ลำนำสตรียอดเซียน - ตอนที่ 176 ภายในภูเขาน้ำแข็ง
โม่เทียนเกอตะลึงกับคำตอบของเขา “นี่…”
เจียงซั่งหังยิ้มกว้างและพูดว่า “ศิษย์น้องเยี่ย เจ้าอยู่ในคุนอู๋มาเป็นเวลานานและเห็นผู้หญิงสวยๆ มามากในโลกแห่งการฝึกตน เพราะฉะนั้นเจ้าเลยไม่ได้คิดถึงตัวเองมากนัก อย่างไรก็ตาม เราอยู่ในเขตภาคเหนือสุด เจ้าไม่รู้เลยหรือว่าศิษย์พี่ผู้หญิงทั้งสองคนของข้าดูค่อนข้างธรรมดา”
โม่เทียนเกอได้ยินคำตอบของเขา ก็ตวัดสายตามองไปข้างหน้า จากตัวตนของพวกนางในฐานะผู้ฝึกตน ไอ้เสียนและซย่าโหวย่วนก็ดูค่อนข้างธรรมดาเกินไปจริงๆ ด้วย
“แทบไม่มีผู้หญิงสวยในเขตทิศเหนือสุด เมื่อข้ามาที่นี่ตอนแรกข้าก็ไม่ชินกับเรื่องนี้เช่นกัน ย้อนไปตอนนั้น ข้าไม่มีความคิดพิเศษอะไรเกี่ยวกับศิษย์น้องเยี่ย แต่หลังจากเราได้เจอกันอีกครั้ง ในที่สุดข้าก็รู้ตัวว่าก่อนหน้านี้ข้าพลาดสาวงามไปได้!” เจียงซั่งหังพูดติดตลก
โม่เทียนเกอไม่ชินกับมุกตลกเช่นนี้ ดังนั้นนางจึงพูดอย่างช่วยไม่ได้ “ศิษย์พี่เจียงอย่าล้อข้าสิ ข้ายิ่งหน้าบางอยู่ด้วย”
“แหะๆ” เมื่อเห็นว่านางดูอึดอัดใจจริงๆ เจียงซั่งหังจึงหยุดพูดเรื่องนั้น “ขอโทษทีศิษย์น้องเยี่ย ข้าไม่ควรพูดหยอกเจ้าด้วยมุกตลกเช่นนั้น”
โม่เทียนเกอส่ายหน้า “ข้าแค่ไม่ชินกับมุกตลกแบบนี้ ศิษย์พี่เจียงไม่ต้องกังวลหรอก”
“อืม” เจียงซั่งหังคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงปลอบใจนาง “ศิษย์น้องเยี่ย เจ้าไม่ต้องกังวลหรอกนะ ศิษย์พี่ผู้ชายพวกนั้นชินแล้วกับการเจอศิษย์ผู้หญิงในสำนักอยู่ทุกวัน ดังนั้นพวกเขาก็แค่สงสัยเกี่ยวกับตัวเจ้า ส่วนศิษย์พี่ผู้หญิงทั้งสองคน ต่อให้พวกนางไม่ชอบเจ้า ท้ายที่สุดแล้วเจ้าก็เป็นศิษย์โรงเรียนเสวียนชิง เพราะฉะนั้นพวกนางจะไม่ทำอะไรเจ้าแน่”
