ลำนำสตรียอดเซียน - ตอนที่ 169-2 หนังสือม่านพลังเสวียนจี
“ลมพายุและอากาศพิษเหนือหุบเขาเกิดขึ้นจากม่านพลังที่ข้าวางไว้แน่นอน อย่างไรก็ตาม มันเป็นเพราะความโชคดีของเจ้าที่สามารถทำลายมันลงได้โดยง่าย คำตอบของคำถามข้อถัดไปก็เหมือนกัน ตอนที่ข้าใช้ชีวิตสันโดษก่อนหน้านี้ ข้าเคยช่วยมนุษย์ผู้ลี้ภัยสงครามหลายร้อยคน เพราะข้าสงสารพวกเขา ข้าพาพวกเขามาที่หุบเขา พวกเขามองว่าข้าเป็นดั่งพระเจ้าและรูปปั้นหินกับแท่นบูชานั้นพวกเขาก็เป็นคนจัดการ ข้าแค่เปลี่ยนมันให้เป็นทางเข้าของถ้ำข้าแค่นั้น”
“รูปปั้นหินนั้นเป็นรูปของภรรยาข้าจื่อหลาน เหตุผลที่ข้าช่วยชีวิตมนุษย์เหล่านั้นไว้เพราะข้าคิดว่าจื่อหลานไม่ชอบในนิสัยรุนแรงและกระหายเลือดของข้า ข้าจึงแสดงให้เห็นถึงความใจดีบ้างในบางครั้ง และเพราะสิ่งนั้น ตอนที่พวกเขาต้องการที่จะสร้างรูปปั้นพระเจ้า ข้าให้พวกเขาสร้างมันในรูปร่างของจื่อหลาน ด้วยวิธีนั้น เวลาที่ข้าออกไปจากถ้ำเซียนในบางโอกาส ข้าก็จะมองเห็นนาง”
“ก่อนข้าจะตายจากไป มนุษย์เหล่านั้นอาศัยอยู่ในหุบเขานี้มากกว่าพันปี ผ่านไปรุ่นสู่รุ่น ผู้ฝึกตนปรากฏขึ้นบ้างในคนกลุ่มนั้น แต่น่าเสียดายที่รากวิญญาณของพวกเขาไม่ดีนัก ตอนที่ข้าสัมผัสได้ว่าอายุขัยของข้าใกล้หมดลง ข้าสั่งให้ผู้ฝึกตนเหล่านั้นย้ายมนุษย์ออกไปจากหุบเขา มันมีเส้นเลือดวิญญาณที่นี่บ้างเล็กน้อย แต่เมื่อข้าจากไป ข้าก็ใช้เส้นเลือดวิญญาณเหล่านี้ในการวางม่านพลังมายา หลังจากนั้นเป็นต้นมา ที่นี่จึงไม่เหมาะสำหรับมนุษย์ที่จะอาศัยอยู่อีกต่อไป มันเป็นเพราะว่าไม่มีใครอยู่ป้องกันม่านพลัง เจ้าจึงสามารถทำลายมันลงได้อย่างง่ายดาย”
“… อย่างนั้นเอง แสดงว่าม่านพลังมายาที่ศิษย์พี่วางในห้องโถงก็ใช้เส้นเลือดวิญญาณนี้เช่นกันอย่างนั้นหรือ ทำไมถึงบาดเจ็บจริงในขณะที่ทุกอย่างล้วนเป็นของปลอม แล้วพวกเราทำลายม่านพลังลงได้อย่างไร”
“ฮึ่ม!” นักเดินทางจื่อเวยส่งเสียง “ฮึ่ม” อย่างเยือกเย็นพร้อมพูด “นั่นเกี่ยวข้องกับหลากหลายวิธีที่ซับซ้อน แต่ข้ารวมทั้งหมดนั้นไว้ในหนังสือม่านพลังเสวียนจีหมดแล้ว ถ้าเจ้าศึกษามันจนหมด เจ้าจะเข้าใจทั้งหมดได้เอง สำหรับการทำลายม่านพลัง ระหว่างพวกเจ้าทั้งหมดเก้าคน บางคนขาดเลือดไปจนหมด บางคนอ่อนแอเกินไป ในขณะที่บางคนมีจิตใจที่แข็งแกร่งเพียงพอและไม่ได้ถูกล่อลวงโดยม่านพลังมายาอีก ม่านพลังมายาจึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องมีอยู่อีกต่อไป”
“ฮะๆ ความจริงแล้วข้าคิดว่าข้าใจดีมากแล้วนะที่ใช้ม่านพลังนี้ในการทดสอบจิตใจของเจ้า หากไม่อย่างนั้นไม่ว่าเจ้าจะอยู่ด้านในนานแค่ไหน เจ้าก็จะไม่สามารถออกมาได้ ‘วันนี้ชีวิตนิรันดร์’ ชีวิตนี้คือชั่วนิรันดร์และนิรันดรก็เป็นเพียงแค่หนึ่งวัน เมื่อม่านพลังนี้เริ่มทำงาน ทุกสิ่งทุกอย่างจะจบลงหลังจากหนึ่งวันผ่านไป ถ้าเจ้าไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ และถูกชักจูงโดยม่านพลัง เจ้าจะถูกดูดกลืนเลือดไปเรื่อยๆ จนตาย ถ้าเจ้าไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ ถึงแม้เจ้าจะมีชีวิตรอด ช่วงชีวิตของเจ้าก็จะดูเหมือนยาวนานนิรันดร์ เวลาของเจ้าจะไร้ซึ่งขอบเขตและสุดท้ายเจ้าก็จะบ้าจนตาย เพราะสิ่งนั้น เจ้าจะตายถ้าไม่สามารถทำลายม่านพลังได้!”
