ลำนำสตรียอดเซียน - ตอนที่ 177 จุดประสงค์ที่แท้จริง
เมื่อได้ยินสิ่งที่เขาพูด รอยย่นเล็กน้อยปรากฏขึ้นที่คิ้วของโม่เทียนเกอ แน่นอนว่ามีบางสิ่งที่เจียงซั่งหังยังไม่ได้บอกนาง!
เจียงซั่งหังเหลือบมองนางอย่างเร็วแล้วจากนั้นจึงพูดกับเริ่นอวี่เฟิง “ข้ายังไม่ได้บอกรายละเอียดนาง”
เริ่นอวี่เฟิงพูด “ถ้าอย่างนั้นก็ถึงเวลาที่เจ้าต้องบอกนางได้แล้ว”
โม่เทียนเกอมองสลับไปที่เจียงซั่งหัง รอคำอธิบายจากเขา ถึงแม้ว่านางจะคาดการณ์ไว้นานแล้วว่าเรื่องคงไม่ง่ายนัก แต่นางก็ยังรู้สึกไม่พอใจเมื่อบัดนี้เรื่องนั้นถูกเปิดเผยออกมาต่อหน้านาง
เมื่อเผชิญกับสายตานาง เจียงซั่งหังกระแอมให้โล่งคอแล้วจึงพูดอย่างไม่ค่อยสบายใจ “ศิษย์… น้องเยี่ย อย่าเพิ่งโมโหนะ ข้าไม่ได้บอกเจ้าก่อนเพราะเรื่องนี้สำคัญมาก อย่างไรก็ตาม ทุกอย่างที่ข้าสัญญากับเจ้าไว้ก่อนหน้านี้ยังคงมีผลอยู่ เหตุผลเดียวที่ข้าไม่ได้บอกเจ้าก็เพราะมันไม่ง่ายที่ข้าจะทำเช่นนั้นตอนก่อนหน้านี้”
โม่เทียนเกอแค่แสยะยิ้มแต่ไม่ได้พูดอะไร นางเดาได้ตั้งนานแล้วดังนั้นนางจึงไม่ได้โกรธจริงจัง แต่ถ้านางปล่อยให้เรื่องผ่านไปง่ายดายเกินไป คนก็จะคิดว่านางเป็นเหมือนพรมเช็ดเท้าที่ใครจะเหยียบย่ำก็ได้
เมื่อเห็นสีหน้าขัดแย้งของเจียงซั่งหัง เริ่นอวี่เฟิงจึงขัดจังหวะขึ้น “ให้ข้าพูดเอง”
เจียงซั่งหังมองเขา เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งแต่สุดท้ายเขาก็ยอมทำตามและถอยหลังไป
โม่เทียนเกอมองพวกเขาอย่างเย็นชา ตัดสินจากพฤติกรรมของเริ่นอวี่เฟิงว่าโอหังมากแค่ไหนตอนก่อนหน้านี้ แล้วเจียงซั่งหังจะกล้าคัดค้านต่อหน้าเขาได้อย่างไรกัน เห็นได้ชัดว่าสิ่งที่เจียงซั่งหังพูดกับนางก่อนหน้านี้นั้นเป็นความจริง เขาเป็นแค่ศิษย์ธรรมดา ดังนั้นเมื่ออยู่ต่อหน้าสหายศิษย์ของเขา เขาจึงตกอยู่ในตำแหน่งที่เปราะบาง
ขณะที่เผชิญหน้ากับโม่เทียนเกอ เริ่นอวี่เฟิงลดความโอหังแบบเดิมของเขาลงและพูดอย่างเข้มงวด “ศิษย์น้องเยี่ย พูดสั้นๆ ก็คือข้าปล่อยให้เจ้าออกไปได้หากเจ้าไม่ตกลงกับสิ่งที่เรากำลังจะทำ แต่เจ้าต้องสาบานคำสัตย์กับมารภายในจิตใจของเจ้าว่าจะไม่บอกเรื่องนี้กับใคร!”
