ลำนำสตรียอดเซียน - ตอนที่ 174 แดนแห่งมังกรซ่อนลาย
เมื่อพวกเขาทอดสายตามองทิวทัศน์กันจนพอใจแล้ว เจียงซั่งหังพูดว่า “ศิษย์น้องเยี่ย เจ้ารู้หรือไม่ เขตธารน้ำแข็งทางทิศเหนือสุดนี้ที่จริงแล้วคือมหาสมุทร”
โม่เทียนเกอประหลาดใจ “มหาสมุทรหรือ”
เจียงซั่งหังชี้ไปทางเหนือ “ตรงนั้น แถบทิศเหนือของเขตธารน้ำแข็ง”
โม่เทียนเกอมองเท่าที่สายตาจะมองเห็นได้ ทว่านางก็ไม่เห็นอะไรเป็นพิเศษ
เจียงซั่งหังกระโดดขึ้นบนเครื่องมือเวทบินได้ของเขา “ไปกันเถอะ!”
ครั้นเห็นเขาดูกระตือรือร้นมาก โม่เทียนเกอเองก็ลอยขึ้นสู่ท้องฟ้าเช่นกัน
เจียงซั่งหังเห็นนางบินอยู่กลางอากาศโดยไม่มีเครื่องมือเวทใดๆ ช่วยมาแล้ว ตอนนี้เขาจึงอดไม่ได้ที่ต้องถามว่า “ศิษย์น้องเยี่ย เจ้าสามารถบินได้ที่ความเร็วขนาดนี้จริงๆ หรือ”
โม่เทียนเกอยิ้ม “แน่นอนว่าไม่ได้ ศิษย์พี่เจียง ดูที่รองเท้าข้าสิ มันคืออาวุธเวทบินได้”
เจียงซั่งหังสังเกตว่ารองเท้าของนางเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังวิญญาณ แต่เขาไม่แน่ใจว่ามันคืออะไรกันแน่ ตอนนี้พอเขาได้ยินสิ่งที่นางพูด ในที่สุดเขาจึงได้มองให้ละเอียดขึ้นและรู้สึกค่อนข้างอิจฉา
อาวุธเวทในรูปแบบของรองเท้านั้นสะดวกมากกว่าอาวุธเวททั่วไป ทั้งยังมีประสิทธิภาพมากกว่าในแง่ของพลังเวท อย่างไรก็ตาม อาวุธเวทรองเท้าบินได้นั้นหาได้ยากยิ่งนัก ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่เจียงซั่งหังจะรู้สึกอิจฉา ถึงแม้ตอนนี้เขาจะเป็นศิษย์ของสำนักเจิ้งฝ่าและมีคนเคารพนับถือ แต่เขาก็ไม่มีท่านอาจารย์และเป็นเพียงศิษย์ธรรมดาเท่านั้น เขาจึงไม่มีอาวุธเวท เขามีเพียงแค่เครื่องมือเวทที่ดีพอใช้ได้เท่านั้น
ทั้งสองคนยังคงบินไปทางเหนือ พวกเขาอาจจะบินอยู่ประมาณครึ่งวัน แน่นอนว่าพวกเขาเริ่มได้ยินเสียงอึกทึกแล้ว เมื่อพวกเขาเหาะเข้าใกล้แหล่งที่มาของเสียงนั้น ในที่สุดโม่เทียนเกอจึงได้เห็นพื้นที่กว้างใหญ่ของมหาสมุทรในเขตธารน้ำแข็งไร้ที่สิ้นสุด
“นี่คือมหาสมุทร…”
“ถูกต้อง” เจียงซั่งหังลอยอยู่กลางอากาศขณะที่เขามองไปยังมหาสมุทรกว้างใหญ่ “นี่คือมหาสมุทรทางเหนือสุด กว้างใหญ่แผ่ขยายไปเป็นพันๆ ลี้ ไม่มีใครรู้ว่ามันจะนำทางไปถึงจุดไหนและภายในก็มีสัตว์ปีศาจอยู่มากมาย อีกทั้งมีทรัพย์สมบัติหายากนับไม่ถ้วน แต่เจ้าจะได้ครอบครองมันหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับความสามารถในการฉกชิงมาของเจ้า”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ โม่เทียนเกอก็หันหน้าไปจ้องมองเขาพลางครุ่นคิด
