ลำนำสตรียอดเซียน - ตอนที่ 172-2 ทุกคนต่างก็มีโชคดีของตัวเอง
“หากเป็นเช่นนั้น ไม่น่าแปลกใจที่ศิษย์น้องเยี่ยทำการบรรลุผ่านดินแดนได้เร็วนัก ไม่เพียงแต่เจ้าจะสร้างฐานแห่งพลังงานได้อย่างราบรื่น แต่เจ้ายังเข้าถึงจุดสูงสุดของขั้นกลางได้อย่างรวดเร็วมาก…” เจียงซั่งหังถอนหายใจแล้วจึงพูดต่อ “ทุกคนต่างก็มีโชคดีของตัวเอง ดังนั้นจึงไม่มีประโยชน์ที่จะอิจฉากัน”
“ศิษย์พี่เจียงก็เป็นศิษย์ทางการของสำนักเจิ้งฝ่าแล้ว ท่านจะอิจฉาข้าทำไมกัน คาดว่าด้วยอารมณ์ของศิษย์พี่เจียง การบรรลุเต๋าอันยิ่งใหญ่ก็ต้องเป็นไปได้แน่”
เจียงซั่งหังยิ้มเยาะตัวเอง “บรรลุเต๋าอันยิ่งใหญ่หรือ ข้ายังห่างไกลจากจุดนั้นมากนัก! ตอนนั้นข้าประเมินความสามารถของข้าสูงเกินไป ข้าคิดว่าบรรพบุรุษทั้งสองคนนั้นคอยกีดกันข้าและจงใจให้ความสำคัญกับเจียงเฉิงเสียนมากกว่า ที่จริงแล้วต่อให้พวกเขาไม่ได้กีดกันข้า แล้วมันจะมีความแตกต่างอะไรหรือ ข้าอาจจะสร้างฐานแห่งพลังงานได้อย่างราบรื่น แต่… อนาคตของข้าหลังจากสร้างฐานแห่งพลังงานก็ยังคงยากจะคาดเดา”
โม่เทียนเกอยังคงนิ่งเงียบ หากนางไม่ได้รับศาสตร์แห่งต้นกำเนิดที่เปลี่ยนนางจากคนที่มีรากวิญญาณห้าธาตุแสนอ่อนแอไปเป็นอัจฉริยะผู้ได้รับพรจากสวรรค์ เส้นทางการฝึกตนของนางก็คงเป็นเช่นนี้เหมือนกัน เมื่อนางยังอยู่ในดินแดนการหลอมรวมพลังงานวิญญาณ นางมักจะคิดว่าต่อให้เส้นทางไปสู่ความเป็นเซียนจะยากลำบาก แต่นางก็จะยังประสบความสำเร็จได้ตราบใดที่นางพยายามอย่างหนักมากพอ แต่หลังจากนางสร้างฐานแห่งพลังงานได้ อย่างไรก็ตาม นางก็รับรู้แล้วว่าการคาดเดาของนางนั้นไร้เดียงสาแค่ไหน ต้นทุน วิชาการฝึกตน อารมณ์ โชค ทุกอย่างล้วนสำคัญเท่ากันทั้งหมด
“อย่างน้อยศิษย์พี่เจียงก็ก้าวเข้าสู่ดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงานได้อย่างราบรื่น ไม่ใช่หรือ”
เจียงซั่งหังพูดพร้อมกับถอนใจ “ข้าสร้างฐานแห่งพลังงานสำเร็จก็เพียงเพราะข้าเข้าสำนักเจิ้งฝ่ามา ย้อนไปตอนนั้น ถึงแม้ว่าข้าจะได้รับยาสร้างฐานแห่งพลังและยาเพิ่มพลังการก่อเกิด แต่ข้าก็ล้มเหลวในการพยายามลองครั้งแรก ในภายหลัง หลังจากข้ามาที่เขตทิศเหนือสุดและเข้าร่วมสำนักเจิ้งฝ่า ข้าจึงเปลี่ยนวิชาการฝึกตนไปเป็นวิชาการฝึกตนธาตุน้ำแข็งระดับสูงของสำนักเจิ้งฝ่า ในท้ายที่สุดข้าก็ชนะการแข่งขันย่อยภายในของสำนักและได้รับคำชี้แนะจากศิษย์พี่ระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลัง แค่ตอนนั้นล่ะที่ข้ากล้าเข้าสู่การปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิอีกครั้ง โชคดีที่ครั้งนั้นข้าทำสำเร็จ”