โม่เทียนเกอย่นคิ้วเล็กน้อย ทำไมต้องทำเป็นเรื่องใหญ่ขนาดนั้น
นางพูดอย่างนิ่งเฉย “ศิษย์พี่เริ่นแค่ต้องพูดมาตรงๆ สำคัญด้วยหรือว่าข้าจะตกลงหรือไม่ สหายศิษย์ของท่านทุกคนอยู่ที่นี่ ถ้าท่านต้องการจัดการกับข้าก็คงจะง่ายสำหรับท่านมาก”
คำพูดของนางทำให้เริ่นอวี่เฟิงพูดไม่ออก และแม้แต่เจียงซั่งหังยังเฉมองไปทางอื่น พวกเขาก็กำลังคิดเหมือนกัน ไม่ว่ากรณีใดนางก็มีตัวคนเดียว ถ้านางไม่ตกลง พวกเขาคงไม่มีปัญหาอะไรในการบีบบังคับนางด้วยกำลัง อย่างไรก็ตาม การที่สิ่งนั้นถูกโม่เทียนเกอพูดแฉอย่างเปิดเผยก็ยังทำให้ใบหน้าพวกเขาร้อนฉ่า ท้ายที่สุดแล้วการรังแกผู้หญิงตัวคนเดียวก็ไม่ใช่สิ่งที่น่าภูมิใจสักเท่าไร
แต่อย่างไรก็ตาม หน้าเริ่นอวี่เฟิงนั้นหนามากพอ ดังนั้นเขาจึงกลับมาสงบอารมณ์ได้และพูดว่า “ศิษย์น้องเยี่ย เจ้าคิดว่าผู้อาวุโสในสำนักของเราจะอนุญาตให้เราบอกคนอื่นเกี่ยวกับแดนแห่งมังกรซ่อนลาย สถานที่ซึ่งเรามักจะพบเจอสมบัติเช่นนั้นหรือ”
เมื่อโม่เทียนเกอได้ยินเช่นนั้น นางเหลือบมองที่เจียงซั่งหัง “เช่นนั้นก็หมายความว่า… ทุกอย่างที่ศิษย์พี่เจียงบอกข้าก่อนหน้านี้เป็นเรื่องโกหก”
“แน่นอนว่าไม่ใช่หรอก” เจียงซั่งหังรีบปฏิเสธ “แดนแห่งมังกรซ่อนลายเป็นสถานที่ที่เรามักจะพบเจอสมบัติจริง นอกเหนือจากที่มันเป็นความลับของสำนักเรา ทุกอย่างที่ข้าพูดเป็นเรื่องจริง”
“เช่นนั้นหรือ” โม่เทียนเกอหันไปหาเริ่นอวี่เฟิง “งั้นศิษย์พี่เริ่นหมายความว่าอย่างไร”
“เราจะเริ่มจากครั้งล่าสุดที่เราเข้าสู่แดนแห่งมังกรซ่อนลาย” เริ่นอวี่เฟิงจ้องโม่เทียนเกอด้วยสายตาเฉียบคมราวกับเขากำลังดูว่านางมีสีหน้าไม่พอใจหรือเปล่า เขาพูดต่อช้าๆ “สามเดือนก่อน ศิษย์น้องเซี่ยง ศิษย์น้องถัง ศิษย์น้องเจียง และตัวข้าได้เข้าไปในแดนแห่งมังกรซ่อนลายด้วยกันและพบสถานที่ลับอยู่ข้างใน โชคร้ายที่เราทั้งสี่คนไม่มีพละกำลังมากพอ ดังนั้นเราจึงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องกลับมามือเปล่า หลายเดือนหลังจากนั้น เราพยายามจะหาคนที่เราไว้ใจเพื่อมาที่นี่และตามหาสมบัติกับเรา”
“… แล้วนี่มันเกี่ยวกับข้าอย่างไร” โม่เทียนเกองุนงง “สหายศิษย์ของท่านน่าจะน่าไว้ใจมากกว่าคนนอกอย่างข้า ถ้าท่านกำลังมองหามิตร ท่านควรจะหาจากในหมู่สหายศิษย์ร่วมสำนักของท่าน!”
