ลำนำสตรียอดเซียน - ตอนที่ 175 ศิษย์สำนักเจิ้งฝ่า
เมื่อนางกลับไปยังเผ่าสิงโตทะเลและแยกกับเจียงซั่งหัง โม่เทียนเกอจึงวางม่านพลังป้องกันและเข้าไปยังโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน
ความจริงแล้วนางไม่เชื่อในสิ่งที่เจียงซั่งหังพูด ถึงแม้ว่าจะไม่รู้แน่ชัดถึงอันตราย แต่มันก็มีสมบัติที่โดดเด่นอยู่ข้างใน ดังนั้นคนของสำนักจึงน่าจะมองว่าถ้ำนั้นเป็นความลับ พวกเขาจะต้องไม่เผยแพร่ต่อศิษย์ของสำนักตัวเอง นับประสาอะไรกับศิษย์จากกลุ่มผู้ฝึกตนอื่นเล่า
อย่างไรก็ตาม นางก็ไม่ได้คิดว่าเจียงซั่งหังจะมีจิตใจที่ชั่วช้า ย้อนกลับไปในช่วงเวลาที่พวกนางอยู่ที่สำนักอวิ๋นอู้ นางช่วยเขาไว้เพียงแค่ผิวเผินครั้งเดียวเท่านั้น แต่เขาเต็มใจที่จะตกอยู่ในอันตรายเพื่อช่วยนางเป็นการตอบแทน อีกอย่างเขาดูชิงชังต่อหลิ่วอีเตาที่ทิ้งให้สวีจิ้งจือต้องเสียสละตัวเอง ถึงแม้เขาจะเป็นคนที่เห็นแก่ตัว แต่ก็ไม่ได้เป็นคนที่น่ากลัวนัก หากเขามีเจตนาที่ไม่ดีต่อนางเขาก็คงขี้เกียจเกินกว่าที่จะปฏิบัติกับนางเช่นนี้
สรุปโดยย่อ นิสัยของเจียงซั่งหังไม่ได้นับว่าเลวร้ายนัก เขาเคยช่วยชีวิตนางมาหนึ่งครั้ง นี่เป็นเหตุผลหลักที่โม่เทียนเกอตกลงไปกับเขา สำหรับสมบัติที่โดดเด่นหรือผลประโยชน์อื่นๆ นางไม่ได้สิ้นหวังถึงขนาดที่จะต้องมีในตอนนี้ นางมีของมากมายแล้ว ดังนั้นมันก็ไม่มีความจำเป็นสำหรับนางที่จะต้องโลภมาก
ด้วยความคิดเช่นนั้น โม่เทียนเกอเริ่มเตรียมตัวสำหรับการเดินทางของนาง
ถึงแม้ว่าเจียงซั่งหังจะบอกว่านางไม่จำเป็นที่จะต้องเตรียมตัวอะไร แต่โม่เทียนเกอเป็นคนที่จะต้องเตรียมตัวเสมออยู่ดี นางมักจะวางแผนอย่างเหมาะสมก่อนจะทำการใดๆ ด้วยวิธีการเช่นนั้นจะทำให้เกิดเหตุการณ์ต่างๆ น้อยลง และในสถานการณ์ที่เป็นอันตรายสูงสุด โอกาสที่นางจะรอดชีวิตก็มีสูงมากขึ้น
จากกระเป๋าเอกภพของนาง นางหยิบหุ่นเชิดหินสองตัวออกมา หลังจากที่นางสั่งพวกมันผ่านความคิดของนาง หุ่นเชิดสองตัวก็รีบปฏิบัติการ
ในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนของนาง พื้นที่ใจกลางนั้นเต็มไปด้วยกระท่อมหลังเล็กๆ หลายหลังในขณะที่รอบๆ กระท่อมนั้นแน่นขนัดไปด้วยป่าไผ่ ลำธารสายเล็กๆ ไหลผ่านป่าไผ่นั้น และอีกฝั่งของลำธารก็เต็มไปด้วยสวนสมุนไพรอันกว้างขวาง
หลังจากที่โลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนจำนางได้ในฐานะเจ้าของ มันได้ผ่านกระบวนการทำความสะอาดดูแลเบื้องต้นแต่รูปแบบนั้นไม่ได้ถูกเปลี่ยนไป จึงยังคงอยู่ในสภาพเดิมกับที่เจ้าของคนก่อนได้วางไว้ หลังจากที่นางเรียกหุ่นเชิดหินสองตัวออกมา พวกมันเริ่มจากการตัดป่าไผ่ด้านหน้ากระท่อมในเวลาแค่ครู่เดียวเหลือทิ้งไว้แค่ป่าไผ่ครึ่งเดียวที่อยู่ทางด้านหลังกระท่อม หลังจากนั้นในทันที นางสั่งให้หุ่นเชิดสร้างกระท่อมขึ้นมาใหม่โดยใช้ต้นไผ่ที่เพิ่งตัดออกมา
เมื่อหุ่นเชิดหินสร้างกระท่อมเสร็จ โม่เทียนเกอเดินไปยังกระท่อมหลังใหญ่สุดหลัง จากนั้นจึงผายมือออก ไม่นาน แผ่นม่านพลังหลายแผ่นลอยออกมาและจัดการเรียงตัวเองในตำแหน่งที่สอดคล้องกัน หลังจากนั้นนางประกบมือในท่ามุทราที่ซับซ้อนและปล่อยแสงพลังวิญญาณออกไป แผ่นม่านพลังสว่างขึ้นในทันที สุดท้ายนางหยิบธงม่านพลังออกมา ด้วยเหตุนี้ม่านพลังทั้งหมดจึงพร้อมใช้งาน
หลังจากนั้นนางงุ่นง่านอยู่กับกระเป๋าเอกภพของนาง หยิบเตาหลอมยาออกมาและวางอยู่ตรงจุดกึ่งกลาง เตาหลอมยานี้มีขนาดประมาณสองตารางจั้งและปกคลุมไปด้วยเมฆหนาแน่นสีม่วง สิ่งที่ถูกปกคลุมอยู่ในแสงจิตวิญญาณนั้นคือเตาไม้หลอมยาของจงมู่หลิง
ขณะที่หยิบเตาหลอมไม้สีม่วงและตรวจสอบให้มั่นใจว่ามันไม่มีปัญหาอะไร นางใช้ความหยั่งรู้ศักดิ์สิทธิ์ของนางเพื่อสั่งหุ่นเชิดหินทั้งสองตัว ซึ่งไม่นานพวกมันก็วุ่นวายไปกับการตักน้ำจากลำธารเล็กๆ มาที่กระท่อมไม้ไผ่
ขณะที่หุ่นเชิดทำงานอยู่ โม่เทียนเกอไม่ได้อยู่เฉย นางหยิบบางอย่างออกมาจากเสื้อคลุมของนาง มันคือหินสุริยันที่นักเดินทางจื่อเวยมอบให้กับนาง!
