ลำนำสตรียอดเซียน - ตอนที่ 170-2 เขตธารน้ำแข็งทางทิศเหนือสุด
ขณะที่ทั้งสองคนยืนอยู่บนยอดของธารน้ำแข็งและเผชิญกับลมหนาวและหิมะตกหนัก พวกเขารู้สึกหนาวนิดหน่อยอย่างไม่น่าเชื่อ เมื่อผู้ฝึกตนสร้างฐานแห่งพลังงานของเขา ไม่ว่าความหนาวเย็นหรือความร้อนก็ไม่สามารถทำอะไรพวกเขาได้ แต่ถึงอย่างนั้นลมหนาวนี้กลับทำให้ผู้ฝึกตนขั้นกลางของระดับการสร้างฐานแห่งพลังงานทั้งสองคนนี้รู้สึกหนาวได้อย่างไม่คาดคิด! เห็นได้ชัดว่านี่ไม่ใช่ลมธรรมดาแน่
โม่เทียนเกอประกบมือจากนั้นใช้พลังงานทางจิตวิญญาณเพื่อไล่ความเย็นภายในร่างกายของนางออกไป ทันทีหลังจากนั้นนางหันไปหานักพรตฟางเจิ้ง “สหายนักพรตฟางเจิ้ง ในเมื่อตอนนี้เราอยู่ที่นี่แล้ว เจ้ามีแผนหรือไม่”
พอได้ยินคำถามของนาง นักพรตฟางเจิ้งเงียบไปเป็นเวลาสั้นๆ ก่อนที่เขาจะตอบว่า “ก่อนหน้านี้ข้ากำลังจะกลับไปที่คุนอู๋ ข้าอยู่ในโลกมนุษย์แค่เพื่อตามหาพืชวิญญาณและยาสรรพโรควิญญาณ เนื่องจากตอนนี้ทุกอย่างเป็นปกติดีแล้ว ข้าควรจะไปตามทางของข้าก่อน” เขาหยุดครู่หนึ่งแล้วจึงถามโม่เทียนเกอกลับ “แล้วสหายนักพรตเยี่ยล่ะ เจ้าคิดอย่างไรเกี่ยวกับภารกิจนี้”
โม่เทียนเกอพูดแผ่วเบา “ด้วยความสามารถของเราในปัจจุบัน ภารกิจนี้ยากเกินจะรับมือ ข้อมูลทั้งหมดที่ศิษย์พี่จื่อเวยทิ้งไว้ให้เราล้าสมัยไปมากกว่าห้าพันปี มันคงจะยากสำหรับเราที่จะออกตามหาตามข้อมูลนั้นในปัจจุบัน ยิ่งไปกว่านั้น สถานที่ฝังศพของศิษย์พี่เสี่ยวต้องอันตรายมากแน่ ถ้านางเสียชีวิตอยู่ภายในโรงเรียน… โรงเรียนเสวียนจีของพวกเขาเชี่ยวชาญในปรัชญาแห่งม่านพลัง ดังนั้นสถานที่ฝังศพของผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณใหม่ของพวกเขาจะต้องเต็มไปด้วยกับดักนับไม่ถ้วนแน่นอน อย่างไรก็ตาม ถ้านางตายไปในขณะที่ตกอยู่ในอันตรายถึงชีวิตที่ไหนสักแห่งนอกโรงเรียน นั่นก็จะยิ่งเสี่ยงตายสำหรับพวกเรา สถานที่ซึ่งผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ประสบกับภัยอันตรายถึงตาย… มันจะไม่เป็นการรนหาที่ตายถ้าเราไปที่นั่นหรือ อีกอย่างหนึ่ง ไม่ว่าเราจะหานางพบหรือไม่ก็ยังเป็นปัญหาอยู่ดี”
นักพรตฟางเจิ้งจมอยู่ในความเงียบยาวนาน “… ข้าก็คิดเหมือนกัน สหายนักพรตเยี่ย พูดอีกอย่างก็คือ เจ้าไม่ได้วางแผนจะออกตามหานางในตอนนี้”
“สำหรับตอนนี้น่ะ ข้าจะพยายามหาข้อมูลเพิ่มก่อน ข้าจะตัดสินใจหลังจากข้าได้ข้อมูลที่แน่นอนมา”
หลังจากได้ยินสิ่งที่นางพูด นักพรตฟางเจิ้งแสดงความอิจฉาบนใบหน้า เขากล่าว “สหายนักพรตเป็นศิษย์ที่โดดเด่นของโรงเรียนชื่อดัง การรอรับข่าวก็คงจะง่ายสำหรับเจ้ามากกว่าผู้ฝึกตนเดี่ยวอย่างข้าเป็นแน่”