โม่เทียนเกอและนักพรตฟางเจิ้งต่างหวาดกลัว ช่างเป็นม่านพลังที่น่ากลัวยิ่งนัก… ถึงแม้ว่ามันจะเป็นม่านพลังมายา มันก็น่ากลัวกว่าม่านพลังสังหารเสียอีก! ในขณะนั้นนักพรตฟางเจิ้งเริ่มรู้สึกเสียใจ ทำไมหนังสือม่านพลังเสวียนจีไม่ได้ถูกมอบให้เขา
“ดังนั้นอุปสรรคที่เกิดขึ้นตามลำดับนี้ก็เพียงเพราะศิษย์พี่ต้องการทดสอบพวกข้า”
“ถูกต้องแล้ว” น้ำเสียงเฉยเมยของนักเดินทางจื่อเวยนั้นเต็มไปด้วยความอำมหิต “ถ้าเจ้าไม่สามารถแม้กระทั่งรับมือกับลมพายุและอากาศพิษตรงทางเข้าของหุบเขา เจ้าก็ไร้ประโยชน์ เช่นเดียวกันกับม่านพลังมายา สร้างขึ้นมาเพื่อทดสอบจิตใจและนิสัยของเจ้า หากเจ้าไม่สามารถผ่านมาได้ ข้าถือว่าเจ้าก็คงไม่มีความอดทนมากพอที่จะตามหากระดูกของจื่อหลาน ช่องทางเดินหินที่เต็มไปด้วยหินจันทราเวทมนตร์ก็เพื่อดูว่าเจ้าโลภมากเกินไปหรือไม่ และเจ้านั้นสงบนิ่งได้มากพอหรือเปล่า ถ้าเจ้าถูกสมบัติพวกนั้นครอบงำอย่างง่ายดาย เจ้าก็มีแนวโน้มว่าจะผิดคำสัญญาต่อข้า สุดท้ายหุ่นเชิดหินที่นี่ ถ้าเจ้าไม่สามารถจัดการหุ่นเชิดทั้งห้าได้ นั่นก็หมายความว่าความแข็งแกร่งในการต่อสู้ของเจ้านั้นอ่อนแอเกินไป! และแน่นอน สุดท้ายแล้ว ข้าก็ยังคงมีวิธีการที่จะวัดความสามารถของพวกเจ้าด้วยตัวข้าเอง หากเจ้าโง่เกินไป ข้าจะต่อกรกับพวกเจ้าด้วยตัวเอง ทั้งหมดนั้นพวกเจ้าทั้งสองคนค่อนข้างเก่ง และผ่านทุกอุปสรรคมาได้”
“…” ระหว่างที่ได้ยินคำอธิบาย โม่เทียนเกอรู้สึงถึงความโกรธที่เพิ่มขึ้นของตัวเองอยู่ภายในใจอย่างเลี่ยงไม่ได้แต่สุดท้ายแล้วนางก็พยายามที่จะสะกดกลั้นเอาไว้ นักเดินทางจื่อเวยผู้นี้เห็นแก่ตัวเองและไร้จิตสำนึกอย่างที่สุด! เขาตั้งอุปสรรคต่างๆ มากมายโดยไม่ได้คำนึงถึงชีวิตของคนที่เข้ามาสู่หุบเขาแม้แต่น้อย ถ้าเสี่ยวจื่อหลานไม่ชอบความขัดแย้งอย่างที่เขาพูดจริง นางก็คงจะรักเขามากจริงๆ ที่สามารถทนอยู่กับการแต่งงานกับเขามาได้ถึงสองร้อยปี!