จากที่นักพรตฟางเจิ้งบอก หินสุริยันสามารถสร้างไฟสุริยันซึ่งเป็นไฟที่ดีที่สุดในการปรุงยาวิเศษและขัดเกลาเครื่องมือ เมื่อนางอ่านหนังสือม่านพลังเสวียนจีผ่านๆ ในวันก่อนหน้านี้ นางพบม่านพลังพิเศษอันหนึ่งที่เหมาะกับหินสุริยันเข้าโดยบังเอิญ นางต้องการเตรียมยาวิเศษคุณภาพสูงสำหรับการเดินทางไปยังแดนแห่งมังกรซ่อนลายของนาง ดังนั้นนางจึงสร้างห้องปรุงยาขึ้นมา
นางวางหินสุริยันไว้บนฝ่ามือและหยิบพู่กันเครื่องรางออกมาจากชุดคลุมของนางอีกมือหนึ่ง หลังจากนั้น นางใช้ความหยั่งรู้ศักดิ์สิทธิ์ในการกลั่นหยดเลือดออกมาจากตัวของนาง ใช้พู่กันเครื่องรางและเลือดของนางในการวาดลายเส้นเลือดบนเตาหลอมไม้สีม่วงไปทั่ว ลายเส้นเลือดนี้ดูเหมือนกับจะไร้สาระ แต่เมื่อมันได้ถูกวาดลงบนเตาหลอมไม้สีม่วงก็เกิดเป็นแสงไหลผ่านวูบวาบไปมาระหว่างพวกมัน ทำให้ดูเหมือนกับว่าเป็นสสารบางอย่างที่โดดเด่นมีเอกลักษณ์
นางวาดเสร็จ ก็เก็บพู่กันเครื่องรางหลังจากนั้นจึงเปิดเตาหลอมไม้สีม่วงออก แล้ววางหินสุริยันไว้ด้านใน หลังจากนั้นก็ทำท่าทางประกบมือที่ซับซ้อนอีกครั้ง ผนึกหินสุริยันไว้ที่ก้นของเตาหลอม
จังหวะที่นางทำเสร็จ ความอ่อนล้าโถมใส่นางในทันที หยดเลือดสร้างรากฐานแห่งการเป็นมนุษย์ ดังนั้นแต่ละหยดนั้นถือว่าล้ำค่ามาก ถึงแม้ว่านางจะเป็นผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังงานแล้วก็ตาม แต่การสูญเสียเลือดเพียงแค่หยดเดียวก็ยังคงทำให้นางอ่อนล้าได้พอสมควร
หลังจากที่นางนั่งลงบนพื้น กินยาวิเศษหลายตัวและเคลื่อนพลังวิญญาณไปตามวงโคจรจุลจักรวาลหลายครั้ง โม่เทียนเกอก็รู้สึกดีขึ้นเล็กน้อยในที่สุด ในขณะนี้ หุ่นเชิดหินสองตัวได้เตรียมห้องปรุงยาเรียบร้อยแล้ว น้ำจากลำธารเล็กๆ ได้ถูกทำให้ไหลมาที่กระท่อมผ่านกระบอกไม้ไผ่ เข้าสู่บ่อน้ำภายในกระท่อมพร้อมกับเสียงที่ดังเปาะแปะ
หลังจากที่เก็บหุ่นเชิดหิน โม่เทียนเกอใช้เวลาครุ่นคิดครู่หนึ่งว่ายาวิเศษประเภทไหนที่นางจะปรุงในครั้งนี้ ยาวิเศษสำหรับรักษานั้นเป็นสิ่งที่ต้องทำ ยาวิเศษที่ช่วยถอนพิษหรือสงบจิตใจก็มีความจำเป็น ในถ้ำเซียนของจื่อเวยครั้งก่อน นางโชคดีที่นักพรตฟางเจิ้งมีเครื่องรางสงบจิตใจอยู่หลายอัน หาไม่แล้ว นางก็คงจะต้องใช้ความพยายามมากขึ้นกว่าเดิมเป็นแน่
