ลำนำสตรียอดเซียน - ตอนที่ 179 ตำหนักบาดาลใต้น้ำ
จิตสัมผัสของโม่เทียนเกอพุ่งโจมตีอีกครั้ง ฟาดเข้าโดยตรงที่จิตวิญญาณเริ่มต้นของปีศาจปลาไนน้ำ ในขณะเดียวกัน แสงสีทองจากกระสวยอัปสราของนางก็กักขังมันอย่างแน่นหนาอยู่ข้างใต้!
ปีศาจปลาไนน้ำทำเสียงบุ๋งๆ ขณะร้องโหยหวน มันเหวี่ยงหางอย่างลนลาน กระแทกเกราะป้องกันด้วยความเดือดดาล
คนทั้งเจ็ดที่คอยค้ำยันม่านพลังเพิ่มพลังป้องกันได้รับบาดเจ็บในทันที โดยเฉพาะเซี่ยงจือหยาง สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปและเขากระอักเลือดออกมา เกราะป้องกันเหนือตัวเขาสั่นสะเทือนเช่นเดียวกันราวกับว่ามันกำลังจะแตก
ทั้งที่สถานการณ์ปัจจุบันของพวกเขาเป็นเช่นนี้ ทว่าเริ่นอวี่เฟิงร้องตะโกนด้วยความดีใจ “มันกำลังจะตาย! เราแค่ต้องทนให้นานขึ้นอีกนิด!”
โม่เทียนเกอจ้องเขาด้วยสายตาโกรธๆ เขาเป็นผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังงานขั้นสุดท้ายเพียงคนเดียวในกลุ่ม แต่ในช่วงเวลาอันตรายเช่นนี้ เขากลับไม่แสดงออกว่าอยากจะอาสาช่วยเหลือเลยแม้แต่น้อย! ถึงแม้เวทมนตร์และเครื่องมือเวทของเขาจะไม่สามารถทำร้ายปีศาจปลาไนน้ำได้ แต่เขาก็ยังสามารถถ่ายทอดพลังวิญญาณของเขาให้นางหรือให้อีกเจ็ดคนก็ยังได้!
ทว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่พวกเขาจะแตกคอกัน ดังนั้นนางจึงไม่ได้พูดอะไร นางเอาหนึ่งในเครื่องรางเวทที่ประมุขเต๋าจิ้งเหอมอบให้นางออกมาจากกระเป๋าเอกภพแล้วจึงเขวี้ยงมันผ่านช่องโหว่เล็กๆ ของเกราะป้องกัน
เครื่องรางเวทประกอบด้วยแรงของอาวุธแหลมคม มันลอยอย่างเบาหวิวราวกับขนนกด้านนอกเกราะป้องกันจากนั้นจึงเปลี่ยนเป็นแสงกระบี่อย่างเงียบซึ่งแทงเข้าร่างของปีศาจปลาไนน้ำเบาๆ แต่คม
ฉวยโอกาสจากช่วงจังหวะนั้น โม่เทียนเกอใช้กระสวยอัปสราฟันร่างของปีศาจปลาไนน้ำ มันสะบัดหางอย่างรุนแรง ทว่าในท้ายที่สุดก็ไม่อาจทนต่อไปได้อีก ด้วยเสียงร้องครวญคราง มันหมดแรงลงในที่สุด
เลือดไหลทะลักออกจากร่างของปีศาจปลาไนน้ำจนย้อมให้น้ำเป็นสีแดง
สภาพรอบตัวเงียบสงัดอย่างที่สุด ทุกคนยังไม่สามารถสงบจิตใจได้จากการต่อสู้ในครั้งนี้