“…” ด้วยรากวิญญาณสี่ธาตุที่เจียงซั่งหังมี เขาจัดว่าโชคดีจริงๆ ที่สร้างฐานแห่งพลังงานได้ในการพยายามครั้งที่สอง ที่จริงแล้วนางก็โชคดีเหมือนกันไม่ใช่หรือ “เมื่อข้าสร้างฐานแห่งพลังงาน ข้าใช้ยาสร้างฐานแห่งพลังไม่น้อยไปกว่าสี่เม็ด ถ้าไม่ใช่เพราะข้าได้รับยาสร้างฐานแห่งพลังเล็กน้อยเป็นรางวัลจากท่านอาจารย์ของข้า ข้าก็ไม่รู้ว่าข้าจะสร้างฐานแห่งพลังงานสำเร็จตอนไหนเหมือนกัน” โม่เทียนเกอเองก็ถอนใจเช่นกัน นางไม่รู้เรื่องรู้ราวเมื่อนางยังอยู่ในดินแดนการหลอมรวมพลังงานวิญญาณ แต่บัดนี้ที่นางสร้างฐานแห่งพลังงานได้แล้ว ในที่สุดนางก็รู้ว่ามันยากเย็นแค่ไหนขณะที่นางระลึกถึงขั้นตอนนั้น
ทั้งสองคนถอนหายใจออกมาพร้อมกัน พวกเขาต่างเหลือบมองกัน และไม่นานหลังจากนั้นทั้งคู่ก็หัวเราะเบาๆ ออกมา
หลังจากครุ่นคิด โม่เทียนเกอพูดอย่างแนบเนียน “อีกอย่างหนึ่ง ศิษย์พี่เจียง ตอนนี้อารมณ์ของท่านดูเหมือนจะแตกต่างไป…”
เจียงซั่งหังหัวเราะเมื่อได้ยินเช่นนั้น “ข้ารู้ว่าเจ้าหมายความว่าอะไร เจ้าคิดว่าข้าไม่น่ารำคาญเหมือนอย่างที่เคยเป็นใช่ไหม”
โม่เทียนเกอหัวเราะเช่นกันแต่นางไม่ได้ปฏิเสธ
เจียงซั่งหังพูด “การออกจากตระกูลเจียงและประสบกับหลายต่อหลายสิ่งทำให้ข้ารู้ว่าโลกนี้กว้างใหญ่เพียงใด… เมื่อข้ายังอยู่ในตระกูลเจียง ข้าใช้วิชาลับเพื่อฝึกตนอย่างเร็วและมันก็ทำลายร่างกายของข้า ดังนั้นอารมณ์ของข้าจึงแปลกมาก เมื่อข้าเข้าสำนักเจิ้งฝ่า ข้าทิ้งวิชาการฝึกตนเดิมของข้าและฝึกวิชาธาตุน้ำแข็งระดับสูงของสำนักเจิ้งฝ่าแทน เพราะฉะนั้นอารมณ์ของข้าจึงไม่เหมือนกับที่เคยเป็น”
“อย่างนี้นี่เอง…” ไม่น่าแปลกใจที่เขาให้ความรู้สึกที่แตกต่างไปโดยสิ้นเชิงในตอนนี้ วิชาลับที่เขาใช้เมื่อก่อนคงจะโน้มเอียงไปทางความเยือกเย็นชนิดที่หมองหม่น ในขณะที่วิชาการฝึกตนธาตุน้ำแข็งระดับสูงในปัจจุบันของเขาจะโน้มเอียงไปทางความเยือกเย็นชนิดที่ชัดเจนมากกว่า อีกอย่างหนึ่ง เมื่อไม่มีตระกูลเจียงคอยผูกมัดเขา มันก็เป็นธรรมดาที่เขาจะรู้สึกสบายใจไร้กังวลมากกว่า
“ยิ่งไปกว่านั้น ชนเผ่าทุกคนก็เคารพข้าที่นี่และสำนักเจิ้งฝ่าไม่ได้คอยบังคับอะไรข้า ทุกอย่างดีเยี่ยม ดังนั้นจึงไม่มีเหตุผลที่ข้าต้องรู้สึกขมขื่นอีกต่อไป”