“อย่างแรกเราต้องพูดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับสถานที่ลับเสียก่อน” เริ่นอวี่เฟิงกล่าว “ครั้งล่าสุดเราบังเอิญเข้าไปในสถานที่ลับและผลก็คือเราเจอเข้ากับสัตว์ปีศาจระดับห้าทันที นั่นไม่ใช่ปัญหาที่แท้จริง ถึงแม้สัตว์ปีศาจระดับห้าจะเทียบเท่ากับผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลัง แต่มันก็ไม่ใช่ว่าเราทั้งสี่คนไม่แข็งแกร่งพอจะสู้กับมัน ปัญหาคือสัตว์ปีศาจตัวนั้นมีการต้านทานที่แกร่งมากต่อเวทมนตร์ธาตุน้ำและน้ำแข็ง! คาดว่าศิษย์น้องเยี่ยคงไม่รู้เรื่องนี้ แต่ตั้งแต่สำนักเจิ้งฝ่าก่อตั้งขึ้นในเขตธารน้ำแข็งทางทิศเหนือสุด ศิษย์ของเราทั้งหมดฝึกวิชาการฝึกตนธาตุน้ำหรือน้ำแข็งทั้งสิ้น แม้แต่เครื่องมือเวทของเราก็เป็นเครื่องมือเวทธาตุน้ำและน้ำแข็ง เพราะฉะนั้น เราจึงพ่ายแพ้อย่างช่วยไม่ได้และต้องหนีออกมา”
“งั้นท่านก็ต้องการหาผู้ฝึกตนที่เป็นศิษย์ของสำนักอื่นเพื่อสู้กับสัตว์ปีศาจตัวนั้น”
“ถูกต้อง” หลังจากเห็นว่าไม่มีความเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดในสีหน้านาง ในที่สุดเริ่นอวี่เฟิงจึงรู้สึกโล่งใจขึ้นมาได้นิดหน่อย เขาพูดตามตรง “โชคร้ายที่สำนักเจิ้งฝ่าของเราตั้งอยู่ในเขตทิศเหนือสุด ดังนั้นจึงแทบไม่มีคนนอกมาที่นี่ ต่อให้มีผู้ฝึกตนจากต่างถิ่นมาที่นี่ แต่ระดับการฝึกตนของพวกเขาก็มักจะไม่สูงมากพอหรือไม่พวกเขาก็ไม่น่าเชื่อถือ เราจึงไม่ต้องการพวกเขาแน่นอน ก่อนหน้านี้ข้าถึงขั้นคิดว่าจะไปที่คุนอู๋เพื่อหาตัวเลือกที่เหมาะสมด้วยซ้ำ”
โม่เทียนเกอยังคงนิ่งเงียบ ถ้าสิ่งที่พวกเขาพูดเป็นจริง มันก็ไม่ถึงกับเป็นไปไม่ได้ที่นางจะจัดการกับเรื่องนี้
“เมื่อศิษย์น้องเยี่ยมาถึงที่เขตทิศเหนือสุดของเรา ศิษย์น้องเจียงคิดว่าจะเชิญเจ้ามา ดังนั้นเขาเรียกข้ามาและถามว่ามันเป็นไปได้หรือไม่ เพราะเขารับประกันว่าเจ้าเป็นคนที่ไว้ใจได้ ข้าจึงตกลง”
เช่นนั้นก็หมายความว่า… เจียงซั่งหังวางแผนเรื่องนี้มาตั้งแต่แรก! เมื่อสรุปได้อย่างนี้ในใจ โม่เทียนเกอเหลือบมองเขาอีกครั้งโดยไม่แสดงสีหน้า ถึงแม้เรื่องนี้จะไม่ร้ายแรงนัก แต่นางก็ยังรู้สึกไม่พอใจ นางไม่ถือสาหากเขาจะทำอะไรเพื่อประโยชน์ของตัวเอง แต่การลากนางเข้ามาเกี่ยวข้องในบางสิ่งบางอย่างโดยที่นางไม่ได้อนุญาตมันเป็นคนละเรื่องกันเลย