“อะไร เด็กน้อย เจ้ามีปัญหาหรือ”
โม่เทียนเกอพูดด้วยความโกรธอย่างช่วยไม่ได้ “ศิษย์พี่ ท่านใช้วิชาอ่านใจอีกแล้วหรือ!”
นักเดินทางจื่อเวยหัวเราะออกมาด้วยเสียงอันดัง “เจ้าไม่ควรก้าวร้าวใส่ข้า อาจารย์เจ้าไม่ได้สอนว่าต้องปฏิบัติต่อศิษย์พี่ด้วยความเคารพอย่างนั้นหรือ”
“…” ข้าจะต้องทำได้! อีกครั้งที่โม่เทียนเกอสูดหายใจลึกและหยุดพูด นางปรับตัวเข้ากับประมุขเต๋าจิงเหอได้แล้ว วิธีที่นางปฏิบัติกับศิษย์พี่นั้นไม่ได้แสดงถึงความเคารพมากพอ อย่างไรก็ตาม นั่นก็ขึ้นอยู่กับว่าศิษย์พี่ผู้นั้นคือใคร ตลอดเวลาที่ผ่านมานี้ นางพอจะรู้ได้คร่าวๆ ถึงนิสัยของนักเดินทางจื่อเวยคนนี้
ศิษย์พี่คนนี้… ไม่ว่าคนที่ไม่สามารถทำตามข้อกำหนดของเขาจะมีชีวิตรอดหรือไม่ก็ตาม เขาก็ไม่ได้ใส่ใจแม้แต่น้อย อย่างไรก็ตาม ถ้าผ่านบททดสอบของเขา เขาก็ไม่ได้ตระหนี่ในของรางวัลของเขาเลย ถึงแม้ว่านางจะแสดงอารมณ์ออกมาบ้าง แต่บางทีเขาอาจจะแค่รู้สึกว่านางถูกใจเขามากกว่าเดิม
“ศิษย์น้องยังมีอีกเรื่องที่อยากจะถาม ศิษย์พี่… ดูเหมือนท่านจะเข้าใจศาสตร์แห่งการช่าง”
“โอ้!” นักเดินทางจื่อเวยรู้สึกประหลาดใจเมื่อได้ยินคำถามของนาง “ศิษย์น้อง เจ้ารู้จักศาสตร์แห่งการช่างด้วยอย่างนั้นหรือ หาได้ยากนัก! ศาสตร์แห่งการช่างนั้นหายสาบสูญไปนานมากแล้ว และไม่ค่อยมีใครรู้เกี่ยวกับมันเท่าไรนัก”
“… ดังนั้นหมายความว่า… ศิษย์พี่เข้าใจศาสตร์แห่งการช่างจริงๆ”
“ฮึ่ม!” นักเดินทางจื่อเวยพูดอย่างหยิ่งผยอง “เข้าใจเล็กน้อย… อะไร เจ้าต้องการให้พระเจ้าคนนี้สอนศาสตร์แห่งการช่างให้อย่างนั้นหรือ”
โม่เทียนเกอรีบตอบ “ถ้าศิษย์พี่ยินดีที่จะส่งต่อความรู้ของท่าน ศิษย์น้องจะตั้งใจหากระดูกของภรรยาท่านอย่างเต็มที่ที่สุด”
“เจ้าทำอย่างเต็มใจเสียตั้งแต่ตอนนี้ไม่ได้อย่างนั้นหรือ อย่าลืมไปเสียล่ะ ว่าชีวิตของเจ้าอยู่ในกำมือข้า” นักเดินทางจื่อเวยพูดอย่างขี้เกียจ
“…”
“ฮ่าๆ! เด็กน้อย เจ้านี่น่าสนใจยิ่งนัก” ระหว่างที่เห็นท่าทางของโม่เทียนเกอ นักเดินทางจื่อเวยก็หัวเราะอย่างยินดี เส้นใยพลังงานทางจิตวิญญาณหมุนวนรอบตัวนางในทันที “เอาละ เพื่อบอกความจริงกับเจ้า มันไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้สำหรับข้าที่จะส่งต่อศาสตร์แห่งการช่างให้เจ้า แต่… ค่อยพูดถึงมันหลังจากที่เจ้ารักษาสัญญาณได้ก่อนแล้วกัน ถ้าข้าสอนสิ่งที่เจ้าต้องการทั้งหมดในครั้งเดียว นั่นมันจะไม่น่าเบื่อแย่หรือ”