โม่เทียนเกอเป็นคนแรกที่เคลื่อนไหว นางโบกมือทำให้แสงสีทองของกระสวยอัปสราเกิดเสียงกระทบกันก่อนที่มันจะลอยกลับเข้าสู่มือนาง ครั้งนี้ในที่สุดคนอื่นๆ จึงได้สติจากภวังค์ความงุนงง
“ศิษย์พี่เซี่ยง!” ไอ้เสียนกับซย่าโหวย่วนตะโกนพร้อมกัน พวกเขาอยู่ใกล้กับเซี่ยงจือหยางที่สุด พวกเขาจึงรีบเข้าไปหาเขาเพื่อช่วยพยุงเขาขึ้นมาทันที
เกราะป้องกันเหนือหัวพวกเขาแตกออกและพร้อมกันนั้นเอง เซี่ยงจือหยางล้มลง
เริ่นอวี่เฟิงรีบเข้าไปตรวจอาการของเขาทันที และหลังจากนั้นไม่นานสถานการณ์ก็กลายเป็นวุ่นวายขณะที่ทุกคนยุ่งกับหน้าที่อะไรสักอย่าง พวกเขาทั้งสิบคนสามารถรอดชีวิตมาได้แต่ผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังงานขั้นกลางสองคนแทบจะไม่มีชีวิตรอดและสูญเสียพลังการต่อสู้ไป
ขณะที่ทุกคนพักผ่อน โม่เทียนเกอแอบถามเจียงซั่งหัง “ศิษย์พี่เจียง ของอะไรที่อยู่ในสถานที่ลับนั้นหรือที่พวกท่านทุกคนถึงขนาดยอมขอความช่วยเหลือจากคนนอกแทนที่จะบอกผู้ฝึกตนจากสำนักของตัวเอง”
เจียงซั่งหังรู้สึกดีใจที่น้ำเสียงของโม่เทียนเกอไม่ได้ฟังดูเหินห่าง เขาโน้มตัวเข้าใกล้นางแล้วจึงกระซิบ “ศิษย์น้องเยี่ย ครั้งหนึ่งข้าเคยบอกเจ้าว่าแดนแห่งมังกรซ่อนลายมีลมปราณมังกรอยู่ภายในใช่ไหม”
“แต่ศิษย์พี่เจียง ท่านบอกเองไม่ใช่หรือว่าแม้แต่ศิษย์พี่ระดับจิตวิญญาณใหม่ของท่านก็ยังไม่รู้ว่ามันเกี่ยวกับอะไรกันแน่”
“เจ้าพูดถูก แต่เดิมมันเป็นเช่นนั้น…” เจียงซั่งหังลังเลครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อไปในที่สุด “ทุกครั้งที่เราเข้าสู่แดนแห่งมังกรซ่อนลายนี้ ภูมิทัศน์ข้างในนั้นจะแตกต่างกันเสมอ อย่างไรก็ตาม มีสถานที่หนึ่งที่มักจะคงอยู่เช่นเดิม นั่นคืออนุสาวรีย์เทพมังกรที่ตรงศูนย์กลาง ไม่มีคนที่ยังมีชีวิตอยู่คนไหนสามารถจำคำจารึกบนอนุสาวรีย์เทพมังกรนั้นได้ แต่มันคืออนุสาวรีย์เทพมังกรนั้นล่ะที่ปล่อยลมปราณลึกลับที่เราพูดถึงออกมา เป็นเวลาหลายพันปีมาแล้ว มีเสียงลือกันในหมู่ศิษย์ของสำนักข้าว่าลมปราณลึกลับนั้นคือลมปราณของเทพมังกร…”
“ลมปราณของเทพมังกร…” โม่เทียนเกอพูดพึมพำ นางไม่แน่ใจว่ามันคือลมปราณของเทพมังกรจริงหรือไม่ แต่ดูจากที่ศิษย์สำนักเจิ้งฝ่าตั้งชื่อนี้ให้ นางก็รู้แล้วว่าลมปราณลึกลับนั้นต้องเยี่ยมยอดแน่นอน