เจียงซั่งหังค่อนข้างอับอาย ดูเหมือนกับเขาอยากจะอธิบายแต่สุดท้ายแล้วเขาก็ปล่อยเรื่องนั้นไป
“ก็ได้ ศิษย์พี่เริ่นควรบอกข้ามาก่อนว่าข้าควรต้องระวังอะไร ข้าควรทำอย่างไรและข้าจะได้อะไรในตอนท้ายที่สุด”
“แน่นอน” รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าเริ่นอวี่เฟิงในที่สุดเมื่อตอนนี้โม่เทียนเกอตกลงจะเข้าร่วมด้วย “อย่างแรกที่ข้าอยากคุยกับศิษย์น้องเยี่ยก็คือระดับความอันตรายที่นั่น มันไม่ได้แตกต่างจากชั้นแรกของแดนแห่งมังกรซ่อนลายนี้ยกเว้นว่าที่นั่นมีสัตว์ปีศาจระดับห้าเฝ้าประตูอยู่ ถึงแม้สัตว์ปีศาจระดับห้าจะเทียบเท่ากับผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลัง แต่ท้ายที่สุดแล้วมันก็ไม่ใช่ผู้ฝึกตนการก่อเกิดแก่นขุมพลัง ความฉลาดของมันด้อยกว่ามนุษย์ ข้าคิดหาวิธีจัดการกับสัตว์ปีศาจตัวนั้นมานานแล้ว สิ่งที่ศิษย์น้องเยี่ยจำเป็นต้องทำคือโจมตีมันตามคำสั่งของข้า ยิ่งไปกว่านั้น ในเมื่อศิษย์น้องเยี่ยเป็นสหายร่วมทางของเราแล้วในตอนนี้ เป็นธรรมดาที่เจ้าจะได้รับส่วนแบ่งทรัพย์สมบัติด้วย ส่วนจะได้เท่าไรนั้นก็ขึ้นกับว่าเจ้าลงแรงช่วยเหลือในการเดินทางครั้งนี้มากแค่ไหน”
โม่เทียนเกอพยักหน้า นางสามารถยอมรับเงื่อนไขเหล่านี้ได้ แต่–
“ศิษย์พี่เริ่น ไม่ใช่ว่าข้าไม่เชื่อใจพวกท่าน แต่ท้ายที่สุดแล้วข้าก็ตัวคนเดียวในการเดินทางนี้ เพราะฉะนั้นข้าจึง…” นางหยุดและกวาดสายตาไปที่ทุกคน
เริ่นอวี่เฟิงเข้าใจความหมายของนาง เขาจึงถามว่า “ศิษย์น้องเยี่ย หากเจ้าจะขอร้องอะไร เจ้าแค่ต้องพูดมา ถ้ามันอยู่ในขอบเขตที่เป็นไปได้ ข้าจะตกลงอย่างแน่นอน”
“ตกลง” โม่เทียนเกอตอบรับทื่อๆ “ข้าต้องการให้ศิษย์พี่เริ่นสาบานว่าการเดินทางครั้งนี้จะไม่ทำร้ายข้าและท่านจะปล่อยให้ข้าจากไปอย่างปลอดภัยแน่นอนหลังจากการเดินทางนี้จบลง”
“…” เริ่นอวี่เฟิงนิ่งเงียบ เขาเข้าใจว่าโม่เทียนเกอหมายความว่าอะไรที่ขอให้เขาสาบาน เขาแค่ขอให้โม่เทียนเกอสาบานคำสัตย์หัวใจมารถ้านางไม่อยากเข้าร่วม ดังนั้นโม่เทียนเกอจึงแค่ขอให้เขาทำแบบเดียวกันในตอนนี้
เขากัดฟันแน่นแล้วจึงพูดด้วยเสียงหนักๆ “ตกลง!”