โม่เทียนเกอมีท่าทีที่สงบลง นักเดินทางจื่อเวยพูดถูก การขอให้เขาสอนนางในสิ่งที่นางต้องการเรียนรู้ ผลประโยชน์เหล่านี้จะได้มาง่ายๆ ได้อย่างไร
“โอ้! ว่าแต่…” นักเดินทางจื่อเวยเปลี่ยนหัวข้อทันที “เจ้านำหุ่นเชิดเหล่านั้นไปใช่หรือไม่”
“… ใช่” โม่เทียนเกอตอบอย่างซื่อตรงหลังจากนั้นจึงถามอย่างระแวดระวัง “ศิษย์พี่ต้องการพวกมันคืนหรือ”
“ใช่… มันคงเป็นเรื่องลำบากสำหรับข้าที่จะจัดการสิ่งต่างๆ โดยปราศจากหุ่นเชิดเหล่านั้น เอาอย่างนี้แล้วกัน เจ้าสามารถเอาหุ่นเชิดไปได้สองตัว แต่ทิ้งสี่ตัวที่เหลือไว้ให้ข้า เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน ข้าจะซ่อมมันและให้วิชาในการควบคุมพวกมัน เจ้าคิดว่าอย่างไร”
โม่เทียนเกอดีใจสุดขีดเมื่อได้ยินในสิ่งที่นักเดินทางจื่อเวยพูด “ศิษย์พี่ ท่านจะไม่คืนคำของท่านใช่ไหม”
นักเดินทางจื่อเวยส่งเสียงอย่างเยือกเย็น “ฮึ่ม” พร้อมพูดว่า “ด้วยเหตุอันใดที่ข้าจะต้องโกหกศิษย์น้องระดับการสร้างฐานแห่งพลังงานด้วยเล่า ข้าจะลดตัวไปได้อย่างไร!”
ยิ่งฉลาดมากแค่ไหน ก็ยิ่งหยิ่งทะนงมากเท่านั้น โม่เทียนเกอควบคุมตัวเองหลังจากนั้นจึงหยิบรูปปั้นหินสลักหกตัวออกมาทีละตัว โชคดี นางหยิบพวกมันมาและใส่ไว้ในกระเป๋าเอกภพหลังจากที่ชนะพวกมันได้แล้ว หากไม่อย่างนั้น นางก็คงจะไม่ได้ครอบครองผลประโยชน์นี้
นักพรตฟางเจิ้งผู้ซึ่งฟังบทสนทนาของพวกเขาหน้าเขียวด้วยความอิจฉา เขายกรูปปั้นหินสลักเหล่านั้นให้เพราะมันไร้ประโยชน์หลังจากที่พวกเขาทั้งสองคนทำมันพังไปแล้วและสามารถทำได้เพียงแค่แลกเป็นศิลาวิญญาณเท่านั้น เขาไม่ได้คาดคิดว่าเจ้าของสถานที่นี้จะปรากฏตัวออกมาและมอบข้อเสนอเช่นนี้ให้ ถ้าเขารู้ก่อนหน้านี้ เขาจะให้มันทั้งหมดได้อย่างไร ทั้งหมดนั่นคือหุ่นเชิดระดับการสร้างฐานแห่งพลังงานขั้นสุดท้าย! ถ้าเขาสามารถควบคุมพวกมันได้ ความแข็งแกร่งของเขาก็จะทวีคูณ! หลังจากครุ่นคิดเรื่องนี้ เขาก็ทำได้เพียงแค่โทษตัวเองที่โชคร้าย อั้ย!