“ไม่ว่าจะเป็นเช่นนั้นหรือไม่ก็ไม่มีใครรู้” เจียงซั่งหังพูดพร้อมกับถอนใจ “แม้แต่หลังจากหลายปีผ่านไป ท่านปรมาจารย์ระดับจิตวิญญาณใหม่ในสำนักเจิ้งฝ่ายังไม่สามารถเข้าใจอนุสาวรีย์เทพมังกรได้อย่างเต็มที่ พวกเขารู้เพียงว่าพลังภายในอนุสาวรีย์นี้ไม่ใช่สิ่งที่จะทำเป็นเล่นได้ แต่มันก็ยังไม่นานมากพอตั้งแต่ที่สำนักเจิ้งฝ่าถูกก่อตั้งขึ้น บางทีในเวลาอีกหลายหมื่นปี ความรู้ที่สำนักเราสั่งสมไว้รวมกับพละกำลังของศิษย์หลายรุ่นอาจจะทำให้เข้าใจอนุสาวรีย์นี้ก็ได้”
สำนักเจิ้งฝ่าก่อตั้งขึ้นเมื่อหลายพันปีก่อน จึงนับว่าอยู่มาได้ไม่นานนัก อายุขัยของผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณใหม่อยู่ที่ประมาณหนึ่งถึงสองพันปี ในระหว่างการมีอยู่หลายพันปีของสำนักเจิ้งฝ่า น่าจะมีผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่แค่ไม่กี่รุ่นเท่านั้น ในหมู่กลุ่มการฝึกตนที่ยิ่งใหญ่ทั้งเจ็ดในขั้วท้องฟ้า สำนักเจิ้งฝ่าเป็นเพียงที่เดียวที่ก่อตั้งเมื่อหลายพันปีก่อน ในขณะที่กลุ่มการฝึกตนกลุ่มอื่นๆ นั้นอยู่มามากกว่าหมื่นปี
“นี่มันเกี่ยวอะไรกับสถานที่ลับที่พวกท่านพบ”
เจียงซั่งหังพูดว่า “มันเป็นเพราะยังไม่มีใครเข้าใจอนุสาวรีย์เทพมังกรจนท่านปรมาจารย์ระดับจิตวิญญาณใหม่ทุกคนในสำนักของข้าจึงมักจะยุ่งอยู่กับการฝึกตน เมื่อเวลาผ่านไป ศิษย์อย่างเราไม่สามารถแวะเวียนไปที่อนุสาวรีย์เทพมังกรได้ด้วยซ้ำ ครั้งล่าสุด พวกเราทั้งสี่คนไปที่แดนแห่งมังกรซ่อนลายด้วยกันและโชคดีที่สามารถเข้าไปที่อนุสาวรีย์เทพมังกรได้ แต่เรากลับพบความผิดปกติที่นั่นโดยไม่คาดคิด”
เจียงซั่งหังหยุดครู่หนึ่งและเป็นไปตามคาด เขาเห็นความสงสัยบนใบหน้าของโม่เทียนเกอ จากนั้นเขาจึงพูดต่อ “ไม่ได้มีอะไรผิดปกติกับตัวอนุสาวรีย์เทพมังกร สิ่งที่ผิดปกติไปคือจุดที่อยู่ข้างๆ อนุสาวรีย์ ทางเข้าตำหนักบาดาลได้ปรากฏขึ้นตรงนั้น”
“ตำหนักบาดาล” โม่เทียนเกอถาม “ตำหนักบาดาลใต้น้ำ”
“ถูกต้อง” เจียงซั่งหังพูดต่อ “เมื่อเราเข้าไป วันที่สิบห้าของเดือนแปดเพิ่งผ่านพ้นไป ดังนั้นเราควรจะเป็นศิษย์กลุ่มแรกที่เจอตำหนักใต้บาดาลนี้ หลังจากเราเข้าไปในตำหนักใต้บาดาล เราพบลมปราณเช่นเดียวกับลมปราณที่กระจายออกมาจากข้างในอนุสาวรีย์เทพมังกรและมันก็เข้มข้นกว่ามาก!”
