม่เทียนเกอพูดว่า “ด้วยความสามารถตอนนี้ของเรา เราไม่สามารถผ่านตรงนี้ไปได้แน่ ข้าไม่ได้มีเจตนาจะมาทิ้งชีวิตที่นี่หรอกนะ”
สิ่งที่นางพูดทำให้นักพรตฟางเจิ้งลังเล เขาเข้าใจว่าโม่เทียนเกอไม่เหมือนเขา ดูจากทรัพย์สมบัติมากมายที่นางมี นางน่าจะเป็นศิษย์ของกลุ่มการฝึกตนใหญ่ๆ ตอนนี้นางยังอายุน้อยมากแต่นางกลับมีระดับการฝึกตนสูงขนาดนี้ สำหรับนาง การยอมเสี่ยงครั้งนี้คงไม่คุ้มค่าเท่าไหร่นัก
หากนางเป็นเช่นเขา พวกเขาคงกัดฟันรีบเข้าไปด้านในเหมือนอย่างพวกผู้ฝึกตนที่ตายไปทำ ทว่าเมื่อไม่มีใครไปกับเขา เขาก็ไม่สามารถรวบรวมความกล้าเพื่อฝ่าเข้าไปด้วยตัวเองคนเดียวได้
สติของคนได้รับผลกระทบจากวัตถุที่มีผลทางจิตอย่างเช่นของเหล่านี้ ถ้าไม่มีสหายร่วมทางก็หมายความว่าเขาคงไม่ลงเอยในสถานการณ์ที่เขากับสหายจะพยายามฆ่ากันเอง อย่างไรก็ตาม หลังจากสิ้นสติ เขาอาจจะกลายเป็นบ้าและลงเอยด้วยการทำร้ายตัวเองต่อให้ไม่มีใครคนอื่นอยู่ด้วยก็ตาม
“ตกลง เช่นนั้นก็ทำตามที่สหายนักพรตเยี่ยพูดเถอะ” นักพรตฟางเจิ้งตัดสินใจได้ในท้ายที่สุด ถึงแม้เขาจะไม่มีเวลาเหลือมากแล้วในช่วงอายุขัยแต่เขาก็ยังไม่ถึงขั้นที่ไม่เหลือความหวังไปเสียหมด เขาก็ไม่อยากจะตายที่นี่เช่นกัน เขาคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงพูดขึ้นมาอีกครั้ง “แต่เราไม่ควรมองหาบริเวณอื่นๆ ด้วยหรือ”
ไม่ต้องพูดถึงนักพรตฟางเจิ้งหรอก แต่ลึกๆ แล้วแม้แต่ตัวโม่เทียนเกอเองก็รู้สึกไม่อยากจะออกไปเช่นกัน เมื่อพวกเขาลงมาในหุบเขา พวกเขาเกือบจะต้องสูญเสียชีวิต ในม่านพลังมายาพวกเขาต้องมองดูคนอื่นๆ ตายและได้รับบาดเจ็บสาหัส อย่างไรก็ตาม ในท้ายที่สุดพวกเขาก็มาถึงอุปสรรคที่ไม่สามารถผ่านไปได้ แล้วนางจะอยากยอมแพ้ได้อย่างไรกัน
“ตกลง แต่นักพรตฟางเจิ้ง ถ้าเราไม่เจออะไร เราควรจะออกไปให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้”
“แน่นอน!” นักพรตฟางเจิ้งรีบเห็นดีเห็นงามด้วย ทุกส่วนของทางเดินนี้นั้นอันตราย ดังนั้นเขาจึงไม่อยากจะอยู่ตรงนี้นานเกินไป
โม่เทียนเกอมองนักพรตฟางเจิ้งเคาะไปตามทางเดินสั้นๆ และสำรวจดูทุกสิ่งอย่างระมัดระวัง แต่นางก็ยังคงไม่เคลื่อนไหว นางกำลังสงสัยว่าเรื่องทั้งหมดนี้มันมีอะไรไม่ถูกต้องกันแน่
อย่างแรก การผันผวนของพลังงานทางจิตวิญญาณที่แพร่กระจายออกมาจากหุบเขานั้นบริสุทธิ์ แต่ไม่เด่นสะดุดตาเลยแม้แต่น้อย หากผู้ฝึกตนในดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลังและระดับสูงกว่าผ่านบริเวณนี้ พวกเขาอาจจะไม่สนใจมันเลยด้วยซ้ำ ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อพวกเขาลงมาในหุบเขา ก็แทบจะไม่สามารถผ่านอุปสรรคต่างๆ ได้ด้วยระดับการฝึกตนปัจจุบันของตัวเอง