“… ข้ารู้” โดยทั่วไปผู้ฝึกตนมักจะมีเหตุผลเสมอ อีกอย่างนางก็ไม่ใช่คนสวยจนหาที่เปรียบมิได้ที่สวยเสียจนคนอื่นๆ ต้องบ้าคลั่งไปด้วยความอิจฉา อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ปัจจุบันนี้ก็ทำให้นางรู้สึกก้ำกึ่งไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี กลายเป็นว่ารูปลักษณ์ของคนหนึ่งทำให้คนอื่นๆ ต้องเป็นตัวเปรียบเทียบ เมื่อนางอยู่ในคุนอู๋ มีแค่ไป๋เยี่ยนเฟยที่แสดงออกว่าสนใจนาง และนั่นก็เป็นเพราะนางตรงกับความต้องการของเขา เมื่อนางมาถึงที่เขตทิศเหนือสุด อย่างไรก็ตาม ในที่สุดนางก็รู้ว่านางถือว่าเป็นคนสวยได้เหมือนกัน
นางลองพิจารณาผู้ร่วมคณะชั่วคราวของนางอีกครั้ง ผู้ชายสองคนแซ่ลู่และแซ่เซี่ยงค่อนข้างแก่กว่าคนที่เหลือเล็กน้อย พวกเขาดูเหมือนจะอยู่ในช่วงอายุสี่สิบในขณะที่คนอื่นๆ ดูเหมือนอายุประมาณยี่สิบถึงสามสิบปี แต่ถึงอย่างนั้นท้ายที่สุดแล้วพวกเขาก็เป็นผู้ฝึกตนจากกลุ่มการฝึกตน ดังนั้นเมื่อเทียบกับผู้ฝึกตนเดี่ยว พวกเขาก็ยังอายุน้อยกว่ามาก อย่างไรก็ตาม หน้าตาพวกเขาค่อนข้างธรรมดา ดังนั้นพวกเขาจึงดูด้อยกว่าผู้ฝึกตนของคุนอู๋ที่ส่วนใหญ่แล้วหน้าตาดี โม่เทียนเกอเหลือบมองเจียงซั่งหัง รู้สึกอยากจะหยอกล้อเขา กับคนพวกนี้ที่เป็นตัวเปรียบเทียบของเขา เจียงซั่งหังก็ดูหล่อขึ้นมากเช่นกัน
กลุ่มคนสิบคนเหาะอยู่เป็นเวลานาน แต่ภูเขาน้ำแข็งก็ยังคงอยู่ไกลออกไปที่เส้นขอบฟ้า
โม่เทียนเกอขมวดคิ้วจากนั้นจึงถามเจียงซั่งหัง “ศิษย์พี่เจียง มันไม่ได้ดูไกลขนาดนั้นตอนที่เราดูกันก่อนหน้านี้นี่!”
เจียงซั่งหังอธิบายว่า “ศิษย์น้องเยี่ย บางทีเจ้าอาจจะไม่ทันคิดเรื่องนี้ แต่ในเขตทางทิศเหนือสุด ทั้งหมดนี้คือเขตธารน้ำแข็ง มันเป็นแค่พื้นที่กว้างขาวโพลน ดังนั้นเราก็อาจจะรับรู้ถึงความตื้นลึกได้ไม่ถูกต้องนักตอนที่เรามองมัน แดนแห่งมังกรซ่อนลายนี้ที่จริงแล้วอยู่ห่างออกไปอีกหลายพันลี้”
“เข้าใจล่ะ…” ห่างออกไปอีกหลายพันลี้… ผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังงานต้องเหาะอยู่เป็นเวลานานเพื่อข้ามระยะห่างนั้น
พวกเขายังคงเหาะไปอีกระยะหนึ่งก่อนที่ภูเขาน้ำแข็งจะค่อยๆ เข้ามาใกล้ทีละนิด พอถึงเวลาที่มันปรากฏแก่สายตานาง ในที่สุดโม่เทียนเกอก็รู้ว่าความงดงามโอ่อ่าของภูเขาน้ำแข็งนี้ไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่าภูเขาในคุนอู๋เลย