โม่เทียนเกอก็คิดว่าสมเหตุสมผลเช่นกัน สภาพแวดล้อมที่อยู่จะส่งผลกระทบต่อนิสัยของพวกเขา ย้อนกลับไปตอนที่นางอยู่ในสำนักอวิ๋นอู้ นางต้องคอยระวังกับทุกสิ่งแม้กระทั่งสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ดังนั้นจิตใจของนางจึงว้าวุ่น นางมักจะยิ้มให้ทุกคนไม่ว่าอย่างไรก็ตามและนางมักจะกลัวว่าจะทำให้คนอื่นโกรธเคืองเสมอแม้เพียงนิดเดียว อย่างไรก็ตาม ในโรงเรียนเสวียนชิง ระดับการฝึกตนของนางสูงมากพอและนางก็มีทั้งตัวตนและสถานะ ดังนั้นบุคลิกของนางจึงเริ่มจะค่อยๆ เปิดเผยมากขึ้นและนางก็ได้เรียนรู้ที่จะหัดใช้อำนาจบ้างเช่นกัน
“ศิษย์น้องเยี่ยก็เปลี่ยนไปเหมือนกันนะ…” เจียงซั่งหังมองนางขึ้นๆ ลงๆ และยิ้ม “ศิษย์น้องเยี่ยคนเก่ายังดูเหมือนเด็ก แต่… ตอนนี้เจ้าถือว่าเป็นเทพธิดาได้แล้ว”
นี่เป็นคำชมหรือ โม่เทียนเกอรู้สึกแปลกนิดหน่อย ถึงแม้นางจะเปลี่ยนไปใส่เสื้อผ้าผู้หญิง แต่นางก็มักจะใส่ชุดชาวลัทธิเต๋าตัวกว้างที่มีแขนเสื้อกว้างและเกล้าผมเป็นมวยสูงแบบชาวลัทธิเต๋า แม้แต่เครื่องประดับเพชรที่ฉินซีให้นางสมัยก่อนก็ยังไม่เคยถูกเอามาใช้… การนึกถึงชื่อนั้นทำให้นางรู้สึกงุนงง พวกเขาไม่ได้เจอกันมาสิบปี ดังนั้นนางจึงไม่รู้ว่าเขายังคงอยู่ในการปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิหรือไม่ ท่านอาจารย์ของนางบอกว่าเพราะมีอะไรมากมายหลายอย่างในจิตใจของเขา เขาน่าจะล้มเหลวในการสร้างจิตวิญญาณใหม่ แต่เขาก็ยังยืนกรานที่จะทำมัน นางรู้ว่าเขาไม่ใช่คนใจร้อนเมื่อเป็นเรื่องการฝึกตน แล้วอะไรทำให้เขารีบเร่งที่จะสร้างจิตวิญญาณใหม่ของเขานัก
“ศิษย์น้องเยี่ย! ศิษย์น้องเยี่ย!”
เมื่อเห็นสีหน้าสงสัยของเจียงซั่งหัง โม่เทียนเกอจึงรู้ตัวว่าจิตใจของนางล่องลอยไปชั่วขณะ ขณะที่รู้สึกกลุ้มใจกับตัวเอง นางพูดว่า “ขอโทษ ศิษย์พี่เจียง…”
เจียงซั่งหังมองนางเหมือนมีคำถามแต่สุดท้ายเขาก็แค่ส่ายหน้าและไม่ได้ถามอะไร เขากลับพูดถึงอีกเรื่องหนึ่งแทน “เจ้าบอกว่าศิษย์น้องฉินเป็นศิษย์ของประมุขเต๋าจิ้งเหอ งั้นก็หมายความว่า… เจ้าทั้งสองคนตอนนี้เป็นสหายศิษย์ที่อยู่ภายใต้ท่านอาจารย์คนเดียวกันหรือ”
“… ใช่”
“ในเมื่อเขาเป็นศิษย์ของกลุ่มการฝึกตนที่มีชื่อเสียงอย่างโรงเรียนเสวียนชิงและถึงขนาดมีผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่เป็นอาจารย์ของเขา ทำไมเขาถึงต้องเข้าไปที่สำนักอวิ๋นอู้ด้วย เขาอยู่ที่นั่นตั้งสามปีด้วยซ้ำ…”
“เอ…” นางก็ไม่แน่ใจกับเรื่องนี้เช่นกัน อีกอย่างนี่ก็เป็นเรื่องส่วนตัวของฉินซี นางจะพูดถึงคงไม่เหมาะ
เมื่อสังเกตเห็นสีหน้ากระอักกระอ่วนของนาง เจียงซั่งหังจึงพูดว่า “ข้าแค่ถามเล่นๆ น่ะ หากเจ้าไม่อยากพูด เราไม่จำเป็นต้องพูดถึงก็ได้”
โม่เทียนเกอถอนใจด้วยความโล่งอก จากนั้นนางยิ้มและอธิบายว่า “นี่เป็นเรื่องส่วนตัวของศิษย์พี่ฉิน คงไม่เหมาะที่ข้าจะพูดถึงมัน”