เจียงซั่งหังเองก็หันมาหานางเช่นกันแล้วจึงยิ้มให้ “ดูเหมือนว่าศิษย์น้องเยี่ยจะเข้าใจแล้วว่าข้าหมายความว่าอะไร ใช่ เพื่อประโยชน์ในการฝึกตนของข้า ข้าต้องการสำรวจมหาสมุทรทางเหนือสุดและมองหาวัตถุวิญญาณเพื่อแลกเปลี่ยนเป็นของที่จำเป็นสำหรับการฝึกตนของข้า ข้าบอกศิษย์น้องเยี่ยเรื่องนี้ก็เพราะข้าต้องการถามว่าศิษย์น้องเยี่ยสนใจหรือไม่”
โม่เทียนเกอไม่ได้ตอบทันที นางหันกลับมามองและพินิจพิเคราะห์มหาสมุทรไร้ขอบเขตเบื้องหน้านางแทน ในเขตภาคเหนือสุด ทั้งพื้นหิมะกว้างขวางและมหาสมุทรเบื้องหน้านางนั้นเงียบสงบอย่างมาก นางอดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่าจิตใจของนางเปิดกว้างขึ้นขณะที่อยู่ที่นี่ นางพบว่ามันค่อนข้างจะทนได้ยากที่ปล่อยให้เรื่องราวไร้สาระต่างๆ ในโลกแห่งการฝึกตนต้องมาแปดเปื้อนความสงบสุขนั้น
“ศิษย์พี่เจียง… ที่นี่มีสมบัติแบบไหนอยู่หรือ แล้วความเสี่ยงเป็นอย่างไร”
เจียงซั่งหังดูค่อนข้างโล่งใจที่ได้ยินสิ่งที่นางพูด จากนั้นเขาชี้ไปที่จุดหนึ่งที่อยู่ไกลๆ “ศิษย์น้องเยี่ย เจ้าเห็นขอบแหลมตรงนั้นไหม”
โม่เทียนเกอมองตามทิศทางที่เขาชี้ มันคือภูเขาน้ำแข็งที่เหมือนกริชสูงประมาณพันจั้งซึ่งแยกมุมหนึ่งของมหาสมุทรออก
เจียงซั่งหังพูดว่า “ภูเขาน้ำแข็งนั้นมีชื่อที่เป็นที่รู้จักในหมู่พวกเราชาวศิษย์สำนักเจิ้งฝ่า”
“ชื่อหรือ”
“ใช่ นั่นไม่ใช่ภูเขาน้ำแข็งธรรมดา เป็นเวลาหมื่นปีมาแล้วที่มันไม่เปลี่ยนแปลงและไม่ลอยไปไหน เพียงแต่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงนั้นอย่างมั่นคง เราเรียกมันว่าแดนแห่งมังกรซ่อนลาย”
“แดนแห่งมังกรซ่อนลาย…” โม่เทียนเกอพูดตาม ดูค่อนข้างงุนงง มังกรเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ชนิดที่แข็งแกร่งที่สุดในยุคกลาง เผ่าพันธุ์มังกรมีเวทศักดิ์สิทธิ์แต่กำเนิด และครั้งหนึ่งเคยเป็นเผ่าพันธุ์ที่ใกล้เคียงกับพระเจ้าที่สุด สามารถทำให้เกิดเมฆและนำพาฝนมาได้ สามารถกลืนกินแม่น้ำและคายออกมาเป็นมหาสมุทร แม้แต่มังกรเพิ่งเกิดก็ยังมีพละกำลังที่เท่ากับผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลัง! เมื่อระดับการฝึกตนของพวกมันเข้าถึงจุดสูงสุด ก็จะกลายเป็นมังกรมีปีกที่สามารถล่องลอยขึ้นไปยังสวรรค์ ลงไปสู่นรกภูมิ และเดินทางรอบจักรวาลได้ ดังนั้นมันจึงเป็นเผ่าพันธุ์ที่สง่างามและอิสรเสรีที่สุด
“ศิษย์พี่เจียง ท่านกำลังบอกว่า… มังกรมีอยู่จริงเช่นนั้นหรือ”
เจียงซั่งหังส่ายหน้า “เราไม่รู้ว่ามีอยู่จริงหรือไม่ แต่แดนแห่งมังกรซ่อนลายนี้เป็นตำนานในหมู่ศิษย์สำนักเจิ้งฝ่ามานานหลายพันปี ข้าเองก็เคยไปที่นั่นและมันมีลมปราณวิญญาณอยู่ภายในจริง แต่ไม่มีใครรู้ว่ามันคือมังกรหรือไม่”
“ข้างในนั้นอันตรายไหม”