โม่เทียนเกอเพียงแค่ยิ้มแต่ไม่ได้พูดอะไร
นางอยู่ในจุดที่ได้เปรียบมากกว่าในภารกิจนี้ นักพรตฟางเจิ้งคงอยากจะร่วมมือกับนางในตอนแรกแต่ไม่อาจพูดออกมาดังๆ ได้ในท้ายที่สุด แต่นางเป็นศิษย์ของกลุ่มการฝึกตนใหญ่ อย่างไรเสีย นางก็หาข่าวคราวได้ง่ายกว่ามากและนางสามารถหาผู้ฝึกตนระดับสูงให้ไปเป็นเพื่อนนางได้อย่างง่ายดาย แต่เขา ในทางกลับกัน จะต้องพยายามอย่างหนักเพื่อให้ได้รับข่าวคราว ต่อให้การถามไถ่ของเขาได้ผลอะไรมาบ้าง แต่เขาก็ยังคงหาคนที่จะผจญความอันตรายไปกับเขาได้อย่างยากลำบากอยู่ดี ในเมื่อนางน่าจะสามารถทำภารกิจนี้สำเร็จได้ด้วยตัวเอง ทำไมนางจะต้องแบ่งทรัพย์สมบัติกับเขาด้วย เพราะฉะนั้นนักพรตฟางเจิ้งจึงกล้ำกลืนคำขอร้องเดิมของเขา เขาคิดในแง่ดีว่าถึงแม้เขาจะไม่ได้ทำภารกิจนี้ให้สำเร็จลุล่วง แต่เขาก็คงไม่ล้มเหลว
นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมโม่เทียนเกอจึงไม่ขอให้เขาร่วมมือกับนางเช่นกัน เห็นได้ชัดว่านางมีโอกาสสูงมากในการได้รับทรัพย์สมบัติทั้งหมด เพราะฉะนั้นทำไมนางถึงต้องแบ่งกับเขา ถึงแม้นางจะไม่ได้โลภมาก แต่นางก็ไม่ได้ใจดีถึงขนาดอยากจะแบ่งของของนางให้กับคนอื่น
เมื่อเข้าใจตรงกันไปโดยปริยาย ทั้งสองคนตัดสินใจว่าจะเลิกคุยกันเรื่องนี้และเปลี่ยนเรื่องไปปรึกษากันถึงสิ่งที่พวกเขากำลังเผชิญอยู่ “สหายนักพรตฟางเจิ้ง งั้นเจ้าก็อยากจะออกจากที่นี่ทันทีและกลับไปยังคุนอู๋งั้นหรือ”
“อืม แล้วสหายนักพรตเยี่ยเล่า”
“ข้าไม่รีบกลับไป ข้าไม่คิดว่าเป็นความคิดที่เลวร้ายนักหากจะลองเดินดูรอบๆ สถานที่นี้”
พอได้ยินคำตอบของโม่เทียนเกอ นักพรตฟางเจิ้งเดาว่านางคงเป็นศิษย์ของกลุ่มที่มีชื่อเสียงที่ต้องการหาประสบการณ์ภาคสนามบ้าง
ทั้งสองคนเพ่งมองที่เขตธารน้ำแข็งที่ลมแรงและเต็มไปด้วยหิมะซึ่งแผ่ขยายออกไปไกลสุดลูกหูลูกตา จากนั้นจึงพูดขึ้นพร้อมกัน “ถ้างั้นเราคงต้องลากันที่นี่…”
ถึงตอนนี้พวกเขายิ้มให้แก่กัน โม่เทียนเกอประกบมือเป็นการอำลา “ถ้าเช่นนั้น สหายนักพรตฟางเจิ้ง ข้าคงต้องขอลา”
นักพรตฟางเจิ้งก็ประกบมือกลับเช่นกันและพูดว่า “ข้าจะมุ่งหน้าไปทางใต้ สหายนักพรตเยี่ย สำนักเจิ้งฝ่าอยู่ไม่ไกลจากที่นี่ เจ้าสามารถเดินไปทางเหนือเพื่อไปถึงที่นั่น”
โม่เทียนเกอพยักหน้า “ขอบคุณมาก”
หลังจากร่ำลากันแล้ว ทั้งสองคนก็หยุดพูดคุย คนหนึ่งไปทางทิศเหนือ อีกคนหนึ่งไปทางทิศใต้