“อะไรนะ” ในเมื่อมันถูกเรียกว่าลมปราณมังกร มันก็ต้องท่วมท้นและยิ่งใหญ่แน่นอน อนุสาวรีย์เทพมังกรทำให้ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่อับจนหนทางมาแล้ว แต่สถานที่ใต้ดินแห่งนี้มีลมปราณลึกลับแบบเดียวกันและยิ่งเข้มข้นกว่าอีกอย่างนั้นหรือ ผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังงานอย่างพวกเขาจะเข้าไปยุ่งกับสิ่งที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ได้อย่างไรกัน
สีหน้าของโม่เทียนเกอเปลี่ยนไปหลายครั้ง ท้ายที่สุดนางก็พูดว่า “ศิษย์พี่เจียง ไม่ว่ามันจะเป็นลมปราณของเทพมังกรจริงหรือไม่ ท่านบอกว่าแรงของลมปราณนั้นเหนือธรรมดาและเกินกว่าพลังของเรา เราจะได้อะไรจากการเข้าไปในตำหนักใต้บาดาลนี้หรือ
รอยยิ้มขมขื่นปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเจียงซั่งหัง “คำถามนี้… ข้าไม่มีคำตอบให้จริงๆ เพราะย้อนไปตอนนั้นศิษย์พี่เริ่นเป็นคนเดียวที่เข้าไปในตำหนักใต้บาดาล”
“… ถ้าเช่นนั้นทำไมท่านถึงยังเกลี้ยกล่อมให้ข้ามา” โม่เทียนเกอนิ่วหน้า สะกดกลั้นความไม่พอใจที่นางรู้สึกอยู่ในใจเอาไว้ เจียงซั่งหังรับประกันหนักแน่นว่าสถานที่นี้จะไม่อันตรายเกินไปและพวกเขาจะได้สมบัติอย่างแน่นอน แต่กลายเป็นว่าแม้แต่เจียงซั่งหังเองก็ยังไม่แน่ใจนักว่ามีอะไรอยู่ข้างใน
เจียงซั่งหังพูดพร้อมถอนใจ “นั่นคือสิ่งที่ศิษย์พี่เริ่นยืนยัน ตอนนั้นทันทีหลังจากที่เราเข้าไปในตำหนักใต้บาดาล เราถูกปีศาจปลาไนน้ำที่คอยเฝ้าประตูหยุดเราไว้ ศิษย์พี่เริ่นใช้เครื่องรางเวทเพื่อดักจับปีศาจปลาไนน้ำไว้ชั่วคราวจากนั้นบังคับให้เราทั้งสามคนสู้กับมันขณะที่เขาเข้าไปดูข้างในต่อ”
“หลังจากนั้นศิษย์พี่เริ่นพูดว่าอย่างไร”
เจียงซั่งหังหยุดครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อด้วยความลังเล “ศิษย์พี่เริ่นบอกว่าโครงสร้างข้างในมันซับซ้อน เขาทำได้แค่ดูคร่าวๆ เท่านั้นและเขาเห็นว่าดูเหมือนจะมีห้องปรุงยา…”
ถึงแม้เขาจะพูดเช่นนั้น แต่เจียงซั่งหังไม่ได้ดูแน่ใจกับเรื่องนั้นนัก ห้องปรุงยา… ในเมื่อมันเป็นตำหนักใต้บาดาล มันจะมีห้องปรุงยาอยู่ที่นั่นได้อย่างไร