ในช่วงเวลาที่นางปรุงยาวิเศษเหล่านี้เสร็จ หลายวันก็ได้ผ่านไป ในระหว่างนี้นางได้บอกกับสาวใช้ที่ถูกสั่งให้คอยดูแลนางว่าไม่ให้รบกวนนอกจากหากมีเรื่องสำคัญเพราะนางต้องการมีสมาธิในการฝึกตนหลายวัน
นางยังคงเตรียมเครื่องมือสำหรับม่านพลังฉุกเฉิน เวลาค่อนข้างกระชั้นชิด ดังนั้นนางจึงไม่มีเวลาศึกษาหนังสือม่านพลังเสวียนจีให้ถี่ถ้วน อย่างไรก็ตาม ความรู้ของนางเกี่ยวกับม่านพลังนั้นมีมากกว่าผู้ฝึกตนที่อยู่ในระดับดินแดนเดียวกับนางแล้ว นางจึงสามารถเตรียมม่านพลังต่างๆ ได้ในเวลาอันสั้น ซึ่งรวมถึงม่านพลังสัตว์จตุรเทพร้อยบุปผา หากม่านพลังที่ซับซ้อนนี้ได้ปรับใช้อย่างถูกต้อง นางก็ยังคงมีพลังพอที่จะต่อสู้ถึงแม้ว่านางจะต้องเผชิญเข้ากับสัตว์ปีศาจระดับห้าหรือสูงกว่าก็ตาม
ไม่กี่วันก่อนที่จะออกเดินทาง โม่เทียนเกอไม่ได้ทำอะไร นางเพียงแต่หลับตาทำสมาธิและควบคุมการหายใจ ทุ่มเทเพื่อเข้าสู่สภาวะที่ดีที่สุด
สิบวันต่อมา นางออกมาจากโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน ย้ายม่านพลังที่นางวางไว้ภายในบ้านน้ำแข็งออกและเดินออกไป
เจียงซั่งหังรอนางอยู่ด้านนอกแล้ว เมื่อเขาเห็นนางออกมาจากบ้าน เขาก็เผยให้เห็นรอยยิ้มกว้างพร้อมพูด “ศิษย์น้องเยี่ยนี่รักษาคำพูดของนางจริงๆ สิบวันก็คือสิบวัน”
โม่เทียนเกอยิ้มพยักหน้า “ในเมื่อข้าได้ให้สัญญากับศิษย์พี่เจียงไว้ ทำไมข้าถึงจะต้องผิดสัญญาด้วยเล่า”
ในขณะนั้น ทั้งสองคนก็มองขึ้นด้านบนทันที พวกเขาเห็นแสงเหินมากมายข้ามผ่านท้องฟ้าและหายไปในทางทิศเหนือ
“ศิษย์น้องเยี่ย” เจียงซั่งหังพูด “ดูเหมือนว่าพวกเขากำลังเดินทางไปกันแล้ว พวกเราก็ไปกันเถอะ”
คนที่เจียงซั่งหังพูดถึงคือสหายศิษย์ที่เขานัดไว้ โม่เทียนเกอพยักหน้า และในทันทีทั้งสองคนก็เปลี่ยนเป็นแสงเหินสองแสงโดยใช้วิธีเหาะของตัวเองในชั่วพริบตา
หลังจากที่เหาะมาประมาณครึ่งวัน ทั้งสองคนก็มาถึงมหาสมุทรทางเหนือสุดที่พวกเขามาเมื่อหลายวันก่อนอีกครั้ง
จากระยะไกล โม่เทียนเกอเห็นผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังงานลอยสูงอยู่เหนือชายฝั่งหลายคน ในกลุ่มพวกเขามีทั้งผู้ชายและผู้หญิง และดูจากเสื้อผ้า พวกเขาเป็นศิษย์ของสำนักเจิ้งฝ่าทั้งหมด
เจียงซั่งหังรีบพาโม่เทียนเกอไปหาพวกเขา
“ศิษย์พี่ชาย ศิษย์พี่หญิง อภัยให้ข้าด้วยที่มาช้า” เจียงซั่งหังทักทายพวกเขาด้วยรอยยิ้มในขณะที่ประกบมือรูปถ้วยเพื่อแสดงความเคารพ