ท่ามกลางพายุหิมะ โม่เทียนเกอพึมพำอย่างลังเลอยู่พักหนึ่งและในที่สุดก็เรียกผ้าเช็ดหน้าไหมขาวออกมา หลังจากนั้นนางจึงเหาะไปทางเหนือ
ในหมู่กลุ่มการฝึกตนที่ยิ่งใหญ่ทั้งเจ็ดในขั้วท้องฟ้า สำนักเจิ้งฝ่าเป็นเพียงกลุ่มเดียวที่ไม่ได้ตั้งอยู่ในคุนอู๋ มันตั้งอยู่ในแถบธารน้ำแข็งทางทิศเหนือสุดและมุ่งความสนใจไปที่ผู้ฝึกตนที่มีรากวิญญาณธาตุน้ำผู้ที่ฝึกเวทคาถาที่มีองค์ประกอบของน้ำแข็ง ไม่แน่ชัดว่าเพราะเหตุใด แต่ผู้อยู่อาศัยในบริเวณนี้ทั้งหมดที่ครอบครองรากวิญญาณล้วนมีรากวิญญาณธาตุน้ำกันเป็นส่วนใหญ่ ผลก็คือสำนักเจิ้งฝ่าจึงกลายเป็นอิสระมากและมีอิทธิพลมากในเขตธารน้ำแข็งทางทิศเหนือสุด มากเสียจนพวกเขาสามารถยืนหยัดได้อยู่ในระดับเดียวกับกลุ่มการฝึกตนที่ยิ่งใหญ่หลายๆ กลุ่มในคุนอู๋
กระนั้นก็ตาม ที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ที่ไม่ปกติของพวกเขาก็มีข้อเสียเปรียบเช่นกัน
เขตธารน้ำแข็งนั้นหนาวเย็นอย่างรุนแรง ดังนั้นจึงไม่มีมนุษย์ธรรมดาอยู่ที่นั่นมากนัก มนุษย์เป็นรากฐานสำหรับผู้ฝึกตน สำนักเจิ้งฝ่าจึงไม่สามารถพัฒนาต่อได้ ถูกบีบบังคับให้ต้องตั้งสาขาในคุนอู๋ แต่ถึงอย่างนั้น เขตธารน้ำแข็งทางทิศเหนือสุดก็เป็นสถานที่ที่ได้เปรียบที่สุดสำหรับผู้ฝึกตนที่ฝึกเวทคาถาน้ำแข็ง ดังนั้นสำนักใหญ่ของพวกเขาจึงต้องปักหลักอยู่ที่นั่น
เหตุผลเหล่านี้ทำให้เกิดเป็นปรากฏการณ์ ไม่มีผู้ฝึกตนในขั้วท้องฟ้าคนไหนกล้าดูถูกสำนักเจิ้งฝ่า แต่ก็ไม่มีใครมองในแง่ดีเกี่ยวกับแนวโน้มการเติบโตของพวกเขาเหมือนกัน เพราะจุดอ่อนและจุดแข็งของพวกเขาผูกอยู่ด้วยกัน พวกเขาไม่สามารถแข็งแกร่งขึ้นได้แต่ก็ไม่ง่ายที่จะทำลายเช่นกัน
ในเมื่อนางมาถึงที่นี่แม้ว่าจะโดยบังเอิญก็ตาม โม่เทียนเกอคิดว่านางน่าจะลองหาประสบการณ์ที่นี่ดู
เนื่องจากสำนักเจิ้งฝ่าสามารถก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในเจ็ดกลุ่มการฝึกตนที่ยิ่งใหญ่ในขั้วท้องฟ้าได้ด้วยการพึ่งพาวิชาการฝึกตนที่มุ่งเน้นกับธาตุหนึ่งเพียงอย่างเดียว เห็นได้ชัดว่าพวกเขามีเอกลักษณ์ของตัวเอง การเรียนรู้อะไรบางอย่างไปจากที่นี่จะต้องเป็นประโยชน์กับนางแน่
ในโลกแห่งการฝึกตนปัจจุบัน นอกเหนือจากมารผู้ฝึกตน ผู้ฝึกตนสายกระบี่ ผู้ฝึกตนสายเครื่องราง ผู้ฝึกตนนักสู้ และผู้ฝึกตนสายแพทย์ที่ว่านั้นทั้งหมดล้วนฝึกหลักเต๋า หลักเต๋าทั้งกว้างครอบคลุมและลึกซึ้ง นอกจากว่าคนคนหนึ่งจะได้เห็น ได้ยิน คิด พูดคุย และประสบกับหลายสิ่ง คนคนนั้นไม่มีทางเติบโตได้ เพราะฉะนั้นหลังจากสภาวะจิตของคนเข้าถึงระดับหนึ่ง คนคนนั้นจะต้องไม่พยายามทำการปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิอย่างไร้ประโยชน์เพื่อบรรลุผ่านดินแดนจากดินแดนการหลอมรวมพลังงานวิญญาณไปจนสุดถึงดินแดนจิตวิญญาณใหม่ การฝึกตนไม่ได้เกี่ยวข้องแค่กับการฝึกตนเท่านั้น