“ศิษย์น้องเยี่ย” เจียงซั่งหังมองนางแล้วจึงพูดอย่างจริงจัง “ข้าบอกความจริงกับเจ้าตั้งนานแล้ว ข้าเป็นแค่ผู้ฝึกตนธรรมดาในสำนักเจิ้งฝ่า ระดับการฝึกตนของศิษย์พี่เริ่นสูงกว่าข้าและในเมื่อเขาเป็นศิษย์ภายในของอาจารย์ลุงระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังของข้า สถานะของเขาจึงสูงกว่าข้ามากเช่นกัน ครั้งก่อนข้าสามารถเข้าไปในแดนแห่งมังกรซ่อนลายกับเขาได้ก็เพราะข้าค่อนข้างสนิทกับศิษย์น้องถังฟัง โดยปกติแล้วข้าต้องเชื่อฟังไม่ว่าเขาจะบอกให้เราทำอะไร อย่างไรก็ตาม เขาไม่มีเหตุผลอะไรต้องโกหกเราเหมือนกัน เจ้าไม่คิดอย่างนั้นหรือ”
นั่นก็จริง… หากไม่มีผลประโยชน์อะไร เริ่นอวี่เฟิงคงไม่จำเป็นต้องลำบากมองหาใครสักคนเพื่อมาร่วมการเดินทางครั้งนี้กับเขาหรอก
โม่เทียนเกอใช้เวลาสักพักเพื่อคิดแล้วจึงถามอีกคำถาม “ศิษย์พี่เจียง ในเมื่อกลุ่มของท่านเจอตำหนักใต้บาดาลเข้า คนอื่นก็จะต้องเจอเหมือนกันแน่ ต้องมีคนที่สามารถเข้าถึงอนุสาวรีย์เทพมังกรโดยบังเอิญได้แน่นอน ท่านรับประกันได้หรือว่าไม่มีใครเห็นอนุสาวรีย์นั้นตั้งแต่พวกท่านออกไป”
เมื่อนางยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูด เจียงซั่งหังยิ้มและพูดว่า “เจ้าวางใจได้ เมื่อเราออกมาตอนครั้งก่อน ศิษย์พี่เริ่นและศิษย์พี่เซี่ยงใช้วิชาพิเศษเพื่อปกปิดการมีอยู่ของมัน ดังนั้นศิษย์ที่อยู่ในดินแดนเดียวกันกับพวกเขาจะไม่สามารถมองเห็นได้แน่นอน เพราะภูมิทัศน์ข้างในแดนแห่งมังกรซ่อนลายเปลี่ยนไปทุกปี เราเลยไม่มีเวลามากนัก ดังนั้นเราจึงรีบเร่งที่จะกลับมาอีก”
ขณะที่พวกเขาอยู่ระหว่างการสนทนา เริ่นอวี่เฟิงผู้ที่ดูเหมือนจะรักษาอาการบาดเจ็บของลู่หรงเซิงและเซี่ยงจือหยางเสร็จแล้วจึงเดินเข้ามาหา “ศิษย์น้องเยี่ย ศิษย์น้องเจียง พวกเจ้ากำลังคุยอะไรกันอยู่”
ขณะนั้นเริ่นอวี่เฟิงดูเป็นมิตรอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าการฆ่าปีศาจปลาไนน้ำโดยไม่ติดขัดทำให้อารมณ์ของเขาดีเป็นพิเศษ
หลังจากได้ปฏิสัมพันธ์กับเขามาสักพัก โม่เทียนเกอรู้สึกว่าไม่เพียงแต่นิสัยเขาจะแย่และหยิ่งยโส แต่เขายังไม่มีความสามารถในการเป็นผู้นำอีกด้วยและแค่หวังพึ่งสถานะของเขากับความจริงที่ว่าระดับการฝึกตนของเขานั้นสูงที่สุด การกระทำของเขาไม่น่าพอใจ แต่ถึงอย่างนั้นตอนนี้เขาก็กำลังยิ้มให้นางอยู่ ดังนั้นนางจึงไม่มีเหตุผลอะไรจะไปทำให้เขาโกรธ เพราะฉะนั้นนางจึงยิ้มสุภาพให้เขา “เกี่ยวกับแดนแห่งมังกรซ่อนลายน่ะ ข้ายังไม่มั่นใจในบางเรื่อง ข้าจึงถามศิษย์พี่เจียง”
“อ้อ อย่างนี้นี่เอง… ที่จริงแล้วศิษย์น้องเยี่ยถามข้าก็ได้ ความเข้าใจเกี่ยวกับสถานที่นี้ของศิษย์น้องเจียงไม่ได้ลึกซึ้งมาก” เริ่นอวี่เฟิงพูดพร้อมกับโบกไม้โบกมือราวกับเขาภูมิใจในตัวเองมากเหลือเกิน
