ลำนำสตรียอดเซียน - ตอนที่ 182 วิหารบูชายัญโบราณ
ดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงานถือได้ว่าเป็นระดับการฝึกตนที่ดีพอแล้วในโลกแห่งการฝึกตนปัจจุบัน แต่ในสมัยโบราณ ยุคซึ่งมีผู้ฝึกตนที่ยิ่งใหญ่อยู่ทั่วไป ผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังงานก็เปรียบได้กับมดเท่านั้น
โม่เทียนเกอเพ่งมองอนุสาวรีย์เทพมังกรที่อยู่ต่อหน้านาง เป็นครั้งแรกที่นางรู้สึกด้อยค่ามากจนเหมือนกับหยดน้ำในมหาสมุทรกว้างใหญ่ ประหนึ่งว่านางจะสลายหายไปในน้ำตราบใดที่มีคลื่นซัดมา
นี่คือแรงกดดันอันทรงพลังของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์จากยุคกลาง ถึงแม้สิ่งเดียวที่ยังคงเหลือจะเป็นลมปราณของพวกมันเท่านั้น
แม้แต่ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ก็คงไม่มีความสามารถต้านทานได้เช่นกันภายใต้แรงกดดันนี้ นับประสาอะไรผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังงาน
“ศิษย์น้องเยี่ย!”
เสียงเจียงซั่งหังปลุกโม่เทียนเกอให้ตื่นจากภวังค์ จากนั้นนางพูดพร้อมกับถอนใจ “ไม่น่าแปลกใจที่มันถูกเรียกว่าลมปราณเทพมังกร ช่างเป็นพลังที่น่าเกรงขามยิ่งนัก…”
เจียงซั่งหังพูดว่า “ศิษย์น้องเยี่ย ถ้าเจ้าเข้าไปในตำหนักใต้บาดาล เจ้าจะพบว่าลมปราณเทพมังกรที่นั่นยิ่งรุนแรงกว่านี้”
“ลมปราณเทพมังกรที่รุนแรงยิ่งกว่า…” โม่เทียนเกอพึมพำ การมีอยู่ของลมปราณเทพมังกรที่รุนแรงยิ่งกว่าแสดงให้เห็นว่าตำหนักใต้บาดาลนั้นไม่ใช่สถานที่ธรรมดาและภัยอันตรายก็อาจจะร้ายแรงมาก ท้ายที่สุดแล้วที่นั่นมีสมบัติแบบไหนกันเริ่นอวี่เฟิงถึงเลือกที่จะวางแผนทำร้ายนางก่อนที่พวกเขาจะเข้าไปเสียอีก
“ช่างมันเถอะ ไม่จำเป็นต้องกังวลไป เราจะรู้ก็ต่อเมื่อเราเข้าไปได้” โม่เทียนเกอมองไปรอบๆ แล้วจึงถามเจียงซั่งหัง “ศิษย์พี่เจียง ทางเข้าตำหนักใต้บาดาลอยู่ที่ไหนหรือ”
เจียงซั่งหังเดินอ้อมอนุสาวรีย์เทพมังกรไปกับนาง หลังจากนั้นโม่เทียนเกอเห็นว่าบนพื้นเรียบมีปากถ้ำดำมืดอยู่ ถ้านางไม่ได้สนใจนางก็อาจจะคิดว่ามันเป็นหลุมที่ปลาหรือกุ้งขุดเอาไว้ในพื้นใต้ทะเล
“ตรงนี้รึ”
“อื้อ” เจียงซั่งหังพูด “ปากถ้ำนี้ไม่ได้เปิดด้วยวิธีปกติที่จำเป็นอย่างแน่นอน มันอาจจะเปิดเองเพราะถูกลมปราณเทพมังกรดึงดูดมาที่นี่”
สถานที่ลับหลายแห่งถูกซ่อนไว้และไม่เป็นที่รู้จักในตอนแรก แต่ไม่มีอะไรสามารถเอาชนะกาลเวลาได้ ดังนั้นพลังที่มันเคยมีแต่เดิมจึงค่อยๆ ลดลงทีละน้อย ซึ่งน่าจะเป็นกรณีของตำหนักใต้บาดาลนี้ด้วย