ความงดงามของคุนอู๋อยู่ในลักษณะของภูเขากว้างใหญ่ ภูเขาแผ่ขยายออกไปเป็นพันๆ ลี้ แต่ภูเขาแต่ละลูกต่างเชื่อมต่อกัน ทุกส่วนของมันมีทิวทัศน์ที่แตกต่าง บางส่วนสูงชันและดูแปลกประหลาด ในขณะที่ส่วนอื่นๆ สง่างามและเงียบสงบ อย่างไรก็ตาม ภูเขาน้ำแข็งที่อยู่ตรงหน้านางกลับตั้งตระหง่านอย่างโดดเดี่ยวได้ด้วยตัวของมันเอง ยอดเขาน้ำแข็งหลายร้อยจั้งอยู่โดดเดี่ยวและเงียบเหงา เหมือนกับว่ามันตั้งอยู่เดี่ยวๆ กำลังมองมหาสมุทรทางเหนือสุด มองภูเขาน้ำแข็งรอบๆ กำลังลอยเคลื่อนไป และมองการเปลี่ยนแปลงของโลก ขณะที่มันยังคงตั้งอยู่ที่นี่แยกตัวออกจากโลกไปตลอดกาล มันเป็นความสวยงามชนิดที่สันโดษและเย็นชา
เจียงซั่งหังเพ่งมองภูเขาและพูดว่า “ในตำนานของคนทางเหนือสุด ภูเขาน้ำแข็งนี้อยู่ที่นี่มาโดยตลอด ภูเขาน้ำแข็งลูกอื่นๆ ต่างละลาย หายไป ลอยออกไป มีเพียงแค่ภูเขาลูกนี้ที่ยังคงอยู่อย่างนี้มาตั้งแต่เวลาแรกเริ่ม”
“ทำไมถึงไม่ละลาย” โม่เทียนเกออดไม่ได้ที่ต้องถาม ภายใต้แสงอาทิตย์ ยอดเขาน้ำแข็งแต่ละยอดของมันดูบริสุทธิ์ โปร่งแสง และระยิบระยับไปด้วยแสงแพรวพราว เผยภาพทิวทัศน์งดงามบรรเจิดให้ได้รับชม
“ไม่มีใครรู้” คนที่ตอบนางคือเริ่นอวี่เฟิงอย่างคาดไม่ถึง ระดับการฝึกตนของเขาสูงที่สุดในหมู่พวกเขาและเขาก็เป็นหัวหน้า ดังนั้นตอนนี้เขาจึงยืนอยู่หน้าทุกคน “แดนแห่งมังกรซ่อนลายเป็นแบบนี้ แม้แต่ท่านปรมาจารย์ระดับจิตวิญญาณใหม่ก็ไม่สามารถหาคำตอบให้คำถามนั้นได้ บางทีเราอาจจะได้รับคำอธิบายเมื่อใครสักคนกลายเป็นเทพผู้ฝึกตน”
เมื่อเขาพูดจบ เขากวาดสายตามองทั้งกลุ่มอย่างเร็ว “ศิษย์น้องทั้งหลาย พวกเจ้าทุกคนพร้อมกันหรือไม่ ถ้าพร้อมแล้ว เราเข้าไปได้ตอนนี้เลย”
โม่เทียนเกอมองเจียงซั่งหัง ก่อนการเดินทางครั้งนี้ เจียงซั่งหังบอกว่าพวกเขาจำเป็นต้องใช้สิ่งของพิเศษบางอย่างแต่เขาจะเตรียมส่วนของนางไว้ให้