พอได้ยินเขาตอบตกลงคำขอของโม่เทียนเกอ ศิษย์ผู้หญิงของสำนักเจิ้งฝ่าที่อยู่ข้างเขา ไอเสียนร้องตะโกนออกมา “ศิษย์พี่เริ่น เป็นแบบนี้ไปได้อย่างไร”
เริ่นอวี่เฟิงเหลือบมองนางและพูดอย่างเฉยเมย “คำขอของศิษย์น้องเยี่ยไม่ได้ไร้เหตุผล อีกอย่างหากข้าไม่ได้วางแผนจะกลับคำ ผลที่ออกมาก็จะเป็นเหมือนกันไม่ว่าข้าจะสาบานคำสัตย์หรือไม่”
โม่เทียนเกอยิ้ม “ศิษย์พี่เริ่นช่างกล้าหาญเสียจริง ท่านทำให้ข้ารู้สึกละอายใจจริงๆ” ถึงแม้จะพูดอย่างนี้ แต่นางก็ไม่ยอมถอนคำขอของนาง อีกฝ่ายมีเก้าคนในขณะที่นางมีตัวคนเดียว ใครจะไปรู้ว่าพวกเขาจะให้ส่วนแบ่งผลประโยชน์กับนางภายหลังหรือจะพยายามปล้นสมบัติที่นางมีหรือไม่ ถึงแม้เจียงซั่งหังกับนางจะค่อนข้างคุ้นเคยกันและเขาก็ไม่น่าจะทำร้ายนาง แต่เขาไม่ได้มีสถานะสูงส่ง ดังนั้นทุกอย่างก็ยังคงขึ้นอยู่กับว่าเริ่นอวี่เฟิงคิดอย่างไร เริ่นอวี่เฟิงผู้ที่มีสถานะสูงที่สุดในกลุ่มเป็นแค่ศิษย์ภายในของผู้ฝึกตนการก่อเกิดแก่นขุมพลัง คาดว่าเขาคงไม่มีอาวุธเวทหรือของอื่นๆ หรือต่อให้เขามี มันก็คงไม่ใช่ของระดับสูงแน่นอน มันจึงเป็นไปได้ที่เขาจะมีความคิดโลภมากในภายหลัง
“ข้า เริ่นอวี่เฟิง สัญญากับมารภายในจิตใจของข้าว่าศิษย์น้องเยี่ย เยี่ยเสี่ยวเทียน จะไม่ได้รับบาดเจ็บในการเดินทางครั้งนี้ ข้าจะควบคุมสหายศิษย์ของข้าและยอมให้ศิษย์น้องเยี่ยจากไปอย่างปลอดภัยหลังจากการเดินทางนี้จบลง” เมื่อเขาพูดจบ เขาลืมตาและมองโม่เทียนเกอ “แค่นี้พอไหม”
ตอนนี้เริ่นอวี่เฟิงทำการสาบานคำสัตย์หัวใจมารแล้วจริงๆ โม่เทียนเกอจึงพูดพร้อมรอยยิ้มทันที “ถ้าเช่นนั้น ศิษย์พี่เริ่นเชิญพูดต่อได้ ข้าไม่มีคำถามอื่นอีก”
ทุกคนถอนหายใจอย่างโล่งอกในที่สุดเมื่อพวกเขาได้ยินสิ่งที่โม่เทียนเกอพูด
เริ่นอวี่เฟิงพูดว่า “เอาละ ในเมื่อศิษย์น้องเยี่ยไม่คัดค้านอะไร เราสามารถเริ่มการเตรียมตัวได้ตอนนี้ คาดว่าทุกคนคงรู้อยู่แล้วว่าต้องเตรียมอะไร เริ่มเคลื่อนไหวได้เลย!”