ทั้งสองคนใช้เวลาสั้นๆ ตรวจดูข้าวของของตัวเอง เมื่อพวกเขาพร้อมแล้ว เจียงซั่งหังก็เป็นฝ่ายนำอีกครั้ง ค่อยๆ เดินลึกเข้าไปในถ้ำช้าๆ
ทางเดินหินแคบและมืด… เหมือนกับตำหนักใต้บาดาลบนพื้นดิน
ทันทีหลังจากที่นางเข้าไปในตำหนักใต้บาดาล คลื่นของความพร่ามัวชั่วขณะถาโถมเข้าใส่นางเพราะลมปราณเทพมังกรที่นี่ยิ่งหนากว่าเดิม พลานุภาพศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้นำพามาซึ่งร่องรอยของพลังโบราณ และการอยู่ภายใต้แรงกดดันของพลังเช่นนี้ทำให้ผู้ฝึกตนตัวเล็กๆ อย่างพวกเขาตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว
หลังจากใช้เวลาสักพักเพื่อควบคุมลมปราณเงียบๆ จิตใจโม่เทียนเกอจึงสงบลงในที่สุด ภายใต้ผลของศาสตร์หลอมจิตวิญญาณ ไม่น่าเชื่อว่านางยังคงรู้สึกกลัวอย่างสุดซึ้งได้
เจียงซั่งหังที่ยังคงมีสีหน้าเหมือนเดิมพูดเบาๆ “ศิษย์น้องเยี่ย ระวังด้วย เส้นทางนี้ไม่ใช่ทางเข้าที่แท้จริง อาจจะมีกับดักที่นี่”
โม่เทียนเกอถาม “คราวก่อนพวกท่านเดินไปถึงที่ไหน”
“คราวก่อน นอกเหนือจากศิษย์พี่เริ่น พวกเราทุกคนแค่เดินมาถึงบริเวณนี้” ยามที่เขาพูดเช่นนั้น พวกเขาก็ได้เดินผ่านทางเดินหินเป็นทางยาว เข้าไปในห้องหิน
ห้องหินนี้มีเพดานสูงและขนาดใหญ่โตมาก แสงจากทางเข้าไม่สามารถส่องเข้ามาถึงที่นี่ได้ ดังนั้นทั้งสองคนจึงต้องพึ่งแสงเพียงน้อยนิดจากหินจันทราที่พวกเขาพกมาเพื่อให้แสงสว่าง เพราะฉะนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถมองเห็นท้ายห้องได้ ที่ห้องหินนี้ไม่มีอะไรเลย มันไม่เหมือนห้องนั่งเล่นแต่ก็ไม่เหมือนห้องโถง มันดูเหมือนจะเป็นเพียงทางเดินหินที่มีพื้นที่กว้างขึ้นหน่อยเท่านั้น
“แต่เดิมปีศาจปลาไนน้ำอาศัยอยู่ที่นี่มานานเท่าใดแล้วก็ไม่รู้” เจียงซั่งหังพูดขณะเดินอยู่ข้างกำแพงเพื่อสำรวจดู
โม่เทียนเกอพูด “จากสภาพที่ดู ห้องหินนี้ต้องมีอายุอย่างน้อยมากกว่าหมื่นปีแน่ ปีศาจปลาไนน้ำเป็นเพียงสัตว์ปีศาจระดับห้า ไม่ว่ามันจะมีชีวิตอยู่มานานเท่าไหร่ มันก็คงไม่ได้อยู่มามากกว่าหมื่นปีหรอกจริงไหม”
เจียงซั่งหังตกใจแต่ไม่นานนักก็ผงกหัว “เจ้าพูดถูก… เป็นไปได้หรือไม่ว่าเดิมทีปีศาจปลาไนน้ำไม่ได้มาจากตำหนักใต้บาดาล”
“อาจจะ ท่านพูดไม่ใช่หรือว่ากำแพงอาคมรอบอนุสาวรีย์เทพมังกรไม่มีผลอะไรต่อตัวมัน
ทั้งสองคนมองกันและต่างนิ่งเงียบทั้งคู่ ถ้าปีศาจปลาไนน้ำไม่ใช่สัตว์วิเศษที่คอยเฝ้าตำหนักใต้บาดาลนี้ ถ้าเช่นนั้นตำหนักใต้บาดาลอาจจะไม่มีสัตว์วิเศษใดคอยคุ้มครองอยู่ หรือไม่ตำหนักใต้บาดาลเองก็อาจจะยิ่งอันตรายมากกว่าปีศาจปลาไนน้ำเสียอีก