เมื่อเห็นเขาทำเช่นนั้น โม่เทียนเกอรู้สึกว่าสิ่งที่เขาทำและวิธีที่เขาปฏิบัติในตอนนี้นั้นช่างแตกต่างจากที่เขาเคยเป็นมาก่อนมากมายนัก
ศิษย์จากสำนักเจิ้งฝ่าทักทายเขากลับ มีเพียงแค่คนเดียวเท่านั้นที่ไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย ดูเหมือนกับว่าเขาหยิ่งและคงรู้สึกว่ามันเป็นการลดตัวหากทักทายกลับ
เจียงซั่งหังรับรู้ได้ถึงพฤติกรรมของผู้นั้นเช่นกัน แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไร เขาเพียงแค่หันไปทางศิษย์คนอื่นเพื่อแนะนำโม่เทียนเกอ “นี่ศิษย์น้องเยี่ยแห่งโรงเรียนเสวียนชิง เยี่ยเสี่ยวเทียนสหายเก่าของข้า การฝึกตนของศิษย์น้องเยี่ยนั้นเยี่ยมยอดมาก ข้าจึงตั้งใจที่จะเชิญนางให้มาร่วมกันกับเรา”
โม่เทียนเกอผู้จงใจสวมชุดคลุมของโรงเรียนเสวียนชิงในวันนี้ประกบมือรูปถ้วยไปทางพวกเขาด้วยท่าทางที่ไม่ได้นอบน้อมแต่ก็ไม่ได้หยิ่งผยองนัก “ข้าเยี่ยเสี่ยวเทียน คารวะสหายนักพรตแห่งสำนักเจิ้งฝ่า”
ขณะที่ได้ยินการเกริ่นนำของเจียงซั่งหัง ผู้ฝึกตนจากโรงเรียนเจิ้งฝ่าต่างหันมองมาที่โม่เทียนเกอ ท่าทางหวาดกลัวเกิดขึ้นในสายตาของผู้ฝึกตนชาย แต่ผู้ฝึกตนหญิงสองคนในทางกลับกันนั้นจ้องมองนางด้วยความระมัดระวัง อย่างไรก็ตาม ทุกคนต่างตอบรับการทักทายของนาง
อำนาจของโรงเรียนเสวียนชิงนั้นกว้างขวางขึ้นมากในทุกวันนี้ พวกเขามีความสามารถที่จะนำหน้าเหนือกว่าสำนักเทียนเต้า ซึ่งเป็นที่หนึ่งในกลุ่มการฝึกตนของขั้วแห่งท้องฟ้า ถึงแม้ว่าสำนักเจิ้งฝ่าจะตั้งอยู่ทางเขตเหนือสุดของแคว้น พวกเขาก็ไม่กล้าที่จะดูถูกศิษย์ของโรงเรียนเสวียนชิงแม้แต่น้อย แม้กระทั่งชายผู้ฝึกตนที่หยิ่งทะนงผู้นั้นยังคงมองที่นางและสุดท้ายก็ประกบมือรูปถ้วยเพื่อทักทายนางกลับ
“ศิษย์พี่ชาย ศิษย์พี่หญิง” เมื่อเห็นว่าพวกเขาไม่ได้ดูไม่พอใจ เจียงซั่งหังจึงยิ้มพร้อมพูดว่า “พวกท่านไม่ถือสาที่ข้าบังอาจเชิญศิษย์น้องเยี่ยมาใช่หรือไม่”
ไม่มีใครตอบ กลับกันพวกเขามองไปยังผู้ฝึกตนที่หยิ่งทะนง ชายผู้ฝึกตนมองที่โม่เทียนเกอแต่เมื่อเขาได้ยินที่เจียงซั่งหังพูด เขาก็หันสายตาไปทางเจียงซั่งหังแม้ว่าจะเพียงแค่ครู่เดียว พร้อมพูด “ในเมื่อนางเป็นศิษย์น้องจากโรงเรียนเสวียนชิง ก็ให้นางเดินทางร่วมไปกับพวกเราก็ได้”