ทันทีหลังจากเขาพูดจบ ทุกคนวุ่นวายกับหน้าที่ของตัวเองทันที
โม่เทียนเกอไม่รู้ว่าพวกเขาต้องการทำอะไร แต่นางเห็นเจียงซั่งหังเข้ามาหานาง เขาพูดว่า “ศิษย์น้องเยี่ย นี่คือเครื่องรางป้องกันน้ำแข็งเย็นเยือกของสำนักเจิ้งฝ่า ในธาตุทั้งห้า สัตว์ปีศาจระดับห้าตัวนั้นเกี่ยวข้องกับธาตุน้ำ ดังนั้นเจ้าจะปลอดภัยขึ้นหน่อยถ้ามีเครื่องรางนี้อยู่บนร่างกาย”
โม่เทียนเกอรับมาแล้วจึงพูดแผ่วเบา “ขอบคุณที่นึกถึง ศิษย์พี่เจียง”
นางไม่ได้เย็นชาหรืออบอุ่น ไม่มีความโกรธในเสียงของนาง แต่ก็ไม่มีความตั้งใจจะยกโทษให้แม้แต่น้อยเช่นกัน เจียงซั่งหังเต็มไปด้วยคำที่เขาต้องการพูด แต่เขาไม่มีทางเลือกอื่นและทำได้แค่หันกลับไปทำหน้าที่ของตัวเองต่อให้เสร็จ
นอกเหนือจากโม่เทียนเกอ ผู้ฝึกตนสำนักเจิ้งฝ่าทั้งหมดกระทำการภายใต้คำสั่งของเริ่นอวี่เฟิง แต่ละคนเลือกตำแหน่งแล้วจึงวางศิลาวิญญาณรอบตัวพวกเขา เห็นได้ชัดว่าพวกเขากำลังเตรียมม่านพลังประเภทหนึ่ง
ด้วยความเชี่ยวชาญของโม่เทียนเกอในด้านม่านพลัง มองปราดเดียวนางก็เดาได้ว่าพวกเขาต้องการวางม่านพลังเพิ่มพลังป้องกัน อย่างไรก็ตาม นางไม่เข้าใจว่าทำไมพวกเขาถึงวางม่านพลังที่นี่
ในไม่ช้า ม่านพลังเพิ่มพลังป้องกันก็ถูกวางเรียบร้อย เริ่นอวี่เฟิงตะโกนเรียก “ศิษย์น้องเยี่ย ช่วยมาตรงนี้หน่อย”
ขณะนั้นเอง ทุกคนนอกเหนือจากเริ่นอวี่เฟิงและเซี่ยงจือหยางเดินไปที่ศูนย์กลางของม่านพลัง ดังนั้นโม่เทียนเกอจึงตามพวกเขาไป
หลังจากเห็นว่าทุกคนเข้าสู่ม่านพลังแล้ว เริ่นอวี่เฟิงพูดว่า “ศิษย์น้องทั้งชายและหญิง พวกเจ้าจะอยู่ในม่านพลัง ในภายหลังศิษย์น้องเซี่ยงและตัวข้าจะล่อปีศาจปลาคาร์พน้ำระดับห้ามาที่นี่ และพอถึงตอนนั้น เจ้าสามารถเปิดใช้ม่านพลังได้ เจ้าต้องอดทนไว้! ศิษย์น้องเยี่ย เจ้าไม่จำเป็นต้องกังวลถึงสิ่งใดเพราะเราจะปกป้องเจ้าแน่นอน เจ้าแค่ต้องจดจ่ออยู่กับการโจมตีมันด้วยเครื่องมือเวทและคาถาที่ทรงพลัง”
ศิษย์สำนักเจิ้งฝ่าพยักหน้า และโม่เทียนเกอก็แสดงออกว่าตกลงเช่นกัน นางหวังว่าเริ่นอวี่เฟิงจะรักษาคำพูด ถ้าเขาทำจริง นางจะมีช่วงเวลาที่ง่ายที่สุดในหมู่พวกเขาทั้งหมด