ขณะนั้นเอง เจียงซั่งหังหยิบเอาถุงเล็กๆ ขนาดเท่าฝ่ามือเขาออกมาและมอบให้นาง “ศิษย์… น้องเยี่ย พวกนี้คือผลฟองอากาศ ทันทีที่เจ้ากิน ร่างกายของเจ้าจะสร้างมนตร์กันน้ำซึ่งสามารถอยู่ได้หนึ่งวัน ข้างในนี้มีประมาณสิบสองผลซึ่งน่าจะเพียงพอ”
ผลฟองอากาศ ช่างเป็น… ชื่อที่งี่เง่าจริงๆ โม่เทียนเกอรับถุงเล็กนั้นมาและสำรวจดูผลไม้ จากนั้นนางหยิบผลไม้ที่เหมือนบ๊วยและกัดไปหนึ่งคำ อืม รสชาติไม่แย่ ค่อนข้างหวาน
เจียงซั่งหังก็กินไปลูกหนึ่งเช่นกันขณะที่กระซิบกับนาง “ผลไม้นี้มีแค่ในเขตธารน้ำแข็งทางทิศเหนือสุดและก็มักจะเอาไว้ป้อนให้เด็กๆ กิน”
“…” ในความเงียบ เริ่นอวี่เฟิงได้นำทางพวกเขามาจนถึงตรงที่ต้องดำลงน้ำแล้ว
โม่เทียนเกอสังเกตเห็นว่าพวกเขาไม่ใช้พลังวิญญาณเพื่อสร้างเกราะป้องกัน อย่างไรก็ตาม เมื่อพวกเขาอยู่ใต้น้ำ ร่างกายของพวกเขาจะสร้างมนตร์กันน้ำขึ้นมาโดยอัตโนมัติ ผลฟองอากาศเหล่านี้ทำได้สมชื่อของพวกมันจริงๆ …
หลังจากพวกเขาดำลงไปหลายจั้ง จู่ๆ ทุกคนก็หยุดกะทันหัน เริ่นอวี่เฟิงเอาเครื่องรางหยกออกมา พึมพำร่ายคาถาที่ไม่รู้ว่าคืออะไรชุดหนึ่งและยิงลำแสงพลังวิญญาณมากมายไปที่น้ำแข็ง ชั่วขณะหนึ่งดูเหมือนจะมีกระแสคลื่นในน้ำรอบๆ พื้นผิวของน้ำแข็ง จากนั้นปากถ้ำมืดดำก็ค่อยๆ ปรากฏขึ้นทีละนิดบนพื้นผิวของน้ำแข็งที่ยังเรียบเนียนอยู่เมื่อครู่นี้
นี่คือกำแพงอาคมที่ซับซ้อนอย่างสูง ถึงแม้โม่เทียนเกอจะมีความรู้ในม่านพลัง แต่นางกลับไม่สามารถเห็นร่องรอยการมีอยู่ของมันได้เลยตอนก่อนหน้านี้ เห็นได้ชัดว่าท่านปรมาจารย์ระดับจิตวิญญาณใหม่ของสำนักเจิ้งฝ่าให้ความสำคัญอย่างยิ่งต่อสถานที่แห่งนี้ แต่ในเมื่อเป็นเช่นนั้น โม่เทียนเกอก็ยิ่งสับสน ในเมื่อที่นี่เป็นสถานที่สำคัญสำหรับสำนักเจิ้งฝ่า ทำไมพวกเขาจึงต้องเชิญศิษย์จากสำนักอื่นอย่างนางมาด้วย เจียงซั่งหังเชื่อใจนาง แต่ทำไมคนอื่นๆ ถึงไม่มีการคัดค้านเลยแม้แต่น้อย
นางไม่มีเวลาคิดให้ถี่ถ้วนกว่านี้เพราะเริ่นอวี่เฟิงหันมามองพวกเขา ที่ใต้น้ำเสียงของเขาฟังดูค่อนข้างแตกต่างไป “ศิษย์น้องทั้งหลาย เรากำลังจะเข้าไปเดี๋ยวนี้ ระวังตัวด้วย!”