หากเป็นแบบแรกคงจัดการได้ง่ายเพราะพวกเขาก็แค่จำเป็นต้องรุกหน้าต่อและฆ่าเริ่นอวี่เฟิง แต่หากเป็นแบบหลัง… นั่นหมายความว่าตำหนักใต้บาดาลแห่งนี้ไม่ใช่ที่ที่ผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังงานอย่างพวกเขาจะสามารถพุ่งเข้าใส่ได้ พวกเขาอาจจะเสียชีวิตไปโดยไม่ได้อะไรเลย
เป็นเวลาสักพักที่ทั้งสองคนต่างหลงอยู่ในความคิดของตัวเอง ท้ายที่สุดเจียงซั่งหังอดไม่ได้ที่ต้องถามว่า “ศิษย์น้องเยี่ย เจ้าคิดเห็นอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องนี้”
โม่เทียนเกอครุ่นคิดในความเงียบก่อนจะตอบช้าๆ “ไม่มีอะไรที่ต้องกลัว พวกเขาทั้งแปดคนเดินนำหน้าเรา ดังนั้นหากมีอะไรอันตราย เราก็แค่ต้องถอยกลับให้เร็วที่สุดไม่ใช่หรือ”
ที่จริงแล้วสิ่งที่นางคิดจริงๆ ก็คือมันคงไม่ได้เลวร้ายมากจนนางไม่มีแม้แต่เวลาจะเข้าไปในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนของนาง ใช่ไหม ระดับการฝึกตนของเจียงซั่งหังต่ำกว่านาง นางมีหลายวิธีที่ทำให้เขาสลบไปทันทีและดึงเขาเข้าไปในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนด้วยกัน
เจียงซั่งหังลังเลครู่หนึ่งแต่สุดท้ายเขาก็พยักหน้า “เจ้าพูดถูก ข้าว่าเราก็แค่ตามหลังพวกเขาไปตอนนี้”
“อืม เราจะเดินต่อไปสักระยะหนึ่ง หากเรายืนยันได้แล้วว่าไม่มีอันตราย เราก็ลองไปสถานที่อื่นๆ ได้”
เจียงซั่งหังพยักหน้าตกลงและทั้งสองคนจึงออกเดินต่ออีกครั้ง
ที่จริงแล้วนี่ไม่ใช่ห้องหิน มันคือทางเดินหินกว้างที่ยาวมาก พวกเขาเดินอยู่เป็นเวลานานแต่ก็ยังไม่ถึงปลายทาง โชคดีที่มีร่องรอยที่แปดคนข้างหน้าพวกเขาทิ้งเอาไว้ตลอดทาง พวกเขาไม่กล้าใช้วิชาหลบหนีเช่นกันเพราะเกรงว่าพวกเขาจะถูกคนอื่นเจอตัวและพวกเขาก็กลัวว่าที่นี่จะมีอันตรายอยู่ด้วย
สืบเนื่องจากร่องรอยที่พวกเขาพบตลอดทาง แปดคนข้างหน้าพวกเขาผ่านการต่อสู้มาหลายครั้ง ถึงแม้คู่ต่อสู้ของพวกเขาจะไม่ใช่สัตว์ปีศาจ แต่ที่จริงแล้วดูเหมือนว่าพวกเขาจะบังเอิญเจอกับดักบางอย่างเข้าและก็มีปัญหากับทางเดินที่พังทลายลงมาเช่นกัน
โชคดีที่แปดคนข้างหน้าเปิดเส้นทางให้แล้ว ดังนั้นโม่เทียนเกอและเจียงซั่งหังจึงไม่เจออันตรายใดๆ ตามทาง