ผู้ฝึกตนการหลอมรวมพลังงานวิญญาณถูกกีดกันจากการเข้าหุบเขานี้อย่างเห็นได้ชัด อย่างไรก็ตาม ผู้ฝึกตนการก่อเกิดแก่นขุมพลังคงจะสามารถผ่านเข้าไปได้อย่างสบายๆ และอย่างสุดท้าย มีม่านพลังมายาอยู่ ผู้ฝึกตนการก่อเกิดแก่นขุมพลังได้ผ่านการเอาชนะอุปสรรคที่รู้จักกันว่าเป็นมารภายในจิตใจของพวกเขาในระหว่างการก่อขุมพลังมาแล้ว ดังนั้นต่อให้พวกเขาไม่สามารถทำลายม่านพลังลงได้ ก็คงจะแค่ต้องเผชิญประสบการณ์เลวร้ายโดยที่ไม่ได้รับบาดเจ็บ คงไม่ได้เจอผลลัพธ์สุดสลดเหมือนอย่างเช่นพวกเขาแน่ที่มีคนตายหกคนและบาดเจ็บหนึ่งคน
ประเด็นเหล่านี้ส่งผลให้สรุปได้อย่างเดียว ถึงแม้เจ้าของหุบเขาแห่งนี้จะไม่มีใครรู้ว่าเป็นใคร แต่ทุกแง่มุมของหุบเขานี้ถูกเล็งเป้ามาที่ผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังงาน ทางเดินนี้เห็นได้ชัดว่าเป็นสิ่งกีดขวางสำหรับผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังงาน ไม่ว่าโม่เทียนเกอจะคิดถึงมันอย่างไร แต่ทางเดินนี้กลับไม่เข้ากับการคาดคะเนของนางเลย
หากเป็นเช่นนั้น… ถ้าไม่ใช่ว่าทางเดินนี้เป็นของปลอมและมีอีกเส้นทางหนึ่งที่จะพาพวกเขาไปสู่ขั้นต่อไปได้ ก็คงเป็นเพราะเจ้าของของสถานที่แห่งนี้จิตวิปริตเกินไปและจงใจสร้างสถานการณ์เช่นนี้ขึ้นมา
พอถึงเวลาที่โม่เทียนเกอคิดมาถึงประเด็นนี้ อีกความคิดหนึ่งก็วาบผ่านจิตใจนางเช่นกัน หุบเขานี้เป็นสถานที่แบบไหนกัน ดูจากม่านพลังมายาในหุบเขาและโครงสร้างของทางเดินนี้ที่เต็มไปด้วยหินจันทราเวทมนตร์ เจ้าของสถานที่นี้ต้องมีระดับการฝึกตนสูงมากอย่างเห็นได้ชัด ตามการคาดการณ์ของนาง คนผู้นั้นน่าจะอยู่ในดินแดนจิตวิญญาณใหม่เป็นอย่างต่ำ ถ้ำเซียนที่ถูกทิ้งไว้โดยผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณใหม่โดยปกติแล้วมักจะน่าดึงดูดสำหรับผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่คนอื่นๆ ด้วยกัน ถ้าเป็นเช่นนั้น เจ้าของสถานที่นี้ดูเหมือนว่าจะจงใจดึงดูดผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังงานอย่างแน่นอน
โม่เทียนเกออดรู้สึกกลัวไม่ได้ขณะที่นางคิด ถ้ำเซียนนี้เห็นได้ชัดว่าถูกทิ้งร้างมาเป็นเวลานาน ตามหลักเหตุผลแล้วไม่ควรจะมีจุดประสงค์มุ่งร้ายใดๆ เหลืออยู่ที่นี่อีก แต่จะอธิบายการกระทำของเจ้าของสถานที่นี้ได้ว่าอย่างไร เกิดอะไรขึ้นกับพวกผู้ฝึกตนที่ตายจากฤทธิ์ของหินจันทราเวทมนตร์ จงใจดึงดูดผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังงานมาแล้วจากนั้นก็บีบให้พวกเขาต้องตายที่นี่ เจ้าของสถานที่นี้จะได้อะไรจากการทำเช่นนี้หรือ หรือพวกเขาแค่จิตวิปริตจริงๆ
ความสนใจวิปริตที่ต้องแลกมาด้วยชีวิตมนุษย์มันโหดร้ายเกินไป!