ทุกคนประสานมือและส่งเสียงเห็นดีเห็นงามด้วย ทุกคนมีสีหน้าขึงขังอยู่บนใบหน้า
ขณะนั้นโม่เทียนเกอเกิดมีความรู้สึกอยากจะหัวเราะขึ้นมา นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้เห็นภาพเช่นนี้ มีผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังงานหลายคนและทุกคนล้วนต้องพูดด้วยฟองอากาศ นี่มันช่าง… น่าขัน
ด้วยการนำของเริ่นอวี่เฟิง ทั้งสิบคนค่อยๆ เข้าไปผ่านปากถ้ำดำมืดช้าๆ โม่เทียนเกอตามหลังคนอื่น แต่เจียงซั่งหังตั้งใจให้นางเดินอยู่หน้าเขา
ทันทีหลังจากที่พวกเขาผ่านปากถ้ำเข้ามา ภาพทิวทัศน์เบื้องหน้าทุกคนก็เปลี่ยนไปและจู่ๆ ความอบอุ่นก็กลับคืนสู่ร่างพวกเขาทันที ในความลึกของมหาสมุทรทิศเหนือสุดมีเพียงแค่น้ำและน้ำแข็ง แต่ภายในภูเขาน้ำแข็งนี้ อย่างไรก็ตาม มันกลับเต็มไปด้วยสีฟ้าอ่อนของมหาสมุทรอย่างไม่น่าเชื่อ มีพืชน้ำที่ชุ่มฉ่ำ ปลาที่แหวกว่ายไปเป็นกลุ่ม และจุดของแสงที่หักเห มันดูเหมือนกับมหาสมุทรเขตอบอุ่นไม่มีผิด!
เมื่อโม่เทียนเกอเงยหน้าขึ้นมอง ดูเหมือนว่าผิวน้ำและแสงอาทิตย์จะอยู่ไม่ไกลออกไป กลุ่มของปลาสีเงินตัวเล็กที่มีขนาดเท่านิ้วว่ายผ่านมา ท่ามกลางการหักเหของแสงในน้ำ เกล็ดสีขาวเหลือบเงินของพวกมันเป็นประกายไปด้วยแสงสีเงิน ก่อให้เกิดภาพที่สวยงามอย่างยิ่ง
นางค่อนข้างหลงใหลกับภาพทิวทัศน์จนนางถึงขนาดยื่นมือออกไป ต้องการจะลูบปลาสีเงินตัวน้อย อย่างไรก็ตาม ข้างหลังนาง สีหน้าของเจียงซั่งหังเปลี่ยนไป กระบี่ปรากฏขึ้นในมือของเขาและเขารีบพุ่งเข้าไปฆ่าฝูงปลากลุ่มนั้นทันที
โม่เทียนเกอตกใจ นางหันกลับเพื่อมองคนอื่นๆ แต่ก็พบว่าทุกคนมีสีหน้าแบบเดียวกับเจียงซั่งหังและต่างคว้าเครื่องมือเวทของพวกเขาออกมากันแล้ว
ไม่ว่านางจะโง่สักแค่ไหน นางก็ควรจะรู้ว่าต้องมีอะไรผิดปกติกับปลาสีเงินตัวน้อยพวกนั้น ทันใดนั้นนางเหวี่ยงกระสวยอัปสราของนาง เกิดเป็นลำแสงสีทองที่ยิงไปข้างหน้า แต่เมื่ออยู่ใต้น้ำ พละกำลังในการโจมตีของนางจึงไม่แรงเท่าที่นางต้องการและช้ากว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด
เมื่อตระหนักถึงสภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออกนี้ โม่เทียนเกอครุ่นคิดอยู่ข้างใน ศิษย์สำนักเจิ้งฝ่าพวกนี้มาที่นี่ตลอดทั้งปี ดังนั้นพวกเขาจึงสามารถเคลื่อนไหวได้โดยไม่มีอุปสรรคแม้แต่นิดเดียว ในทางตรงข้าม ตัวนางกลับมีน้ำเป็นอุปสรรค ดังนั้นพละกำลังของนางจึงลดลงอย่างมาก สถานการณ์นี้ช่างไม่เอื้ออำนวยแก่นางเลยจริงๆ …
ผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังงานสิบคนโจมตีพร้อมกันและฝูงปลาก็ถูกฆ่าตายจนหมดในไม่ช้า โม่เทียนเกอฉวยโอกาสช่วงที่ทุกคนกำลังวุ่นกับการต่อสู้กระซิบถามเจียงซั่งหัง “ศิษย์พี่เจียง ปลาตัวเล็กพวกนี้มีพลังวิญญาณแค่เล็กน้อย พวกมันไม่ใช่สัตว์ปีศาจ เพราะฉะนั้นทำไม…”
เจียงซั่งหังเก็บกระบี่ของเขาแล้วจึงอธิบาย “ศิษย์น้องเยี่ย ปลาพวกนี้ไม่ใช่สัตว์ปีศาจก็จริงแต่มันมีฟันประหลาด ถ้ามันพุ่งเข้าใส่เรา มันจะกัดเรา และการกัดของมันสามารถทำลายได้แม้กระทั่งเกราะป้องกันบนร่างกายของเรา”
“…” โม่เทียนเกอตกใจ นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้ยินเกี่ยวกับสัตว์ที่ไม่ใช่สัตว์ปีศาจแต่สามารถทำให้ผู้ฝึกตนบาดเจ็บได้ ที่จริงแล้วโลกนี้กว้างใหญ่ไพศาลและสิ่งที่แปลกเกินธรรมดาก็มีอยู่ทั่วทุกที่
ต่อมาพืชน้ำที่ดูเหมือนจะไม่มีพิษมีภัยก็สามารถงอกกิ่งก้านที่พยายามจะพันรอบตัวพวกเขาเช่นกันและแม้แต่พุ่มไม้ยังมีปากขนาดใหญ่ที่พยายามจะกลืนกินพวกเขา
หลังจากแค่ประมาณสองชั่วโมงตั้งแต่พวกเขาเข้ามาในภูเขาน้ำแข็ง พวกเขาต้องผ่านการสู้รบติดต่อกันหลายครั้ง บัดนี้ในที่สุดโม่เทียนเกอก็เข้าใจแล้วว่าเจียงซั่งหังหมายความว่าอะไร
การเผชิญหน้ากับสิ่งมีชีวิตแปลกพิกลเหล่านี้ พวกเขาต้องคอยระวังตัวอยู่เสมอเพราะสิ่งที่ดูเหมือนจะไม่มีพิษภัยอาจจะพยายามคร่าชีวิตพวกเขาได้ โดยรวมแล้วสถานที่แห่งนี้ถูกห้อมล้อมไปด้วยภัยอันตรายเพราะมีสิ่งเล็กๆ น้อยๆ หลายอย่างที่พวกเขาอาจไม่ทันสังเกตด้วยซ้ำแต่ที่จริงแล้วเป็นสิ่งมีชีวิตที่อันตรายมาก อย่างไรก็ตาม ถ้าพวกเขาตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา มันก็ไม่ยากในการฆ่าสิ่งที่ดูเหมือนไม่มีพิษภัยเหล่านี้เท่าใดนัก
เมื่อถึงเวลาที่พวกเขาฆ่าแมงกะพรุนกลุ่มหนึ่งเสร็จ พวกเขาก็เข้ามาถึงแนวปะการังขนาดใหญ่สีแดงเข้มที่ส่องประกายวิบวับ โม่เทียนเกอเห็นได้ว่าปะการังนั้นเปี่ยมไปด้วยพลังวิญญาณ ดังนั้นมันอาจถือได้ว่าเป็นทรัพย์สมบัติได้เช่นกัน