พวกเขายังคงเดินในความเงียบต่อไป และท้ายที่สุดเส้นทางก็นำพาพวกเขาเข้าไปในห้องโถงหลัก ประตูหินสูงและหนาซึ่งมีรูปสลักมังกรเหมือนกับที่อนุสาวรีย์เทพมังกรถูกเปิดไว้ครึ่งหนึ่ง เมื่อผ่านประตูห้องโถงเข้าไป ก็พบว่าห้องโถงหลักถูกค้ำไว้ด้วยเสาหินสูงตระหง่านและพื้นถูกปกคลุมไปด้วยแผ่นหินเป็นระเบียบ ทว่าทุกอย่างมีรูปวาดมังกรแบบเดียวกันอยู่บนพื้นผิว
พวกเขาเดินต่อไปข้างหน้าช้าๆ ในความมืด รูปปั้นหินสูงตระหง่านค่อยๆ ปรากฏขึ้นในระยะการมองเห็นของพวกเขา มันมีทั้งเขากวางและเขาวัวตัวผู้ หัวอูฐ ตากระต่าย ลำคองูใหญ่ ท้องสัตว์ประหลาดแห่งท้องทะเล เกล็ดปลา และกรงเล็บนกอินทรี แรงเคลื่อนไหวของมันรุนแรงและลอยสูงขึ้นไปบนฟ้า
รูปปั้นของเทพมังกร ภายในห้องโถงนี้มีรูปปั้นเทพมังกรตั้งไว้บูชาอย่างไม่น่าเชื่อ!
โม่เทียนเกอและเจียงซั่งหังมองหน้ากัน ทั้งคู่ต่างพูดไม่ออก แรงเคลื่อนไหวของรูปปั้นเทพมังกรนี้ยิ่งน่าเกรงขามกว่าที่อนุสาวรีย์เทพมังกรเสียอีก แรงกดดันแบบนี้ทำให้พวกเขาไม่สามารถเอ่ยคำใดออกมาได้
โม่เทียนเกอถอยไปหลายก้าว รักษาระยะห่างระหว่างตัวนางกับรูปปั้นพร้อมกับหายใจหอบ “นี่ไม่ใช่รูปปั้นธรรมดา”
เจียงซั่งหังที่ใบหน้าซีดเผือดพยักหน้า ทั้งสองคนถอยออกมาจนกระทั่งพวกเขามาถึงทางเข้าประตูก่อนที่จะรู้สึกว่าแรงกดดันคลายลง
ไม่มีใครพูด หลังจากผ่านไปสักพัก จู่ๆ โม่เทียนเกอก็พูดขึ้นมาว่า “ศิษย์พี่เจียง ท่านคิดว่านี่เป็นสถานที่แบบไหนกัน”
เจียงซั่งหังหันมามองนางแล้วจึงถามด้วยความสับสน “เจ้าหมายความว่าอย่างไร ศิษย์น้องเยี่ย”
โม่เทียนเกอหันตัวไปด้านข้างและชี้ไปที่รอยจารึกตื้นๆ บนหลังประตูหิน “ดูสิ พวกนั้นคือรูปสลักอะไร”
เจียงซั่งหังเข้าไปสำรวจดูพร้อมความสงสัย “ก็แค่รูปธรรมดา… หากสถานที่นี้เก่าแก่มากกว่าหมื่นปี รูปสลักพวกนี้ไม่ได้แปลกไปกว่าปกติเลย”
“ท่านพูดถูก แต่ลองดูใกล้ๆ สิ รูปสลักนั้นวาดถึงอะไร”
เจียงซั่งหังหันไปดูรูปสลักอีกครั้ง ครู่ต่อมา เขาก็หวาดกลัวถึงที่สุด “นี่มัน…”
“มันคือฉากการบูชายัญจากหลายล้านปีก่อน” โม่เทียนเกอพูดแผ่วเบา “ที่นี่อาจจะเป็นวิหารบูชายัญจากยุคโบราณ”
ตามตำนาน วิหารบูชายัญในยุคโบราณถูกสร้างขึ้นเหมือนกับตำหนัก ถึงแม้ตำหนักใต้บาดาลนี้จะดูไม่ประณีต แต่เมื่อได้สำรวจดูให้ถ้วนทั่ว ที่จริงแล้วมันก็เป็นตำหนักที่งดงาม ทางเดินหินกว้างอาจจะเป็นทางเดินหลักที่แท้จริงซึ่งนำไปสู่โถงของวิหาร บนจิตรกรรมฝาผนังเหล่านี้ไม่ได้มีคำหลายคำนักเพราะในยุคนั้นเพิ่งมีการเริ่มใช้คำ ดังนั้นคนจึงชินกับการวาดจิตรกรรมฝาผนังเพื่อบันทึกเหตุการณ์มากกว่า
ภาพจิตรกรรมเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงแท่นบูชายัญสูง พระหลายองค์ซึ่งล้วนใส่ชุดขาวยืนอยู่บนแท่น ขณะที่ทั้งผู้ชายและผู้หญิงที่นั่งคุกเข่าใส่เพียงหนังสัตว์เพื่อปกปิดร่างกาย มีแค่คนจากยุคโบราณเท่านั้นที่ใส่เสื้อผ้าทำจากหนังสัตว์
“หลายล้านปี…” ใบหน้าเจียงซั่งหังซีดลงอีกครั้งขณะที่ตัวเขาเต็มไปด้วยความกังขา สุดท้ายเขาจึงถามว่า “เป็นไปได้หรือที่เศษซากจากหลายล้านปีก่อนจะยังคงอยู่จนถึงตอนนี้ ยิ่งไปกว่านั้น มันอยู่ในมหาสมุทรได้อย่างไรกัน”
โม่เทียนเกอหัวเราะ “ศิษย์พี่เจียง มีสุภาษิตโบราณว่าไว้ ‘เมฆขาวเปลี่ยนเป็นหมาสีเทา ทะเลเปลี่ยนเป็นสวนหม่อน’ ความเปลี่ยนแปลงในกิจของมนุษย์มักจะเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน และโลกก็เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ภายในเวลาหลายล้านปี สิ่งที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นมหาสมุทรสีฟ้าครามอาจจะกลายเป็นสวนหม่อนไปแล้วในตอนนี้ และสิ่งที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นวิหารบูชายัญก็อาจจะถูกฝังอยู่ใต้มหาสมุทรได้เช่นกัน บางทีอาจจะเพราะมันจมอยู่ใต้มหาสมุทรมันถึงไม่ถูกมนุษย์แตะต้องมาเป็นเวลาหลายล้านปีและสามารถคงสภาพอยู่ได้มาจนถึงบัดนี้”
โม่เทียนเกอลูบพื้นผิวหยาบกร้านของกำแพง สัมผัสถึงยุคอดีตกาลเงียบๆ ทั้งสองคนนิ่งเงียบไปชั่วขณะหนึ่ง
“หลายล้านปี… เช่นนั้นก็ไม่มีสมบัติอะไรเลยในตำหนักใต้บาดาลนี้…” เจียงซั่งหังบ่นพึมพำ ความผิดหวังวาบขึ้นบนใบหน้าเขา หลังจากหลายล้านปี ไม่ว่าอาวุธเวทอะไรที่เดิมเคยอยู่ที่นี่ก็คงจะไม่มีประโยชน์แล้ว คนเราไม่ควรคิดว่าอาวุธเวทและยาวิเศษจะสามารถคงอยู่ได้ตลอดไป มันเป็นไปไม่ได้
“ถูกต้อง” โม่เทียนเกอไม่ได้ผิดหวังเลยสักนิด ท้ายที่สุดแล้วเหตุผลแรกเริ่มของนางในการร่วมการเดินทางครั้งนี้ก็ไม่ใช่เพื่อให้ได้ครอบครองสมบัติ แต่อย่างไรก็ตาม ขณะที่นางครุ่นคิดถึงเรื่องนี้ จู่ๆ นางก็นิ่วหน้าทันที “ผิดแล้ว… มีสมบัติอยู่ที่นี่”
เจียงซั่งหังเงยหน้ามองด้วยความสับสน “อะไรนะ”
โม่เทียนเกอยิ้มและจ้องมองเขา “เริ่นอวี่เฟิงยอมผ่านความลำบากแทบทุกอย่างแค่เพื่อมาที่สถานที่แห่งนี้และถึงขนาดวางแผนแทงข้างหลังข้าด้วย ท่านคิดว่าเป็นไปได้หรือที่จะไม่มีสมบัติอะไรเลยที่นี่ ถ้านี่เป็นวิหารบูชายัญจากหลายล้านปีก่อนจริง มันคงไม่มีอาวุธเวท ยาวิเศษ หรือของแบบเดียวกันหรอก อย่างไรก็ตาม สถานที่นี้มีลมปราณเทพมังกรที่หนาแน่นยิ่งกว่าที่อนุสาวรีย์เทพมังกร!”