“แน่ทีเดียว ภัยอันตรายและโอกาสมักจะอยู่คู่กันเสมอ” แววตาแรงกล้าวูบวาบอยู่ในดวงตาของเจียงซั่งหัง เขาพูดต่อด้วยเสียงต่ำ “ครั้งหนึ่งเราเคยมีศิษย์พี่ เขาได้รับทรัพย์สมบัติลึกลับจากข้างใน และเพราะเหตุนั้น เขาสามารจะก้าวเข้าสู่ดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลังได้ในครั้งเดียว อย่างไรก็ตาม ศิษย์บางคนที่เข้าไปข้างในกลับออกมาอย่างบาดเจ็บสาหัสและบางคนก็ถึงขนาดเสียชีวิต” เมื่อสังเกตว่านางไม่ได้พูดอะไร เขาจึงถามอย่างกระตือรือร้น “ศิษย์น้องเยี่ย เจ้าไม่สนใจหรือ”
รอยยิ้มจางๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของโม่เทียนเกอขณะที่นางเหลือบมองเขา “ศิษย์พี่เจียง แล้วความใจกว้างของท่านเมื่อครู่นี้ล่ะ”
เจียงซั่งหังอึ้งไป สีหน้าละอายใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าเขา แต่เขาก็ยังพูดด้วยความมุ่งมั่น “ข้าไม่ติดอยู่ในอดีตอีกต่อไปแล้ว แต่ในเมื่อข้าเริ่มเดินบนเส้นทางไปสู่ความเป็นเซียน ข้าจะยอมแพ้ได้อย่างไร ถ้าข้าสามารถเดินต่อบนถนนเส้นนี้ได้ ข้าจะไม่ยอมแพ้ให้กับโอกาสอะไรก็ตามที่จะได้ครอบครองเต๋าและกลายเป็นเซียน!”
โม่เทียนเกอยังคงนิ่งเงียบ เส้นทางสู่ความเป็นเซียน… คนใจกว้างนับไม่ถ้วนที่ล้มเหลวในการทำความเข้าใจคำสี่คำนั้น เพราะฉะนั้นเจียงซั่งหังจะเข้าใจได้อย่างไร
นางสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วจึงพูดว่า “ศิษย์พี่เจียง หากผลประโยชน์ไม่ยิ่งใหญ่มากพอ ข้าก็ไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องเผชิญกับภัยอันตรายถึงชีวิตเลยแม้แต่นิดเดียว ท่านคิดว่าอย่างไร”
เจียงซั่งหังตะลึง แต่พอนึกได้ถึงตัวตนในปัจจุบันของนาง ในที่สุดเขาก็ตอบพร้อมยิ้มและพูดว่า “พวกเราศิษย์ธรรมดาไม่ใช่พวกเดียวที่ต้องการเข้าไปในแดนแห่งมังกรซ่อนลายเพื่อล่าสมบัติ แม้แต่ศิษย์หัวกะทิในสำนักข้าก็ยังตามล่าสมบัติเหมือนฝูงเป็ดเช่นกัน เพราะฉะนั้นศิษย์น้องเยี่ย เจ้าจะพูดว่าผลประโยชน์ไม่มากพอได้อย่างไรกัน”
“เช่นนั้นหรือ…” สำนักเจิ้งฝ่าก็เป็นหนึ่งในกลุ่มการฝึกตนที่ยิ่งใหญ่ทั้งเจ็ดแห่งขั้วท้องฟ้า พวกเขาอ่อนแอกว่าโรงเรียนเสวียนชิงและสำนักกู่เจี้ยนเล็กน้อย หากเป็นเช่นนั้น…
ครั้นเห็นว่าโม่เทียนเกอดูไม่ได้สนใจมากนัก เจียงซั่งหังก็ยังคงพูดต่อไป “ศิษย์น้องเยี่ยอย่าประเมินสมบัติข้างในนั้นต่ำเกินไปล่ะ แดนแห่งมังกรซ่อนลายเป็นสถานที่ที่แม้แต่ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่แห่งสำนักเจิ้งฝ่ายังไปเป็นประจำ ยิ่งไปกว่านั้น นอกจากศิษย์ที่อยู่ในดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงานหรือดินแดนสูงกว่า พวกเขาไม่สามารถเชิญผู้ฝึกตนจากภายนอกสำนักของเราให้เข้าไปได้!”