เมื่อถึงเวลาที่เริ่นอวี่เฟิงพูดจบ เจียงซั่งหังเหลือบมองโม่เทียนเกอด้วยสายตาช่วยไม่ได้ เขาพูด “ศิษย์น้องเยี่ย เจ้าคุยกับศิษย์พี่เริ่นก็ได้ ข้าจะไปดูศิษย์พี่ทั้งสองคนนั้นก่อน”
พอรู้ว่าเจียงซั่งหังไม่อยากหรือไม่กล้าขัดใจเริ่นอวี่เฟิง โม่เทียนเกอจึงไม่บังคับให้เขาต้องอยู่ต่อ นางไม่ได้เกรงกลัวเริ่นอวี่เฟิงอยู่แล้ว จากสิ่งที่นางเห็นในวันนี้ วิชาหลบหนีใต้น้ำของเริ่นอวี่เฟิงนั้นเยี่ยมยอด แต่วิชาอื่นๆ ของเขาไม่สมฐานะศิษย์หัวกะทิระดับการสร้างฐานแห่งพลังงานของกลุ่มการฝึกตนใหญ่เอาเสียเลย ต่อให้เขามีวิชาที่เขายังไม่ได้ใช้ แต่โม่เทียนเกอก็ยังมั่นใจว่านางไม่ด้อยไปกว่าเขา ถ้าพวกเขาสู้กันจริงๆ นางเชื่อว่าโอกาสในการเอาชนะเขาได้มีมากกว่าแปดส่วน
เมื่อเจียงซั่งหังเดินจากไป เริ่นอวี่เฟิงพูดกับโม่เทียนเกอ “ศิษย์น้องเยี่ย เครื่องมือเวทที่เจ้ามีนั้นดีเยี่ยมมากและเจ้าก็มีสมบัติมากมาย… เจ้าต้องเป็นศิษย์หัวกะทิใช่ไหม ศิษย์น้องเจียงเคยบอกข้าว่าสมัยเขาอยู่ในแนวเทือกเขาคุนอู๋ เขาเป็นเพียงศิษย์ของกลุ่มการฝึกตนเล็กๆ ไม่มีชื่อเสียง เจ้าทั้งสองคนเจอกันได้อย่างไร”
ไม่น่าเชื่อว่าเขามาเพื่อสอดรู้เรื่องความสัมพันธ์ของนางกับเจียงซั่งหัง โม่เทียนเกอหัวเราะแล้วจึงพูดอย่างนิ่งๆ “เมื่อตอนที่ข้าเจอกับศิษย์พี่เจียง ข้ายังไม่ได้เป็นศิษย์โรงเรียนเสวียนชิง”
“โอ้” เริ่นอวี่เฟิงพูดด้วยความประหลาดใจ “ศิษย์น้องเจียงมาที่สำนักเจิ้งฝ่าเมื่อประมาณหลายสิบปีก่อน ในตอนนั้นศิษย์น้องเยี่ยก็ยังไม่ได้เป็นศิษย์โรงเรียนเสวียนชิงหรือ”
“ใช่ หลังจากศิษย์พี่เจียงและข้าแยกจากกัน เขามาที่สำนักเจิ้งฝ่าในขณะที่ข้าบังเอิญได้เข้าโรงเรียนเสวียนชิง”
เริ่นอวี่เฟิงยิ่งรู้สึกประหลาดใจมากขึ้นอีกเมื่อโม่เทียนเกออธิบายอดีตของนาง “จากที่ข้าได้ยินจากศิษย์น้องเจียง เขาสร้างฐานแห่งพลังงานของเขาได้แค่หลังจากที่เขามาที่สำนักเจิ้งฝ่า คาดว่าในตอนนั้นศิษย์น้องเยี่ยก็ยังไม่ได้เข้าถึงดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงานเช่นกันใช่หรือไม่ ภายในเวลาสิบกว่าปี ศิษย์น้องเยี่ยสามารถก้าวหน้าจากดินแดนการหลอมรวมพลังงานวิญญาณไปสู่ดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงานและมาถึงขั้นกลางของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงาน… ช่างเป็นระดับการฝึกตนที่คาดไม่ถึงจริงๆ ศิษย์น้องเยี่ย เจ้าเป็นอัจฉริยะโดยแท้!”