“ศิษย์พี่…” ใช้ประโยชน์จากช่วงเวลาที่เส้นใยพลังงานวิญญาณกำลังซ่อมหุ่นเชิด นักพรตฟางเจิ้งถามด้วยความเคารพ “ได้โปรดอนุญาตให้ข้าได้ถาม… พวกข้าขอนำสมบัติที่อยู่บริเวณเส้นทางเดินหินจันทราเวทมนตร์ด้านนอกไปได้หรือไม่”
“ถ้าเจ้าสามารถ เจ้าก็เอามันไปได้เลย”
“…” นักพรตฟางเจิ้งนิ่งเงียบ เขาถามเรื่องนั้นเพราะเขาหวังว่าศิษย์พี่จะบอกพวกเขาถึงวิธีที่จะต่อต้านพลังของหินจันทราเวทมนตร์ แต่คำตอบของเขากลับ…
“เจ้าไม่ควรมุ่งมั่นอยู่กับสิ่งของตรงทางเดินนั่นนะ อย่าดูถูกทางเดินนั่นเด็ดขาด หินจันทราเวทมนตร์เหล่านั้นสามารถก่อม่านพลังได้เช่นกัน ถ้าเจ้าเอามันออกไป ม่านพลังจะเริ่มทำงานในทันทีและเมื่อถึงจุดนั้น ถ้ำเซียนแห่งนี้ทั้งหมดจะเปลี่ยนเป็นม่านพลังสังหาร”
พลังงานทางจิตวิญญาณพุ่งแทงทะลุออกจากหูของหุ่นเชิดรูปปั้นหินสลักพร้อมกับเสียงดัง “แคร๊ก” หลังจากนั้นไม่นาน หุ่นเชิดก็ยืนขึ้นทีละตัวหลังจากนั้นก็ยืนนิ่งถือกระบี่ไว้ในมือ แรงผลักดันของพวกมันแผ่กระจาย
หลังจากที่เขาซ่อมหุ่นเชิดเสร็จ นักเดินทางจื่อเวยพูด “ต้องอย่างนี้สิ มันไม่ใช่ว่าของเหล่านั้นจะดีมากมาย เจ้าจะรู้สึกโชคร้ายได้อย่างไร เด็กน้อย ข้าจะสอนเจ้าเกี่ยวกับวิธีที่จะควบคุมหุ่นเชิดพวกนี้ตอนนี้เลย”
หลังจากนั้นไม่นาน โม่เทียนเกอก็รู้สึกเจ็บที่ศีรษะอีกครัง ทันใดนั้น ข้อมูลบางอย่างก็ไหลเข้าสู่สมองนาง
หลายปีก่อนหน้านี้ ตอนที่โม่เหยาชิงส่งต่อศาสตร์แห่งซู่หนี่ว์ให้นาง จิตสัมผัสของโม่เหยาชิงก็ได้สลักวิถีแห่งศาสตร์ลงในสมองของนางโดยตรง อย่างไรก็ตาม ในตอนนั้น นางเป็นเพียงแค่มนุษย์ธรรมดา แต่ในตอนนี้ นางเป็นถึงผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังงานและนางก็ตั้งใจที่จะฝึกจิตสัมผัสของนาง อย่างไรก็ตาม การเผชิญหน้ากับส่วนของจิตสัมผัสที่ถูกทิ้งไว้จากผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ นางยังคงไม่มีความสามารถในการต้านทานได้แม้แต่น้อย
การเดินทางของนางในเส้นทางของการฝึกตนยังอีกยาวไกล…
“ในเมื่อเจ้าถามคำถามของเจ้าหมดแล้ว หยิบของเหล่านั้นแล้วออกไปจากหุบเขานี้เสีย”
“… ศิษย์พี่” โม่เทียนเกอพูดอย่างรีบเร่ง “ท่านยังไม่ได้บอกพวกเราเกี่ยวกับภรรยาท่าน! โรงเรียนเสวียนจีได้ถูกทำลายไปนานแล้ว และพวกเราก็ไม่รู้ว่าสถานการณ์ในตอนนั้นเป็นอย่างไร พวกเราควรจะไปมองหากระดูกของภรรยาท่านได้จากที่ไหนกัน”
“ข้าได้เตรียมทางออกให้กับสภาวะนี้ไว้นานแล้ว” นักเดินทางจื่อเวยพูดอย่างสบายๆ “มันมีตู้เล็กๆ อยู่ใต้โต๊ะซึ่งมีหยกบันทึกหลายแผ่นอยู่ข้างใน พวกเจ้าสามารถเอาไปได้คนละหนึ่งแผ่น ข้าบันทึกข้อมูลทุกอย่างที่พวกเจ้าต้องการอยู่ในแผ่นหยกบันทึกนั่น ถ้าเจ้ายังคงไม่สามารถหากระดูกของนางได้แม้จะมีแผ่นหยกบันทึกแล้ว ก็คิดเสียว่าพวกเจ้าโชคร้ายแล้วกัน!”
“เอาละ ทุกสิ่งที่ควรพูดก็ได้พูดไปหมดแล้ว ดังนั้นพระเจ้าผู้นี้จะพักผ่อนแล้ว หลังจากที่เจ้าหยิบของต่างๆ เจ้าก็เพียงแค่ต้องใช้หยกบันทึกในการเปิดทางออกแล้วเจ้าก็ไปได้ จำเอาไว้หลังจากสองร้อยปี พวกเจ้าจะต้องกลับมา!”
เมื่อเขาพูดจบ เส้นใยพลังงานทางจิตวิญญาณที่อยู่กลางห้องหินก็ค่อยๆ กระจายหายไป