ยิ่งนางเหาะไปทางเหนือมากเท่าไร แรงกดดันจากลมหนาวก็ยิ่งรุนแรงขึ้นเท่านั้น หลังจากเหาะมาครึ่งวัน โม่เทียนเกอรู้ตัวว่าทั้งร่างของนางแข็งอย่างไม่น่าเชื่อ โม่เทียนเกอรู้สึกงุนงง ระดับการฝึกตนของนางอยู่ในจุดสูงสุดของขั้นกลางดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงานแล้ว แต่นางกลับไม่สามารถต้านทานลมหนาวนี้ได้อย่างไม่น่าเชื่อ แล้วผู้ฝึกตนระดับต่ำของสำนักเจิ้งฝ่าล่ะ เป็นไปได้หรือไม่ว่าพวกเขาไม่เคยออกจากสำนัก หรือบางทีอาจจะมีแต่นางที่ไม่รู้ความลับของสถานการณ์นี้
ไม่สามารถคิดหาเหตุผลได้ โม่เทียนเกอส่ายหน้าแล้วจึงมองหารอยแยกในภูเขาน้ำแข็งที่ซึ่งนางสามารถหลบภัยก่อน นางพบช่องแคบๆ ระหว่างภูเขาน้ำแข็งสองลูก โชคดีที่นางมีรูปร่างเล็กกะทัดรัด นางจึงสามารถซุกเข้าไปในช่องนั้นได้
ตอนนี้เมื่อนางไม่ถูกลมหนาวจู่โจมอีกต่อไป โม่เทียนเกอก็รู้สึกถึงความอบอุ่นที่กลับคืนสู่ร่างนางได้ทันที ทั้งน้ำแข็งหรืออากาศเย็นไม่ได้มีผลกระทบต่อนางอย่างแท้จริง แค่ลมหนาวนั้นที่เป็นปัญหา ดูเหมือนว่ามันจะพัดพาเวทมนตร์ของผู้ฝึกตนให้หายไป ตอนนี้โม่เทียนเกอค่อนข้างเสียใจที่ไม่ได้ถามนักพรตฟางเจิ้งถึงสถานที่แห่งนี้ เนื่องจากเขาเคยมาที่นี่มาก่อน เขาก็น่าจะรู้เกี่ยวกับลมหนาวนี้
ภายในรอยแยกระหว่างภูเขา โม่เทียนเกอกำลังนั่งขัดสมาธิและโคจรพลังงานทางจิตวิญญาณภายในร่างกายนาง หลังจากเคลื่อนมันไปรอบๆ วงโคจรจุลจักรวาล โม่เทียนเกอรู้สึกว่าทั้งร่างของนางอุ่นขึ้น บางที… นางไม่ควรจะหยุดเคลื่อนพลังงานทางจิตวิญญาณของนาง
ด้วยความคิดเช่นนั้นในใจ โม่เทียนเกอยืนขึ้น พร้อมที่จะบินต่อ เมื่อนางยืนขึ้น อย่างไรก็ตาม นางพบว่ารองเท้าของนางเปียกไปหมดแล้วตอนนี้
ก่อนที่นางจะออกมา นางทำเสื้อผ้าสองชุดใหม่เป็นพิเศษที่ไม่ได้มีการบ่งบอกว่านางเป็นสมาชิกของโรงเรียนเสวียนชิงแต่ทำมาจากวัสดุเดียวกัน หลังจากมันผ่านการทำให้บริสุทธิ์ด้วยไฟสวรรค์แท้ ตอนนี้มันก็จัดได้ว่าเป็นเครื่องมือวิญญาณและไม่ได้รับผลกระทบจากลมหนาวแต่อย่างใด แต่ถึงอย่างนั้น นางกลับลืมทำรองเท้าหุ้มข้อคู่ใหม่และเพิ่งมารู้ตัวว่ามันมีสัญลักษณ์ของโรงเรียนเสวียนชิงและเมฆมงคลรูปทรงไท่จี๋อยู่บนนั้นหลังจากนางออกมาแล้ว เพราะเหตุนั้น เมื่อตอนที่นางอยู่กับตระกูลเยี่ย นางจึงเปลี่ยนไปใส่รองเท้าหุ้มข้อคู่ใหม่อย่างสบายๆ