โม่เทียนเกอพูดแผ่วเบา “ข้าแค่โชคดีได้รับความกรุณาจากท่านอาจารย์ของข้า ข้าไม่คู่ควรให้เรียกว่าอัจฉริยะหรอก ข้าจะกล้ายอมรับชื่อนี้หากข้าก่อขุมพลังได้ในสักวันหนึ่งเท่านั้น”
ถึงแม้นางจะพูดถ่อมตัว แต่นางก็ยังเผยความมั่นใจที่นางมีในการก่อขุมพลังของตัวเองออกมาด้วย สายตาที่เริ่นอวี่เฟิงมองนางเต็มไปด้วยความชื่นชมและอิจฉาทันที สุดท้ายเขาก็เค้นรอยยิ้มออกมาและพูดว่า “ตอนที่ข้าเห็นศิษย์น้องเยี่ย ข้าก็รู้สึกแล้วว่าศิษย์น้องต้องเป็นคนเก่งโดยกำเนิดแน่ แต่ศิษย์น้องเยี่ยเกินความคาดหมายของข้าไปอีก! เราสามารถฆ่าปีศาจปลาไนน้ำได้ก็เพราะเครื่องมือเวทและเครื่องรางเวทของศิษย์น้องเยี่ย ในเมื่อศิษย์น้องเยี่ยมีสมบัติเหล่านั้น ท่านอาจารย์ของเจ้าก็ต้องยอดเยี่ยมมาก ข้าสงสัยว่าท่านอาจารย์เต๋าท่านไหนคืออาจารย์ของเจ้า”
ตอนนี้เขากำลังถามเกี่ยวกับท่านอาจารย์ของนาง โรงเรียนเสวียนชิงและสำนักเจิ้งฝ่ามีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน ดังนั้นจึงไม่มีอะไรที่โม่เทียนเกอต้องเก็บเป็นความลับ อย่างไรก็ตาม โม่เทียนเกอรีบตอบว่า “แซ่ของท่านอาจารย์ข้าคือหม่า และชื่อแห่งเต๋าของเขาคือเสวียนอิน” นางโกหก อย่างแรก ประมุขเต๋าจิ้งเหอเตือนนางว่าเมื่อนางอยู่ข้างนอก นางควรจะเก็บชื่อและพื้นเพของนางเป็นความลับ อย่างที่สอง ชื่อของประมุขเต๋าจิ้งเหอโด่งดังเกินไปและสำนักเจิ้งฝ่าก็เป็นกลุ่มพันธมิตรกัน ตัวตนของนางไม่สามารถเก็บเป็นความลับได้แน่หากนางเปิดเผยชื่ออาจารย์ของนางออกไป ส่วนทำไมนางถึงพูดว่าเป็นประมุขเต๋าเสวียนอิน ก็เพราะนางเคยได้รับการสั่งสอนจากอาจารย์ลุงเสวียนอินมาจริง ยิ่งไปกว่านั้น เขาเพิ่งก้าวเข้าสู่ดินแดนจิตวิญญาณใหม่และมักจะทำตัวไม่โดดเด่นเสมอ ความจริงครึ่งเดียวแบบนี้จึงง่ายที่จะพิสูจน์มากกว่าโกหกทั้งหมด
“หม่าเสวียนอิน” เริ่นอวี่เฟิงพึมพำ ทันใดนั้น สายตาที่เขามองนางก็เปลี่ยนไป “อย่าบอกนะว่าเป็นประมุขเต๋าเสวียนอิน!”
“เขานั่นล่ะ” โม่เทียนเกอยิ้ม แสดงให้เห็นใบหน้าของศิษย์ที่รู้สึกยินดีกับอาจารย์ของนาง “ท่านอาจารย์ของข้าเพิ่งสร้างจิตวิญญาณใหม่ได้เมื่อหลายปีก่อน ข้าไม่คาดคิดเลยว่าศิษย์พี่เริ่นจะเคยได้ยินชื่อเขา”
“พิธีก่อจิตวิญญาณใหม่ของประมุขเต๋าเสวียนอินเมื่อหลายปีก่อนสร้างกระแสในขั้วท้องฟ้า ใครจะไม่รู้จักเขากันเล่า” น้ำเสียงเริ่นอวี่เฟิงฟังดูสุภาพขึ้นเล็กน้อย “ข้าไม่เคยคิดเลยว่าที่จริงแล้วศิษย์น้องเยี่ยจะเป็นศิษย์ที่โดดเด่นของประมุขเต๋าเสวียนอิน ข้านี่ทำตัวหยาบคายมาโดยตลอดเลย”