“เป็นตัวข้าเองที่หยาบคายเกินไป” เจียงซั่งหังปล่อยคำถามนั้นไปแต่ถามนางอีกคำถามแทน “ถ้างั้นแล้วศิษย์น้องฉินตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง”
“… สบายดีมาก” คำพูดที่นางอยากจะพูดติดอยู่ที่มุมปากแต่สุดท้ายนางก็กล้ำกลืนมันลงไป “ศิษย์พี่ฉินทำการบรรลุผ่านดินแดนได้เร็วกว่าข้าเสียอีก”
“จริงหรือ” เจียงซั่งหังถามด้วยความประหลาดใจ เขาคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงพูดว่า “ปีนั้นเขาเป็นแค่ผู้ฝึกตนการหลอมรวมพลังงานวิญญาณ แต่เขาก็เป็นศิษย์ของผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่แล้ว… เป็นไปได้หรือไม่ว่าต้นทุนของเขาจะยอดเยี่ยมมาก” หลังจากเขาพูดเช่นนั้น สายตาของเขาหันเหไป เขารู้ว่าศิษย์น้องเยี่ยมีต้นทุนอย่างไร แต่นางก็ยังถูกผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณใหม่รับเข้าเป็นศิษย์ เพราะเหตุนั้น เขาจึงสงสัยว่านางจะถูกรับเข้าไปเพราะเห็นแก่ศิษย์น้องฉิน
“ก็ประมาณนั้น…” โม่เทียนเกอพูดแผ่วๆ “ศิษย์พี่ฉินเป็นผู้สืบสกุลสายข้างเคียงของท่านอาจารย์ข้าและต้นทุนของเขาก็ยอดเยี่ยม คาดว่าการเข้าสู่ดินแดนจิตวิญญาณใหม่ก็ไม่น่าจะเป็นไปไม่ได้”
“เข้าสู่ดินแดนจิตวิญญาณใหม่…” หลังจากได้ยินดังนั้น เจียงซั่งหังอดไม่ได้ที่ต้องพูดว่า “ศิษย์น้องฉินตอนนี้ก็อยู่ในดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงานเหมือนกันไม่ใช่หรือ ต่อให้เขาเป็นอัจฉริยะที่มีรากวิญญาณเดี่ยว แต่การเข้าสู่ดินแดนจิตวิญญาณใหม่สำเร็จไม่ใช่เรื่องแน่นอนสักหน่อย…”
แต่ถึงอย่างนั้น โม่เทียนเกอก็แค่เผยรอยยิ้มน้อยๆ ราวกับว่านางไม่เห็นด้วยกับความคิดเห็นของเขา ดังนั้นเขาจึงเปลี่ยนประเด็น “ในคนห้าคนที่บ้านของเราตอนนั้น ศิษย์น้องสวีตายไป และศิษย์น้องฉินก็ออกมาพร้อมกับเรา ดังนั้นคนเดียวที่ยังเหลืออยู่ในสำนักอวิ๋นอู้คือศิษย์พี่หลิ่วคนนั้น ข้าสงสัยว่าเขาจะมีความสุขไหมกับความสำเร็จของเขาในตอนนี้”
เจียงซั่งหังมีรอยยิ้มเยาะอยู่บนใบหน้าขณะที่เขาพูดถึงหลิ่วอีเตาเหมือนกับว่าเขารังเกียจ
โม่เทียนเกอย่นคิ้วเล็กน้อย นางถามด้วยความสับสน “ศิษย์พี่เจียง ท่านไม่ได้มีปัญหาอะไรกับศิษย์พี่หลิ่วในตอนนั้นใช่ไหม”
“แน่นอนว่าไม่มีหรอก”
“เช่นนั้นแล้วทำไมท่าน…”
เจียงซั่งหังพูดเยาะเย้ยอีกครั้ง “ตอนแรกข้าคิดว่าเขาเป็นคนที่ยึดติดกับความสำคัญของมิตรภาพ ซึ่งหาได้ยากในหมู่ผู้ฝึกตน ใครจะไปรู้ว่าวันหนึ่งข้าจะค้นพบความลับของเขาเข้าจริงๆ”
“ความลับ” โม่เทียนเกอประหลาดใจ
“ใช่ ความลับ” เจียงซั่งหังถามอย่างเย็นชา “เจ้ารู้หรือไม่ว่าศิษย์น้องสวีตายอย่างไร”