“โอ้” สิ่งที่เขาพูดในที่สุดก็กระตุ้นความสนใจของนางได้ ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่คงไม่สนใจสมบัติธรรมดาแน่นอน ในเมื่อสมบัติข้างในยังดึงดูดผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ มันคงจะต้องเป็นสมบัติที่มีเอกลักษณ์และพิเศษมากแน่นอน
เมื่อเห็นว่าในที่สุดโม่เทียนเกอดูสนใจขึ้นมาเล็กน้อย เจียงซั่งหังก็รีบพูดทันที “ศิษย์น้องเยี่ย ถ้าเป็นคนอื่น ข้าคงไม่เสียเวลาพูดถึงเรื่องนี้ แต่เจ้าเป็นสหายเก่าของข้าและเจ้าก็ไม่ได้อ่อนแอ ดังนั้นข้าจึงขอให้เจ้ามาเป็นสหายร่วมทางของข้าได้อย่างปลอดภัย เจ้าไม่ต้องกังวลมากเกินไป อันตรายข้างในนั้นยังไม่ถึงขั้นที่โอกาสเสี่ยงตายสูงกว่าโอกาสรอดชีวิตหรอก หลังจากข้าสร้างฐานแห่งพลังงาน ข้าไปที่นั่นสองสามครั้งและข้าก็มักจะกลับมาอย่างปลอดภัยทุกครั้ง ตราบใดที่เราระวังมากพอและเตรียมตัวดีพอ เราก็จะไม่ต้องเผชิญกับภัยอันตรายถึงตายแน่”
“จริงหรือ” หลังจากนางได้ยินสิ่งที่เขาพูด โม่เทียนเกอพูดอย่างค่อนข้างจงใจ “ถ้าเช่นนั้น ทำไมศิษย์พี่เจียงถึงพยายามอย่างหนักที่จะให้ข้ามา จะไม่ดีกว่าหรือที่ท่านจะไปกับสหายศิษย์ของท่าน”
เจียงซั่งหังมีรอยยิ้มขมขื่นอยู่บนใบหน้าขณะที่เขาส่ายหัว “ข้าจะไม่โกหกเจ้า ในสำนักเจิ้งฝ่า ข้าเป็นแค่ผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังงานธรรมดาและข้าก็ไม่ได้สนิทกับสหายศิษย์มากนัก เพราะฉะนั้นเมื่อข้าไปที่แดนแห่งมังกรซ่อนลายกับพวกเขา ข้าก็มักจะตกอยู่ในตำแหน่งที่เสียเปรียบเสมอ สำหรับคนที่ข้ามีความสัมพันธ์ที่ค่อนข้างดีด้วยนั้น ความสามารถของพวกเขาล้วนอยู่ระดับปานกลาง ถ้าศิษย์น้องเยี่ยไปกับข้า ด้วยความช่วยเหลือของเจ้า ข้าก็จะสามารถมีสิทธิ์มีเสียงอะไรในกลุ่มได้บ้าง”
งั้นนั่นก็เป็นเหตุผลว่าทำไม โม่เทียนเกอลองคิดถึงเรื่องนี้ดูและรู้สึกว่าที่เขาพูดดูเหมือนจะเป็นความจริง กลุ่มขนาดเล็กมักจะมีอยู่ในกลุ่มการฝึกตนใหญ่ๆ นี่ก็เป็นกรณีที่เกิดขึ้นในโรงเรียนเสวียนชิงเช่นกัน
“ถ้าเช่นนั้น… ศิษย์พี่เจียงตั้งใจว่าจะไปเมื่อไหร่”
เจียงซั่งหังดีใจที่ได้ยินว่านางไม่ปฏิเสธข้อเสนอของเขา เขาพูดว่า “ครั้งนี้ข้ากลับมาที่เผ่าก็เพราะข้าต้องการเตรียมตัวสำหรับการเดินทางไปยังแดนแห่งมังกรซ่อนลาย ข้าทำการนัดหมายกับสหายศิษย์ของข้ามานานแล้ว ยังมีเวลาอีกสิบวันก่อนที่พวกเราจะมุ่งหน้าออกไป”
โม่เทียนเกอพยักหน้า “คงจะดีกว่าหากศิษย์พี่เจียงจะบอกข้าถึงสิ่งที่ข้าควรรู้ไว้ล่วงหน้า”
“ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ” เจียงซั่งหังกล่าว “เกี่ยวกับเรื่องยาวิเศษ เครื่องมือเวท และของอื่นๆ ข้าคาดว่าศิษย์น้องเยี่ยคงเตรียมตัวไว้พอประมาณอยู่แล้ว แต่แค่มีปัญหาเล็กๆ ก็คือการจะเข้าไปยังแดนแห่งมังกรซ่อนลาย เราจำเป็นต้องมียาลับ แต่ศิษย์น้องเยี่ยไม่ต้องกังวลเรื่องนี้หรอก ข้าจะเตรียมส่วนแบ่งของเจ้าไว้ให้”
“ตกลง” โม่เทียนเกอตอบตกลงอย่างเป็นทางการ “ถ้าเช่นนั้น ข้าจะไปกับศิษย์พี่เจียง”
เจียงซั่งหังยิ้มกว้างด้วยความยินดี “ศิษย์น้องเยี่ย ข้าจะระลึกถึงความเต็มใจช่วยเหลือของเจ้าไว้อย่างแน่นอน”
โม่เทียนเกอโบกมือ “นี่ไม่ถือว่าเป็นการช่วยเหลือหรอกถ้าข้าเองก็ได้ผลประโยชน์เหมือนกัน”
หลังจากทั้งสองคนพูดคุยกันเสร็จ โม่เทียนเกอมองทิวทัศน์รอบตัวอยู่ชั่วขณะหนึ่งอีกครั้งก่อนจะกลับไปกับเจียงซั่งหัง
ระหว่างทาง เจียงซั่งหังได้อธิบายให้นางฟังคร่าวๆ เกี่ยวกับแดนแห่งมังกรซ่อนลาย
ปรากฏว่าก่อนที่สำนักเจิ้งฝ่าจะก่อตั้งขึ้น คนทรงของเผ่าทางทิศเหนือสุดรู้เกี่ยวกับแดนแห่งมังกรซ่อนลายอยู่แล้ว แต่ละปีในวันที่สิบห้าของเดือนแปด พวกเขาจะไปรวมตัวกันที่นั่นเพื่อเสนอเครื่องสังเวยให้กับเหล่าพระเจ้า ในบางครั้ง คนบางคนก็จะได้รับชะตาลิขิตข้างในนั้นซึ่งทำให้พวกเขาก้าวเข้าสู่ดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงานได้ทันที อย่างไรก็ตาม ณ เวลาตอนนั้นยังไม่มีชื่อเรียกตามปัจจุบันของมัน
หลังจากสำนักเจิ้งฝ่าก่อตั้งขึ้น คนของสำนักค้นพบการมีอยู่ของแดนนั้น บรรพบุรุษแห่งเต๋าระดับจิตวิญญาณใหม่ผู้ก่อตั้งสำนักได้เข้าไปสำรวจเป็นครั้งแรกและสุดท้ายต้องกลับมาหลังจากพบเจอกับอันตรายมากมาย ชื่อแดนแห่งมังกรซ่อนลายจึงถูกถ่ายทอดต่อกันนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
สิ่งที่แปลกประหลาดก็คือ… ศิษย์สำนักเจิ้งฝ่าหลายต่อหลายคนได้เข้าไปในแดนแห่งมังกรซ่อนลายและได้รับทรัพย์สมบัติมากมาย แต่สมบัติข้างในนั้นกลับไม่เคยหมดลงเลย
เมื่อโม่เทียนเกอได้ยินเช่นนั้น นางอดที่จะถามไม่ได้ “ศิษย์พี่เจียง มันจะเป็นไปได้อย่างไร”
เจียงซั่งหังพูด “ใช่แล้ว ตอนแรกข้าก็มีความคิดแบบเดียวกัน แต่หลังจากข้าสร้างฐานแห่งพลังงานได้ ข้าก็ค้นพบว่าส่วนข้างในนั้นแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงทุกครั้งที่ข้าเข้าไปในแดนแห่งมังกรซ่อนลาย”
“แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง” โม่เทียนเกองุนงง “สถานการณ์ข้างในเป็นอย่างไร”