บัดนี้คนอีกเจ็ดคนนอกจากโม่เทียนเกอเข้าไปยืนประจำตำแหน่งของตัวเอง ตำแหน่งของพวกเขาทำให้เกิดเป็นกลุ่มดาวรูปทรงกระบวยใหญ่โดยมีลู่หรงเซิงผู้ที่ระดับการฝึกตนสูงที่สุดในกลุ่มพวกเขาอยู่ที่ตำแหน่งหน้าสุดคอยเฝ้าดูม่านพลัง สำหรับโม่เทียนเกอ นางยืนอยู่ที่ตำแหน่งใจกลางที่สุด ตกอยู่ภายใต้การคุ้มครองของม่านพลัง
เริ่นอวี่เฟิงและเซี่ยงจือหยางออกไปในที่ที่มีแต่พระเจ้าที่รู้ว่าคือที่ไหน แต่ตามการคาดเดาของโม่เทียนเกอ พวกเขาทั้งแปดคนถูกทิ้งไว้ที่นั่นเพราะนี่เป็นวิธีรับมือกับสัตว์ปีศาจระดับห้า แต่ก็อาจจะเพราะพวกเขาจำเป็นต้องมีวิชาเฉพาะในการเปิดเส้นทางเข้าสู่สถานที่ลับ และทั้งสองคนนั้นไม่อยากให้อีกแปดคนเห็นวิชานั้น
หลังจากผ่านไปสักพัก ลู่หรงเซิงตะโกน “มันมาแล้ว!”
คนทั้งเจ็ดคว้าเอาเครื่องมือเวทของตัวเองออกมาทันทีและเริ่มรวบรวมพลังวิญญาณ พอถึงเวลาที่เครื่องมือเวทของพวกเขาเต็มไปด้วยพลังวิญญาณ ลู่หรงเซิงตะโกน “เปิดใช้ม่านพลัง!”
คนทั้งเจ็ดยกเครื่องมือเวทขึ้นโดยพร้อมเพรียงกันและยิงลำแสงแห่งพลังวิญญาณเจ็ดแสงไปที่ดวงตาแห่งม่านพลังทั้งเจ็ดดวงในเวลาเดียวกัน ลำแสงแห่งพลังวิญญาณพุ่งสูงขึ้นสู่ท้องฟ้า แต่แสงทั้งหมดล้วนเป็นสีฟ้า ผู้ฝึกตนสำนักเจิ้งฝ่าทั้งหมดฝึกวิชาการฝึกตนธาตุน้ำ ดังนั้นสีของพลังวิญญาณของพวกเขาจึงเป็นสีฟ้า
ลำแสงแห่งพลังวิญญาณทั้งเจ็ดบรรจบกันเป็นหนึ่งเดียวเหนือม่านพลังและก่อให้เกิดเป็นเกราะป้องกันที่ปกป้องคนทั้งแปดคนในม่านพลังไว้อย่างแน่นหนา
โม่เทียนเกอเองก็เอาอาวุธเวทและเครื่องมือเวทหลายอย่างออกมาและทำการเตรียมตัวให้พร้อม จิตสัมผัสของนางแกร่งกว่าของลู่หรงเซิง ถึงแม้ว่าใต้น้ำนางจะไม่เก่งเท่าผู้ฝึกตนสำนักเจิ้งฝ่าที่เหมือนกับปลาในน้ำ แต่นางก็สัมผัสได้นานแล้วว่าเริ่นอวี่เฟิงและเซี่ยงจือหยางกำลังกลับมา ตอนนี้ม่านพลังถูกทำให้เริ่มเคลื่อนไหวแล้วและลมปราณของสัตว์ปีศาจระดับห้าตัวนั้นก็ได้แผ่ขยายมาปะทะเข้าหน้าพวกเขาอย่างจัง