“สหายนักพรตเยี่ย!” จู่ๆ นางก็ได้ยินเสียงดีใจของนักพรตฟางเจิ้ง
โม่เทียนเกอหันไปหานักพรตฟางเจิ้งและเห็นเขากำลังชี้ไปที่จุดหนึ่งบนกำแพงหิน เขาพูดว่า “ดูสิ มีประตูอยู่ตรงนี้”
โม่เทียนเกอก้าวไปหาเขาจากนั้นจึงตรวจสอบกำแพงดูอย่างระมัดระวัง แน่นอนว่ามีรอยแตกอย่างประณีตที่ดูเหมือนจะทำให้เกิดประตูบนกำแพง
“ขอข้าลองหน่อย” นักพรตฟางเจิ้งพูดก่อนจะถอยไปสองสามก้าว ด้วยการโบกแส้หางม้าของเขา เส้นใยพลังงานทางจิตวิญญาณเส้นเล็กๆ กระเพื่อมไปด้านหน้าและชนเข้ากับประตูอย่างแรง
เสียงสะท้อนหนักๆ ดังขึ้น ประตูถูกผลักเปิดออกได้อย่างง่ายดาย
โม่เทียนเกอตกตะลึง นี่… ดูจะง่ายเกินไปหน่อย
ทั้งสองคนมองข้างในอย่างระมัดระวัง ดูเหมือนว่าจะเป็นห้องหินขนาดเล็กกว่าห้องโถงแต่ใหญ่กว่าห้องหินในถ้ำเซียนทั่วไปเล็กน้อย มันดูเหมือนกับห้องโถงเล็กๆ ไม่มีอะไรอยู่ภายในนอกจากรูปปั้นหินสลักหลายชิ้นและที่ห้อยอยู่บนเพดานคือหินทรงกลมก้อนใหญ่หลายก้อนที่ส่องแสงให้ทั่วทั้งห้อง
“หินสุริยัน!” นักพรตฟางเจิ้งอุทาน
“หินสุริยัน” โม่เทียนเกอพูดตามด้วยความงุนงง
“ถูกต้อง!” รอยยิ้มกว้างเบ่งบานขึ้นบนใบหน้าของนักพรตฟางเจิ้ง “สหายนักพรตเยี่ย ด้วยหินสุริยันพวกนี้ การเดินทางครั้งนี้ก็ถือว่าคุ้มค่าแล้วแม้เราจะหันหลังกลับตอนนี้ก็เถอะ”
“เช่นนั้นหรือ”
นักพรตฟางเจิ้งอธิบาย “สำหรับพวกเราผู้ฝึกตน หินจันทราแค่ทำหน้าที่เสมือนแสงสว่าง เหมือนอย่างแสงสว่างในโลกมนุษย์ อย่างไรก็ตาม หินสุริยันสามารถผลิตสิ่งที่เทียบเท่าได้กับแสงอาทิตย์และถึงขนาดผลิตไฟสุริยันได้ด้วยซ้ำ!”
สิ่งที่เทียบเท่าได้กับแสงอาทิตย์! ไฟสุริยัน!
โม่เทียนเกอแค่ต้องคิดนิดหน่อยก็เข้าใจได้ว่าหินสุริยันพวกนี้มีค่ามากขนาดไหน ไฟสุริยันคือหนึ่งในไฟแท้ที่ยิ่งใหญ่ทั้งสามที่ใช้ในการปรุงยาวิเศษและขัดเกลาเครื่องมือ ในโลกแห่งการฝึกตน ไฟที่ใช้ในการปรุงยาวิเศษและขัดเกลาเครื่องมือจะถูกเลือกมาอย่างพิถีพิถัน ผู้ฝึกตนสามารถใช้ไฟตานเถียนได้ แต่การทำเช่นนั้นจำเป็นต้องใช้พลังงานทางจิตวิญญาณมากเกินไป แม้แต่ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ก็คงรู้สึกอ่อนแรงถ้าพวกเขาใช้ไฟตานเถียนเป็นเวลานาน สืบเนื่องจากเรื่องนี้ ตราบใดที่ผู้ฝึกตนมีวิธีการ พวกเขาก็จะใช้แหล่งกำเนิดไฟจากภายนอกอย่างแน่นอน
แหล่งกำเนิดไฟจากภายนอกที่ว่านี้รวมถึงไฟสวรรค์และไฟโลกีย์ ไฟสวรรค์คือไฟจากดวงอาทิตย์ อย่างไรก็ตาม การใช้ไฟจากดวงอาทิตย์เกี่ยวข้องกับม่านพลังและเครื่องมือที่ค่อนข้างซับซ้อน สำหรับไฟโลกีย์นั้น อดีตภูเขาเทียนหั่วของโรงเรียนตานติ่งคือตัวอย่างของไฟโลกีย์ ไฟสวรรค์ที่ดีที่สุดคือไฟสุริยันขณะที่ไฟโลกีย์ที่ดีที่สุดคือไฟขั้วโลก นอกจากนี้ยังมีไฟสมาธิซึ่งเป็นไฟที่ดีที่สุดและเหนือกว่าไฟอีกสองประเภท ไฟทั้งสามประเภทนี้เป็นที่รู้จักกันในนามไฟแท้ที่ยิ่งใหญ่ทั้งสาม
ไฟสมาธิมีปรากฏอยู่แค่ในตำนานเท่านั้น เป็นเวลาหลายปีแล้วตั้งแต่ที่มีคนเห็นครั้งส่าสุด และแม้แต่วิธีที่ใช้มันก็สูญหายไปด้วย เพราะฉะนั้นไฟภายนอกที่ดีที่สุดในการปรุงยาวิเศษและขัดเกลาเครื่องมือจึงมีเพียงแค่ไฟสุริยันและไฟขั้วโลกเท่านั้น
หากหินสุริยันพวกนี้สามารถผลิตไฟสุริยันได้จริง มูลค่าของมันก็เทียบเท่ากับเส้นเลือดไฟโลกีย์ขนาดเล็กได้อย่างไม่ต้องสงสัย ถ้านำออกขายในตลาด ราคาของมันมีแนวโน้มว่าจะมากกว่าหนึ่งหมื่นศิลาวิญญาณต่อก้อน!