หลังจากที่ได้ยินคำอนุญาตจากชายผู้นั้น เจียงซั่งหังจึงถอนใจอย่างโล่งอก หลังจากนั้นเขาจึงทำมือรูปถ้วยไปทางชายผู้นั้น “ขอบพระคุณมากขอรับศิษย์พี่เริ่น”
ชายผู้นั้นไม่ได้ตอบและเพียงแค่ยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น
เจียงซั่งหังไม่ได้สนใจเขาเพียงแต่หันไปทางโม่เทียนเกอและพูดว่า “ศิษย์น้องหญิงเยี่ย มาสิ ข้าจะแนะนำเจ้ากับสหายศิษย์ของข้า” การเรียกนางว่า “ศิษย์น้องชายเยี่ย” ต่อหน้าคนอื่นนั้นคงจะดูแปลก ดังนั้นเขาจึงเปลี่ยนวิธีการเรียกนาง
เบื้องหน้าพวกเขามีผู้ชายหกคนและผู้หญิงสองคน คนที่มีระดับการฝึกตนสูงที่สุดคือชายที่หยิ่งทะนงคนนั้น เขาอยู่ในขั้นสุดท้ายของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังแล้ว ชายผู้ฝึกตนอีกสองคนอยู่ในขั้นกลางของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงานในขณะที่เหลือของกลุ่มรวมถึงเจียงซั่งหังก็อยู่ในขั้นต้นของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงาน
เจียงซั่งหังแนะนำพวกเขาให้นางฟังทีละคน “นี่ศิษย์พี่ลู่ ลู่หรงเซิง ศิษย์พี่เซี่ยง เซี่ยงจือหยาง ศิษย์พี่ซิว ชิวจื้อหมิง ศิษย์น้องถัง ถังฟัง ศิษย์น้องอวี๋ อวิ๋เซี่ยวหราน” หลังจากนั้นเขาจึงหันไปทางผู้ฝึกตนหญิงสองคน “นี่คือศิษย์พี่ไอ้ ไอ้เสียน และศิษย์พี่ซย่า ซย่าโหวย่วน”
โม่เทียนเกอแสดงความเคารพต่อพวกเขาอีกครั้ง ในระหว่างคนกลุ่มนี้ มีเพียงแค่ลู่หรงเซิงและเซี่ยงจือหยางที่อยู่ในขั้นกลางของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงานเท่านั้น ในขณะคนที่เหลือนั้นอยู่ในขั้นต้น ชายผู้ฝึกตนปฏิบัติต่อนางด้วยความกระตือรือร้นอย่างเห็นได้ชัด อย่างไรก็ตามหญิงผู้ฝึกตนสองคนไม่ได้ดูร้อนรนหรือเย็นชาต่อนางทำให้นางรู้สึกงุนงงเล็กน้อย
คนสุดท้ายคือชายที่หยิ่งทะนงผู้ซึ่งมีระดับการฝึกตนสูงที่สุดในระหว่างคนพวกนี้ ไม่แน่ชัดว่าเจียงซั่งหังแนะนำเขาเป็นคนสุดท้ายเพราะเขารอบคอบหรือมีความหมายลึกบางอย่างแอบแฝงอยู่ เขาพูด “ท่านผู้นี้คือผู้นำของการเดินทางนี้ ศิษย์พี่เริ่น เริ่นอวี่เฟิง ศิษย์พี่เริ่นเป็นศิษย์ภายในของท่านอาจารย์ลุงปู้ฉี ระดับการฝึกตนของเขานั้นสูงและทักษะของเขานั้นก็เยี่ยมยอดเช่นกัน”
เจียงซั่งหังพูดทั้งหมดนั้นแต่น้ำเสียงเขาช่างนิ่งเฉย