ขณะที่นางกำลังจะเปลี่ยนรองเท้า นางก็หยุดกะทันหัน นางเพิ่งจะบังเอิญได้รับรองเท้าคู่ใหม่มาจากในถ้ำเซียนของนักเดินทางจื่อเวยไม่ใช่หรือ
หลังจากคิดสักพัก โม่เทียนเกอเอารองเท้าย่ำเมฆาออกมาใส่ ทันทีที่นางใส่ โม่เทียนเกอรู้สึกว่ารองเท้าดูเหมือนจะปรับขนาดด้วยตัวเองโดยอัตโนมัติตามขนาดเท้าของนางจนกระทั่งมันใส่ได้พอดี ไม่นานหลังจากนั้น กลุ่มควันพลังงานทางจิตวิญญาณแผ่ออกมาจากรองเท้าและรวมกันอยู่บนเท้านาง นางเหยียบลงไปบนพื้นด้วยรองเท้าคู่ใหม่แต่เท้าของนางดูเหมือนจะลอยอยู่เท่านั้น ความคิดหนึ่งแวบเข้ามาในจิตใจนาง นางอาจจะสามารถลอยขึ้นในอากาศได้โดยไม่ต้องมีผ้าเช็ดหน้าไหมขาว! แล้วจู่ๆ ทันใดนั้นนางก็กำลังเหาะห่างออกไปอีกหลายร้อยจั้ง!
โม่เทียนเกอทั้งตกใจและดีใจที่ค้นพบถึงเรื่องนี้ ตอนแรกนางคาดว่ารองเท้าจะสามารถเพิ่มความเร็วในการบินของนาง แต่นางก็ต้องประหลาดใจ ที่จริงแล้วมันคืออาวุธเวทบินได้! ด้วยวิธีนี้นางก็จะสามารถบินได้โดยไม่ต้องใช้ผ้าเช็ดหน้าไหมขาวในอนาคต
ถึงแม้หนึ่งในคุณสมบัติของผ้าเช็ดหน้าไหมขาวคือการบิน แต่จงมู่หลิงบอกว่าตอนแรกมันคืออาวุธเวทป้องกันตัว คุณสมบัติการบินของมันเพิ่งเพิ่มเข้ามาภายหลังเมื่อเขาดัดแปลงมัน ดังนั้นมันจึงด้อยกว่าอาวุธเวทที่สร้างมาเป็นอาวุธเวทบินได้โดยเฉพาะ แน่นอนว่านั่นคือจากมุมมองของเขาในฐานะเทพผู้ฝึกตน แต่จากมุมมองของผู้ฝึกตนการก่อเกิดแก่นขุมพลังหรือจิตวิญญาณใหม่ ความเร็วในการบินของผ้าเช็ดหน้าไหมขาวไม่เลวเลยทีเดียว
ในทางกลับกัน รองเท้าย่ำเมฆานี้เป็นของผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณใหม่ขั้นสูงสุดและมันก็เป็นอาวุธเวทบินได้ที่ปรับตามผู้ใช้เช่นกัน คาดว่ามันคงไม่น่าจะด้อยกว่าผ้าเช็ดหน้าไหมขาว ในอดีตนางต้องการใช้ผ้าเช็ดหน้าไหมขาวเพื่อทั้งบินและป้องกันตัวเองไปด้วย ดังนั้นบางครั้งนางจึงตกอยู่ในสถานการณ์ที่จัดการได้ยาก ด้วยรองเท้าคู่นี้ นางก็จะต่อสู้ด้วยพลังเวทง่ายดายขึ้นไม่ใช่หรือ
ด้วยความคิดเหล่านี้ โม่เทียนเกอรู้สึกมีความสุขขึ้น นางใช้รองเท้าย่ำเมฆาทันทีพร้อมกับบินไปข้างหน้าด้วยพละกำลังเต็มแรง
ตอนนี้หากใครมองขึ้นมา พวกเขาจะเห็นแสงเหินสีขาวข้ามผ่านฟากฟ้า ถึงแม้แรงเคลื่อนไหวของมันจะไม่ได้รุนแรงขนาดนั้น แต่ความเร็วของมันเหนือกว่าความเร็วของผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังงานไปมากโข และเกือบจะเทียบเท่าได้กับความเร็วของผู้ฝึกตนการก่อเกิดแก่นขุมพลังเลยทีเดียว!