“ถูกต้อง แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง” เจียงซั่งหังพูด “แดนแห่งมังกรซ่อนลายตั้งอยู่ใต้น้ำ ดังนั้นมันจึงเป็นโลกภายในมหาสมุทร อย่างไรก็ตาม ทุกครั้งที่เราเข้าไปข้างใน เรามักจะพบว่าลักษณะภูมิประเทศนั้นแตกต่างกับครั้งก่อนอย่างสิ้นเชิง แม้แต่สัตว์ปีศาจและทรัพยากรข้างในก็ไม่มีความเหมือนกันเลยแม้แต่น้อยกับสิ่งที่เราเจอมาก่อนหน้านั้น”
“มีร่องรอยของม่านพลังข้างในหรือเปล่า”
เจียงซั่งหังส่ายหน้าและยิ้มอย่างขมขื่น “คือ… ข้าหาไม่พบ แต่แม้แต่ท่านปรมาจารย์ระดับจิตวิญญาณใหม่ของเราก็ไม่สามารถหาเจอได้เหมือนกัน”
โม่เทียนเกอดูเหมือนกำลังครุ่นคิด “งั้นก็หมายความว่า… มันเป็นสิ่งที่มีอยู่ซึ่งอยู่เหนือดินแดนยุคปัจจุบัน”
“ใช่แล้ว!” เจียงซั่งหังพยักหน้า “ทุกปีในวันที่สิบห้าของเดือนแปด กระแสน้ำในมหาสมุทรทางเหนือสุดจะเพิ่มสูงขึ้นและหลังจากนั้นด้านในก็จะเปลี่ยนแปลงไปโดยสมบูรณ์”
“งั้นเมื่อกระแสน้ำขึ้น เราก็ไม่สามารถอยู่ข้างในต่อได้”
“ข้าไม่แน่ใจ ว่ากันว่าครั้งหนึ่งเคยมีคนที่ไม่สามารถออกมาได้ตอนกระแสน้ำขึ้น หลังจากหนึ่งวันผ่านไป ไม่มีใครหาตัวคนผู้นั้นพบอีกเลย แต่…” เมื่อพูดถึงตรงนั้นจู่ๆ เจียงซั่งหังก็หยุดกะทันหันก่อนจะพูดต่อด้วยความลังเล “ครั้งหนึ่งข้าเคยได้ยินศิษย์พี่แอบพูดกันลับๆ ว่าชั้นที่สองของแดนแห่งมังกรซ่อนลายจะเปลี่ยนไปแค่ทุกหลายร้อยปีเท่านั้น”
“ชั้นที่สอง” โม่เทียนเกอขมวดคิ้ว “เป็นไปได้หรือไม่ว่ามีอีกหลายชั้นอยู่ข้างใน”
“ถูกต้อง ข้างในนั้นมีสามชั้น ชั้นแรกเปิดกว้างแม้แต่สำหรับพวกเราศิษย์ระดับการสร้างฐานแห่งพลังงานและการหลอมรวมพลังงานวิญญาณ ส่วนสำหรับชั้นที่สองและสาม มีเพียงผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังหรือระดับสูงกว่าที่สามารถเข้าไปได้”
“… พวกนี้คือกฎที่สำนักเจิ้งฝ่าของท่านทำตามกันมาตลอดหลายพันปีที่ผ่านมางั้นหรือ”
“ใช่” เจียงซั่งหังไม่พยายามปิดบังความจริง “พวกนี้คือกฎที่ตั้งขึ้นโดยผู้ก่อตั้งสำนักของเรา ครั้งหนึ่งเคยมีคนฝ่าฝืนกฎ และในท้ายที่สุด ผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังงานพวกนั้นเข้าไปที่ชั้นสองและไม่เคยออกมาอีกเลย”
โม่เทียนเกอตกตะลึง นี่มันร้ายแรงมาก! นางใช้เวลาสักพักเพื่อคิดแล้วจึงถามว่า “ถ้างั้นมีอะไรอยู่ที่ชั้นสองหรือ ผู้ฝึกตนการก่อเกิดแก่นขุมพลังในสำนักของท่านไม่เคยพูดอะไรถึงมันเลยหรือ”
“พวกเขาไม่ได้พูด” เจียงซั่งหังส่ายหน้าแล้วจึงแนะนำนาง “ศิษย์น้องเยี่ย ชีวิตของเราสำคัญมาก ดังนั้นมันจึงเพียงพอแล้วที่เราจะไปที่ชั้นแรก ถ้าโชคดีเราก็สามารถครอบครองสมบัติล้ำค่ามากมายในชั้นแรกได้เช่นกัน ไม่มีเหตุผลที่เราต้องเสี่ยงและไปถึงชั้นสอง”