“คารวะศิษย์พี่เริ่น” โม่เทียนเกอพูดในขณะที่ประกบมือรูปถ้วยไปทางเขา ในเมื่อนางเรียกเจียงซั่งหังว่าศิษย์พี่ชาย นางจึงเรียกชายผู้นี้ว่าศิษย์พี่ชายเช่นกัน แต่ระหว่างกลุ่มการฝึกตนที่เป็นพันธมิตรกัน ศิษย์จำเป็นต้องเรียกกันด้วยคำว่าศิษย์พี่ หรือศิษย์น้องไม่ว่าจะชายหรือหญิงก็ตาม
เริ่นอวี่เฟิงตอบกลับการแสดงความเคารพของนางในครั้งนี้ และพูดออกมาเสียทีว่า “ศิษย์น้องเยี่ยช่างดูเด็กและดูมีอนาคตนัก ข้าคิดว่า… เจ้าน่าจะมีอายุยังไม่ถึงแปดสิบปีสินะ ใช่หรือไม่”
โม่เทียนเกอยิ้ม ไม่ได้ปฏิเสธในคำพูดของเขา นางยังคงดูเหมือนเดิมในสมัยที่นางอายุยี่สิบปี ตามหลักอายุขัยของผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังงาน ถ้านางยังไม่ถึงอายุแปดสิบปี รูปลักษณ์ปัจจุบันของนางจะเป็นรูปลักษณ์ปกติและไม่ได้เป็นผลจากการกินยาคงรูป ถึงแม้ว่ายาคงรูปจะสามารถคงความอ่อนเยาว์เอาไว้ได้ ผู้ฝึกตนที่มีประสบการณ์มักจะมองเห็นถึงร่องรอยบางอย่างว่าคนผู้นั้นกินยา โดยทั่วไปเพราะคนที่กินยาเป็นคนอายุมาก พฤติกรรมของพวกเขาและท่าทางต่างๆ จะเผยให้รู้ถึงอายุที่แท้จริง
“ศิษย์พี่เริ่นสุภาพเกินไปแล้ว ข้าเพียงแค่โชคดีเท่านั้น”
“โชคดีอย่างนั้นหรือ” เริ่นอวี่เฟิงหัวเราะขบขันหลังจากนั้นจึงพูดอย่างมีนัย “ถ้าโชคดีทำให้คนสามารถผ่านเข้าสู่ดินแดนได้ โลกนี้จะไม่เต็มไปด้วยผู้ฝึกตนระดับสูงไปหมดหรือ”
คำพูดของเขาฟังดูแปลก ดังนั้นแทนที่จะตอบ โม่เทียนเกอจึงทำเพียงแค่ยิ้ม
เริ่นอวี่เฟิงหันกลับไปมองกลุ่มพร้อมพูด “สหายที่เยี่ยมยอดทั้งหลาย ในเมื่อทุกท่านอยู่ที่นี่ตอนนี้ พวกเราควรจะเริ่มกันได้แล้ว”
ไม่มีใครปฏิเสธ กลุ่มคนทั้งสิบคนหยิบเครื่องมือเวทของตัวเองออกมาและเหาะไปทางภูเขาน้ำแข็งที่ยิ่งใหญ่พร้อมกัน
โม่เทียนเกอและเจียงซั่งหังเหาะเคียงข้างกัน หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง โม่เทียนเกอจึงส่งเสียงไปยังเจียงซั่งหังอย่างลับๆ “ศิษย์พี่เจียง ทำไมพวกเขาจึงทำท่าทางที่แปลกประหลาดนัก ศิษย์พี่ผู้หญิงเหล่านั้นของท่านดูไม่เต็มใจที่จะต้อนรับข้าเท่าไร”
รอยยิ้มแปลกๆ ปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าเจียงซั่งหัง เขาก็ส่งเสียงลับตอบกลับไปหานางเช่นกัน “ศิษย์น้องเยี่ย เจ้าอาจจะแสร้งทำเป็นผู้ชายมานานจึงลืมว่าเจ้าเป็นผู้หญิงสินะ มันเป็นเรื่องปกติที่ศิษย์พี่ผู้หญิงสองคนนั้นจะไม่ชอบเจ้า สุดท้ายแล้ว ผู้หญิงก็ไม่สามารถทนมองคนที่สวยกว่าพวกนางได้!”