ถ้าเป็นเช่นนั้น การเดินทางของพวกเขาจะถือว่าแค่ “คุ้มค่า” กับหินสุริยันเหล่านี้ในมือได้อย่างไร นี่มันโชคหล่นทับพวกเขาชัดๆ!
อย่างไรก็ตาม โม่เทียนเกอไม่คิดว่าพวกเขาจะขโมยหินสุริยันพวกนี้ไปได้อย่างง่ายดายนัก ดูจากอุปสรรคที่พวกเขาเผชิญมาก่อน มันไม่สมเหตุสมผลเอาซะเลยที่พวกเขาจะได้ผลประโยชน์โดยไม่ต้องลงแรงมากมายในครั้งนี้
นักพรตฟางเจิ้งเองก็มีความคิดเช่นเดียวกันกับนาง ดังนั้นทั้งสองคนจึงไปต่อด้วยความระมัดระวังขั้นสุด ขั้นแรกพวกเขาปล่อยนกออกไปเพื่อให้ช่วยพวกเขาหาเส้นทางที่ปลอดภัย เพียงหลังจากที่พวกเขาแน่ใจแล้วว่าไม่มีปัญหาอะไรพวกเขาถึงเข้าไปในห้องหิน
แต่ทันทีที่กำลังจะเริ่มตรวจดูแผ่นหินที่ทางเข้าห้อง จู่ๆ พวกเขาก็ได้ยินเสียงดังกึกก้อง ในชั่ววินาที ประตูหินด้านหลังพวกเขาตกลงมาและปิดลงเอง ทั้งสองคนไม่มีเวลาทันจะตอบสนองและถูกขังอยู่ภายในห้อง ณ ตอนนี้
หลังจากตกใจในตอนแรก โม่เทียนเกอสงบสติอารมณ์ลงทันที มันคงจะทะแม่งๆ อยู่เหมือนกันถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย พวกเขาเผชิญกับอันตรายมามากในการเดินทางครั้งนี้ ถ้ามีทรัพย์สมบัติอะไรอยู่ข้างหน้าและปล่อยให้พวกเขาเอาออกไปได้อย่างง่ายดายแล้วล่ะก็ มันก็คงจะมีกับดักที่ชั่วร้ายยิ่งกว่าอยู่เบื้องหลังแน่นอน
ขณะที่ทั้งสองคนยืนนิ่ง โม่เทียนเกอถามขึ้น “สหายนักพรตฟางเจิ้ง เจ้าคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นที่นี่”
นักพรตฟางเจิ้งลูบเคราของเขา “เราเผชิญกับอากาศพิษ ลมพายุ ม่านพลังมายา หินจันทราเวทมนตร์ และแต่ละอย่างก็ล้วนแล้วแต่อันตรายถึงตาย ข้าเกรงว่าอุปสรรคนี้จะพิชิตได้ไม่ง่ายเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ถ้าเราวิเคราะห์มันให้ถี่ถ้วนขึ้น อากาศพิษและลมพายุมีไว้เพื่อทดสอบทักษะการป้องกันตัวของเรา ม่านพลังมายามีไว้เพื่อทดสอบนิสัยและอำนาจจิตของเรา และทางเดินที่เต็มไปด้วยหินจันทราเวทมนตร์มีไว้เพื่อดูว่าเราสามารถรับมือกับความเย้ายวนของทรัพย์สมบัติได้หรือไม่ และเราสามารถควบคุมตนเองโดยไม่เสียสติไปได้หรือไม่ อย่างไรก็ตาม ไม่มีอุปสรรคไหนเลยที่ทดสอบความสามารถในการต่อสู้ด้วยพลังเวทของเรา ข้าคิดว่า… มีโอกาสสูงมากที่–”
ก่อนเขาจะทันพูดจบ จู่ๆ ทั้งสองก็ได้ยินเสียงที่ฟังดูเหมือนภูเขากำลังแตกสลาย ประหนึ่งว่ามีบางอย่างกำลังกระแทกกับกำแพงหินอย่างแรง