ขณะนั้นเอง หัวหน้าของพวกเขาเริ่นอวี่เฟิงหยุดแล้วจึงหันมาหาพวกเขา “ศิษย์น้องทั้งหลาย ปะการังแดงเพลิงเหล่านี้เป็นของหายากเช่นกัน ดังนั้นเราจึงควรจะเอาไปให้ได้มากเท่าที่จะทำได้ อย่างไรก็ตาม มันต้องมีสิ่งเล็กๆ ที่อันตรายลอยอยู่ในนั้นด้วยแน่ เจ้าต้องระวังตัวไว้ด้วย”
ทุกคนพยักหน้าและตอบด้วย “ขอรับ/เจ้าค่ะ” ในไม่ช้าทุกคนก็แยกกัน ต่างมองหาชิ้นที่ถูกใจพวกเขา
เจียงซั่งหังดึงโม่เทียนเกอมาที่ด้านข้างแล้วจึงพูดว่า “ศิษย์น้องเยี่ย ปะการังแดงเพลิงพวกนี้มีอายุอย่างน้อยพันปี เพราะฉะนั้นเราจึงควรเอากลับไปกับเรา ด้วยวิธีนั้นต่อให้เราไม่ได้อะไรในภายหลัง การเดินทางนี้ก็ยังไม่ถือว่าสูญเปล่า”
ปะการังถูกนำมาใช้แค่ในสูตรยาประหลาดไม่กี่สูตรเท่านั้น ในขณะที่ไม่เคยได้ยินว่ามีการใช้ในการขัดเกลาเครื่องมือใด ดังนั้นมันจึงไม่ได้มีค่ามากนัก แต่ไม่ว่ากรณีใด พวกมันก็เป็นวัตถุวิญญาณที่มีอายุเป็นพันๆ ปีซึ่งแทบไม่เคยพบเจออยู่ในโลกใบนี้ ดังนั้นนางก็น่าจะเอาออกไปบ้าง บางทีมันอาจจะมีประโยชน์เข้าสักวันหนึ่ง
เจียงซั่งหังที่คว้ากระบี่บินของเขาออกมาแล้วค่อยๆ ตัดชิ้นปะการังอย่างระมัดระวัง โม่เทียนเกอทำตามอย่างเขา นางหยิบกระบี่บินของนางออกมาและตัดปะการังชิ้นหนึ่งให้ตัวเองด้วยความระมัดระวัง เมื่อยืนยันได้แล้วว่ามันไม่มีอันตราย สุดท้ายนางจึงเก็บเข้าไปในกระเป๋าเอกภพ
โม่เทียนเกอหยุดหลังจากเก็บได้ไม่กี่ชิ้น นางไม่ใช่คนโลภมากและเริ่นอวี่เฟิงก็บอกว่าอาจมีอันตรายอยู่ภายในปะการังพวกนี้ การเสี่ยงเพื่อสิ่งที่ไมได้มีค่ามากมายนั้นมันไม่คุ้มค่ากัน
ชั่วขณะหนึ่งหลังจากนั้น เริ่นอวี่เฟิงพูดขึ้นมาเช่นกัน “เอาละเท่านี้ก็พอแล้ว ทุกคนหยุดได้ อย่าเก็บมามากเกินไป มันไม่คุ้มถ้าเราเอาตัวเองไปเสี่ยงอันตรายแค่เพื่อปะการังพวกนี้”
หลังจากเขาพูด ศิษย์สำนักเจิ้งฝ่าหยุดอย่างว่าง่ายและเก็บของที่เก็บมาได้จากนั้นขยับเข้าไปหาเขา
ทุกคนมารวมตัวอยู่รอบๆ เขาแล้วแต่เริ่นอวี่เฟิงไม่มีทีท่าว่าจะไปต่อเลยสักนิด เขากลับกวาดสายตามองทุกคนแทนและดูขึงขังอย่างที่สุด สุดท้ายสายตาเขาก็มาจับอยู่ที่โม่เทียนเกอ แต่คนที่เขาพูดด้วยคือเจียงซั่งหัง “ศิษย์น้องเจียง เจ้าบอกศิษย์น้องเยี่ยถึงจุดประสงค์การเดินทางของเราหรือยัง”