“ในการทดสอบเพื่อให้ได้รับยาสร้างฐานแห่งพลัง…” จู่ๆ โม่เทียนเกอก็หยุดกลางคัน ในเมื่อเจียงซั่งหังพูดอย่างนั้น หรือว่าการตายของสวีจิ้งจืออาจจะมีอะไรเกี่ยวข้องกับหลิ่วอีเตา
เมื่อเขาเห็นสีหน้าของนาง เจียงซั่งหังพยักหน้าอย่างเย็นชา “เจ้าควรจะเดาได้ว่าข้าหมายความว่าอะไร ข้าเห็นพวกเขาโดยบังเอิญเมื่อปีนั้นในป่า ข้าเห็นกับตาตัวเองว่าพวกเขาโดนโจมตีจากทุกด้าน แต่ทันทีที่ถึงช่วงเวลาคับขัน ศิษย์พี่หลิ่วไม่เตือนศิษย์น้องสวีถึงการโจมตีและใช้ข้อได้เปรียบของความจริงที่ว่าพวกคนโจมตีไม่สังเกตเห็นเขาเพื่อยืดเวลาให้ตัวเองหนีไปได้ เขาปล่อยให้ศิษย์น้องสวีถูกตีวงล้อมโดยผู้ฝึกตนสำนักจื่อซย่าทั้งๆ ที่ก็รู้ว่าเขาจะต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย”
“อะไรนะ!” ใบหน้าโม่เทียนเกอซีดเผือด นางกำลังจะถามเจียงซั่งหังว่าทำไมเขาถึงไม่ทำอะไรเมื่อเขาเห็นทุกอย่าง แต่หลังจากพิจารณาอย่างรอบคอบแล้วนางก็ไม่ได้ถาม นอกจากอารมณ์ของเจียงซั่งหังในตอนนั้น การต่อสู้ครั้งนั้นคงจะต้องจบลงด้วยการพ่ายแพ้แน่ ดังนั้นเขาจึงไม่มีเหตุผลอะไรจะต้องรนหาที่ตาย อย่างไรก็ตาม การมองอยู่ด้านข้างก็เรื่องหนึ่ง แต่การทิ้งสวีจิ้งจือไว้ให้ต้องพลีชีพนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่งเลย!
นางครุ่นคิดถึงเรื่องนี้อีกครั้ง เมื่อนางเจอหลิ่วอีเตาครั้งก่อน เขาโมโหกับการตายของสวีจิ้งจือมาก… หรือว่าบางทีเขาอาจจะรู้สึกผิด ในเมื่อตัวเขาเองทำให้เกิดความวุ่นวายนั้น เขาคงจะโกรธพวกคนที่ทำให้เขาต้องตัดสินใจเช่นนั้นมากยิ่งขึ้น
โม่เทียนเกอพูดช้าๆ “ศิษย์พี่หลิ่ว… ก็สร้างฐานแห่งพลังงานได้เช่นกันแล้วตอนนี้ ข้าเจอเขาครั้งหนึ่ง ตอนนี้เขาเป็นศิษย์ของผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังของสำนักอวิ๋นอู้”
“งั้นหรือ” เจียงซั่งหังเยาะเย้ย แต่สีหน้าของเขาแสดงให้เห็นความเฉยเมยที่สุด “ข้าออกจากสำนักอวิ๋นอู้มานานแล้วและข้าก็ไม่มีเจตนาจะกลับไปอีกในอนาคต เขาจะเป็นอย่างไรมันก็ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของข้า”
โม่เทียนเกอไม่ได้พูดอะไร นางกำลังคิดเหมือนกัน มันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมากกว่าสิบปีมาแล้ว เพราะฉะนั้นถ้าหลิ่วอีเตาทำผิดต่อสวีจิ้งจือแล้วจะทำไมหรือ ไม่ว่าอย่างไรนางก็คงไม่ต้องยุ่งเกี่ยวอะไรกับคนผู้นั้นอีก
แค่เรื่องนี้ทำให้นางรู้สึกอ่อนไหว แน่นอนว่าคนเราอาจจะรู้จักคนผู้หนึ่งมาเป็นเวลานานโดยไม่เข้าใจถึงนิสัยธาตุแท้ของพวกเขาเลยก็ได้