เมื่อโม่เทียนเกอมองกลับไป นางก็พบแหล่งที่มาของเสียง รอยย่นปรากฏขึ้นที่คิ้วนาง
รูปปั้นหินสลักรูปแรกที่พิงอยู่กับกำแพงของห้องหินนี้จู่ๆ ก็ก้าวมาข้างหน้าทันทีและเริ่มเดินเข้ามาหาพวกเขา
นักพรตฟางเจิ้งที่เห็นเหมือนกันถึงกับอ้าปากค้าง
พวกเขาไม่ได้สนใจรูปปั้นหินสลักมากนัก ย้อนไปเมื่อตอนแรกที่พวกเขาเห็นมัน พวกเขาแค่คิดว่ามันเป็นแค่ของตกแต่งเหมือนอย่างภาพจิตรกรรมบนฝาผนัง แต่ในชั่วพริบตามันก็เคลื่อนไหวได้จริงราวกับมันเป็นสิ่งมีชีวิต!
“สหายนักพรตเยี่ย นี่มัน…”
โม่เทียนเกอเริ่มใช้พลังงานวิญญาณป้องกันร่างกายและเรียกผ้าเช็ดหน้าไหมขาวมาพร้อมกับกระสวยอัปสรา
คำตอบของสิ่งที่อุปสรรคนี้จะทดสอบได้ปรากฏขึ้นแล้ว เป็นไปตามที่นักพรตฟางเจิ้งเดาไว้ ความสามารถในการต่อสู้ด้วยพลังเวทของพวกเขาจะต้องถูกทดสอบในครั้งนี้!
รูปปั้นหินสลักนี้มีขนาดสูงกว่าห้าจั้งซึ่งสูงกว่าคนธรรมดาถึงสองเท่า ลักษณะหน้าตาของมันแสดงออกมาให้เห็นได้อย่างชัดเจน มันมีรูปลักษณ์ของนักสู้ศิลปะป้องกันตัว แต่ละส่วนของเกราะป้องกันบนร่างกายพรรณนาออกมาให้เห็นได้ชัดเจนและแม้แต่รูปแบบลายเส้นที่แกะสลักอยู่บนกระบี่หินในมือของมันก็สามารถเห็นได้อย่างชัดเจน เมื่อครู่นี้มันยังไม่มีพลังงานทางจิตวิญญาณแม้แต่นิดเดียว แต่บัดนี้ อย่างไรก็ตาม มันกลับเปี่ยมล้นไปด้วยพลังงานทางจิตวิญญาณซึ่งทำให้มันดูเหมือนผู้ฝึกตนในขั้นสูงสุดของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงาน
สมองโม่เทียนเกอคิดด้วยความเร็วแสง นางและนักพรตฟางเจิ้งอยู่ในขั้นกลางของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงานทั้งคู่ ถึงแม้ว่ารูปปั้นหินสลักนี้จะเทียบเท่ากับผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังงานขั้นสูงสุด แต่อย่างไรเสียมันก็ตายแล้วและร่างของมันก็หนัก คาดว่าคงไม่น่าจะยากเกินไปในการเอาชนะมัน อย่างไรก็ตาม ทุกย่างก้าวที่รูปปั้นหินสลักตัวนี้เดินก่อให้เกิดเสียงดังครึกโครม เพราะฉะนั้นมันจึงน่าจะค่อนข้างแข็งแกร่งทีเดียว นางต้องระวังตัวไม่สู้กับมันด้วยแรงกาย
ขณะที่นางกำลังใช้ความคิดอย่างลึกซึ้ง รูปปั้นหินสลักตัวนั้นก็ได้เคลื่อนเข้ามาทีละก้าวจนกระทั่งมาถึงตรงหน้าพวกเขา มันยกมือขึ้นและจากนั้นกระบี่หินของมันก็ถูกเหวี่ยงมาที่พวกเขาอย่างไม่ปรานี