เมื่อได้ยินสิ่งที่นางพูด เจียงซั่งหังตัวซีดลงอีกครั้ง “ลมปราณเทพมังกร นี่เขาไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วหรือไง!”
ช่างเป็นพลังที่น่าเกรงขาม… ผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังงานที่ไม่สำคัญอย่างพวกเขาจะปรารถนาของแบบนั้นได้อย่างไร ไม่ต้องพูดถึงพวกเขา แต่แม้แต่ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ก็ยังไม่กล้าคิดว่าพวกเขาจะสามารถซึมซับพลังลึกลับของยุคโบราณเช่นนี้ไปได้! การซึมซับพลังที่คนนั้นไม่สามารถควบคุมได้จะทำให้ร่างกายระเบิดออกและฆ่าพวกเขาให้ตาย!
“บางทีเขาอาจจะมีวิชาลับอะไรสักอย่าง” โม่เทียนเกอครุ่นคิดพร้อมขมวดคิ้วไปด้วย “อะไรก็ตามที่เรารู้ เริ่นอวี่เฟิงก็ต้องรู้ด้วยแน่นอน ความจริงที่เขาวางแผนเรื่องพวกนี้และเลือกใช้วิธีนี้แสดงให้เห็นว่าจุดประสงค์ที่แท้จริงของเขาไม่ธรรมดา นอกเหนือจากลมปราณเทพมังกร มีอะไรอื่นอีกหรือไม่ที่สามารถตอบสนองความปรารถนาของเขาได้”
เจียงซั่งหังไม่ได้พูดอะไร เรื่องนี้ไปไกลเกินกว่าขอบเขตจินตนาการของเขาจะนึกถึงได้ เขาไม่เคยคิดว่าเริ่นอวี่เฟิงจะมีความคิดเช่นนี้และตอนนี้เขาก็ไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรเหมือนกัน เขามาที่ตำหนักใต้บาดาลนี้ก็เพราะเขาต้องการตามหาสมบัติ แต่ตอนนี้ไม่เพียงแต่มันจะไม่มีสมบัติ แต่ยังอาจมีหายนะรอคอยพวกเขาอยู่ด้วยก็ได้
“ศิษย์น้องเยี่ย” หลังจากเงียบไปเป็นเวลานาน เจียงซั่งหังพูดว่า “ในเมื่อไม่มีสมบัติ เราไม่ควรกลับกันหรอกหรือ”
โม่เทียนเกอเองก็สองจิตสองใจกับเรื่องนี้เช่นกัน นางต้องการฆ่าเริ่นอวี่เฟิง แต่นางก็ไม่อยากสูญเสียชีวิตของตัวเองไปในระหว่างนั้นด้วย ใครจะไปรู้ว่าเริ่นอวี่เฟิงจะใช้วิชาแบบไหน ถ้าเขาทำสำเร็จและถือครองลมปราณเทพมังกรนั้น ระดับการฝึกตนของเขาจะสูงขึ้นแบบก้าวกระโดดแน่นอน เมื่อถึงตอนนั้น ไม่ว่านางจะเอาชนะเขาได้หรือไม่ก็ต้องเป็นปัญหาแน่ ถ้าเขาทำไม่สำเร็จและตายเพราะร่างกายของเขาระเบิด แล้ววิชาของเขาจะมีผลอย่างอื่นอีกไหม ถ้ามันทำร้ายนางด้วยเล่า
ทั้งสองคนใคร่ครวญเรื่องนั้นอยู่เป็นเวลานาน ทว่าไม่มีใครสามารถตัดสินใจได้เลย